บทที่ 735 : พลังเหนือธรรมชาติ – คนพวกนั้น!
“ข้าเด็กเกินไปที่จะเข้าใจโลกยุทธภพงั้นรึ!”
หลิงหยุนได้ฟังคำพูดของหลิงลี่ก็ถึงกับเย็นยะเยือกและร่างกายก็เริ่มสั่นอย่างรุนแรง!
ในระหว่างที่หลิงหยุนสอบปากคำเฉินไห่คุนอยู่ที่คุกใต้ดินตระกูลหลิงนั้นก่อนที่จะตายเฉินไห่คุนก็ได้บอกกับหลิงหยุนว่า ในตระกูลเฉินนั้นมีอย่างน้อยสามคนที่จะสามารถสังหารหลิงหยุนได้อย่างง่ายดาย เวลานั้นหลิงหยุนยังแอบนึกขันอยู่ในใจ!
หลิงหยุนยังคิดว่าที่เฉินไห่คุนพูดเช่นนั้นเพราะยังไม่ล่วงรู้ถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขา อีกทั้งก่อนตายก็ต้องการสร้างความตื่นตระหนกหวาดกลัวให้กับหลิงหยุนเท่านั้น
แต่เวลานี้..ผู้ที่พูดก็คือหลิงหลี่ซึ่งเป็นปู่ของเขาเอง แน่นอนว่าหลิงลี่ไม่ได้คิดร้ายต่อเขา จึงไม่จำเป็นต้องสร้างความหวาดกลัวให้กับเขาโดยไม่จำเป็น!
อีกทั้งเวลานี้หลิงลี่ก็ได้เข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-8แล้ว และเมื่อสิบแปดปีก่อนตระกูลหลิงเองก็เคยเป็นถึงหนึ่งในสามตระกูลใหญ่ อีกทั้งผู้ที่เป็นผู้นำตระกูลหลิงในเวลานั้นก็คือหลิงลี่!
แน่นอนว่าหลิงลี่ย่อมรู้จักและเข้าใจโลกยุทธภพได้เป็นอย่างดี!
แต่จู่ๆความคิดหนึ่งก็วูบเข้ามาในหัวของหลิงหยุนเขากำลังคิดถึงเรื่องสมุดและพู่กันจักรพรรดิ ลูกประคำโพธิ หม้อเสินหนง น้ำเต้าวิเศษ และอื่นๆอีกมากมาย
รวมทั้งกระบี่โลหิตแดนใต้และกระบี่มังกรขาวที่เขาพบในก้นหลุมยักษ์..
หลิงหยุนเริ่มตระหนักว่ากระบี่โลหิตแดนใต้และกระบี่มังกรขาวนั้น ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาสำหรับใช้จัดการกับยอดฝีมือขั้นเซียงเทียนเจ็ด หรือยอดฝีมือขั้นเซียงเทียนคนใหนๆ เพราะนั่นมันดูธรรมดามากจนเกินไป!
เช่นนั้นแล้ว..อานุภาพที่แท้จริงของกระบี่ทั้งสองเล่มคืออะไร และกระบี่ที่ผนึกจิตวิญญาณมังกรไว้ด้านในเช่นนี้ ใช้สำหรับจัดการกับผู้ใดกันแน่?
ในความคิดของหลิงหยุนนั้นกระบี่โลหิตแดนใต้ หรือกระบี่มังกรขาวนั้น ควรจะเป็นของอาวุธของปรมาจารย์ในตำนานอย่างจางซานเฟิงที่ใช้สำหรับสังหารศัตรูที่มีฝีมือระดับเดียวกันจึงจะคู่ควร!
หากไม่มีศัตรูที่มีฝีมือในระดับเดียวกันมีหรือที่จะต้องสร้างอาวุธวิเศษเช่นนี้ขึ้นมา..
เมื่อครั้งที่อยู่ใต้หลุมยักษ์นั้นตงฟางถิงก็ได้บอกกับหลิงหยุนว่าเขามาจากตระกูลจอมยุทธโบราณ และเล่าว่าในตระกูลของเขานั้นมียอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-7 ที่เก่งกาจถึงสองคน
เมื่อครั้งที่อยู่ในจิงฉูนั้นนอกเหนือจากธิดาพรรคมารแล้ว หลิงหยุนเองก็ไม่เคยพบเจอยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-7 มาก่อนเลย จึงค่อนข้างเชื่อในสิ่งที่ตงฟางถิงพูด
แต่เมื่อมาถึงปักกิ่งหลิงหยุนกลับพบว่าไม่เป็นดังที่ตงฟางถิงพูดเลยแม้แต่น้อย เพราะทั้งแวมไพร์ และเหล่านินจาก็ล้วนแล้วแต่อยู่ในขั้นเซียงเทียน-7 ทั้งสิ้น อีกทั้งยังเป็นถึงนินจาขั้นชุนนินเสียด้วย
หลิงหยุนเองก็ได้ยินจากหลิงลี่ว่าเฉินจิงเทียนเองก็อยู่ในระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-7 เช่นกัน
หลิงหยุนนั้นเข้าใจในเรื่องนี้ดีเพราะหากในตระกูลเฉินไม่มีผู้ที่อยู่ในระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-7 เลยแม้แต่คนเดียว ก็คงยากที่จะไต่เต้าและรักษาตำแหน่งหนึ่งในเจ็ดตระกูลใหญ่แห่งปักกิ่งไว้ได้
เพราะตระกูลจอมยุทธโบราณหรือนิกายลับที่ส่งคนของตนเองมาเป็นแขกของเหล่าตระกูลใหญ่นั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะเชื่อฟังและเดินตามก้นตระกูลใหญ่แต่ฝ่ายเดียว เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น ทั้งตระกูลจอมยุทธโบราณ และนิกายลับต่างก็เคยส่งคนของตนเองมากำจัดเหล่าตระกูลใหญ่เช่นกัน จากนั้นก็ว่าจ้างองค์กรภายนอกให้เข้ามาทำหน้าที่ดูแลกิจการของตระกูลใหญ่แทนตนเอง แล้วนำผลประโยชน์ที่ได้ไปสร้างความสะดวกสบายให้กับตระกูล..
และนี่ก็คือธรรมชาติของมนุษย์หากไม่โง่จนเกินไป ก็ย่อมจะคิดได้!
ดังนั้นการที่จะขึ้นมาเป็นตระกูลใหญ่ได้นั้นเสาหลักของตระกูลจะต้องแข็งแกร่งพอที่จะสร้างความยำเกรงให้กับเหล่าจอมยุทธโบราณและนิกายลับได้ด้วย หากต้องการใช้งานคนเหล่านี้ ก็ต้องใช้วิธีการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ เรียกว่าต่างฝ่ายต่างเอื้อผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน!
ดังนั้นในเจ็ดตระกูลใหญ่ก็ต้องมียอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-7 อยู่อย่างน้อยหนึ่งคน ไม่เช่นนั้นก็ย่อมเป็นเรื่องง่ายที่ตระกูลใหญ่จะถูกฝ่ายตรงข้ามทำร้าย หรือทำลายได้ตลอดเวลา
ส่วนนิกายลับนั้น..หากไม่แข็งแกร่งจริง ก็ยากที่จะก่อตั้งสำนักขึ้นมาได้ และทำให้ยืนหยัดอยู่ได้!
แต่ถึงกระนั้นหลิงหยุนเองก็มีของวิเศษอย่างพู่กันและสมุดจักรพรรดิเช่นกันแต่ก็ไม่รู้ว่าของวิเศษของเขานั้นจะใช้กับยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-9 ได้หรือไม่
อีกทั้งเวลาก็ล่วงเลยมานานมากแล้วผู้ที่เป็นเจ้าของพู่กันและสมุดจักรพรรดิต่างก็สิ้นอายุขัยไปหมดแล้ว
ทั้งตู้กู่โม่และตงฟางถิงต่างก็พูดเหมือนกันว่าผู้ที่สามารถฝึกจนถึงขั้นรู้แจ้งหรือสูงกว่านั้น ก็น่าจะมีท่านจางซานเฟิง..
หลิงลี่ตบบ่าหลิงหยุนพร้อมกับเริ่มอธิบายให้เขาฟัง..
“ขั้นเซียงเทียน-7และขั้นเซียงเทียน-8 นั้น แบ่งออกเป็นระดับเริ่มต้น ระดับกลาง และระดับสูงสุด!”
“แต่ขั้นเซียงเทียน-9นั้นแตกต่างจากนั้น ในยุทธภพได้แบ่งออกเป็นสิบระดับย่อย!”
“หากผ่านสิบระดับย่อยนี้ไปได้คนผู้นั้นก็จะสามารถเข้าสู่ขั้นรู้แจ้งได้!”
“ขั้นเซียงเทียน-9นั้นแตกต่างจากขั้นก่อนหน้านี้ เพราะจอมยุทธที่ฝึกมาถึงขั้นนี้นั้น นับว่าเข้าใกล้สู่การรวมเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติแล้ว และคนผู้นั้นจะมีจิตหยั่งรู้ที่ทรงพลัง และมีพลังที่เหนือธรรมชาติ!”
“และจิตหยั่งรู้ที่ทรงพลังนี้ก็จะสามารถสร้างสรรวิธีการต่อสู้ผ่านการบ่มเพาะได้อย่างหลากหลาย ในสายตาของจอมยุทธด้วยกัน รวมถึงคนธรรมดา ต่างก็มองว่าเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ!”
“ตราบใดที่คนผู้นั้นฝึกฝนจนเข้าสู่ระดับที่เก้าของขั้นเซียงเทียน-9ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องถึงระดับสิบซึ่งเป็นระดับสูงสุด คนผู้นั้นก็จะถูกจดจำในฐานะว่าเป็น ‘คนพวกนั้น’ แล้ว!”
หลิงหยุนเคยได้ยินเรื่องของ‘คนพวกนั้น’ มาถึงสามครั้งแล้ว แต่เพิ่งเคยได้ยินว่าหากฝึกถึงขั้นเซียงเทียน-9 จะสามารถมีพลังเหนือธรรมชาติได้ จึงได้แต่คิดว่าหากเขาฝึกถึงขั้นพลังชี่-4 เมื่อใด ก็จะสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ เช่นนี้จะเรียกพลังเหนือธรรมชาติได้หรือไม่!
‘คนพวกนั้น’ที่ในยุทธภพมักพูดถึงกันนั้น ก็คือผู้ที่มีพลังเหนือธรรมชาติซึ่งเกิดจากการฝึกฝนจนเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-9 และมีโอกาสเข้าสู่ขั้นรู้แจ้งได้นั่นเอง!
และหากเข้าสู่ขั้นรู้แจ้งได้ก็ย่อมสามารถเข้าสู่
หากคนเหล่านี้สามารถเข้าสู่ขั้นรู้แจ้งได้ก็จะไม่สนใจใยดีกับโลกมนุษย์อีก และจะเริ่มเข้าสู่โลกอมตะแห่งเต๋าเช่นเกียวกับแนวทางบ่มเพาะของหลิงหยุน!
‘ข้าจะไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไปแล้ว!’แทนที่หลิงหยุนจะหงุดหงิดหรือขุ่นเคืองใจ เขากลับรู้สึกดีใจ..
และนี่เป็นครั้งแรก..ที่หลิงหยุนรู้สึกว่าเลือดในกายของเขาสูบฉีดอย่างรุนแรง!
เพราะการฝึกบ่มเพาะนั้นยิ่งฝึกถึงขั้นที่แข็งแกร่งที่สุด ก็จะยิ่งรู้สึกโดดเดี่ยวที่สุด เรียกได้ว่ายิ่งสูงก็ยิ่งหนาว!
เพราะเมื่อใดก็ตามที่ฝึกฝนไปจนถึงขั้นที่มองลงมาเห็นผู้คนไม่ต่างจากมดตัวหนึ่งเท่านั้นและยากที่จะหาคู่ต่อสู้ที่ใดได้อีกแล้ว เช่นนี้การฝึกฝนยังจะมีประโยชน์อะไรอีกเล่า
“ตระกูลเฉินมีอย่างน้อยสองคนที่อยู่ในระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-8และอีกหนึ่งคนอยู่ในระดับหนึ่งขั้นเซียงเทียน-9 หลิงหยุน.. เจ้าหวาดกลัวพวกเขาหรือไม่” หลังจากที่อธิบายจนจบแล้ว หลิงลี่ก็จ้องหน้าหลิงหยุนพร้อมกับร้องถามขึ้นมา
“ท่านปู่..ข้าไม่รู้สึกหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย! ข้าว่าน่าสนใจมากกว่า..” หลิงหยุนยิ้มให้หลิงลี่พร้อมกับตอบด้วยความมั่นอกมั่นใจ
หลิงหยุนนั้นมักจะแสดงความกล้าหาญเสมอในยามที่ต้องพบเจอกับความยากลำบาก!
หลิงลี่หัวเราะอย่างมีความสุขพร้อมกับตบไหล่หลิงหยุน“เจ้าช่างเป็นเด็กที่กล้าหาญนัก! อายุเพียงแค่สิบแปดปี แต่กลับไม่หวาดกลัวต่อยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-8!”
“เอาล่ะ..เรามาคุยเรื่องของตระกูลเกากันต่อ!”