ตอนที่ 405 เป็นข้าที่วู่วามเกินไปแล้ว
เขาเพิ่งบอกว่าไม่มีใครเห็น สิ้นเสียง ซั่งเหมยก็ยกถาดน้ำเข้ามา ข้างนอกไม่เห็นมีคน จึงเรียก “นายท่าน” เปิดม่านลูกปัด เสียงดังกรุ๋งกริ๊งอยู่สักพัก นางมองซ้ายมองขวา ยื่นศีรษะมองเข้าไปบนเตียง พอได้เห็นก็เกิดเรื่องแล้ว นางอ้าปากอยู่นานพูดอะไรไม่ออก ขาก็ไม่ฟังคำสั่ง ในหัวคิดแต่จะวิ่งหนี เพียงแต่ขาเหมือนดั่งติดอยู่ที่พื้น อย่างไรก็ขยับไม่ได้
เฉินยางหน้าแดงจนจะเป็นเลือดหยดออกมา นางดิ้นจะลงมาให้ได้ เฝิงเยี่ยไป๋จับนางไว้แน่น ตะโกนว่า “ยังมัวอึ้งอะไรอยู่ ไสหัวไป!”
วิญญาญซั่งเหมยกลับเข้าร่าง ร้องขานรับแล้ววิ่งหนีออกไปดั่งวิ่งหนีเอาชีวิตรอด
เฉินยางชักมือออกกำหมัดไว้ กำปั้นเล็กๆ กำเต็มแรงแล้วทุบไปที่อกของเขา “ท่านยังบอกว่าไม่มีใครเห็นอีก… รีบปล่อยข้าลงมา!”
“อย่าขยับ” เขาจับนางไว้แน่นอีกครั้ง “ระวังลูก”
“เช่นนั้นท่านก็ปล่อยข้าก่อน” นางไม่ดิ้นแล้ว รอให้เขาปล่อย ก็ค่อยๆ ลงจากตัวเขา
เฝิงเยี่ยไป๋จ้องมองท้องนางอยู่นาน บ่นด้วยความเศร้าว่า “ก็สองเดือนแล้วกระมัง ท่านหมอบอกว่าต้องผ่านไปสามเดือนถึงจะร่วมหอได้ ดูเหมือนว่าข้ายังต้องทนอีกเป็นเดือนเลย”
“เวลาอะไรแล้วท่านยังคิดเรื่องนี้อีก!” นางโกรธมาก ไม่กล้าตะโกนเสียงดัง เรือนนี้ตั้งอยู่กลางบ้าน หน้าประตูล้วนเป็นองครักษ์ ไปๆ มาๆ มีความเคลื่อนไหวอะไรก็สามารถได้ยินกันหมด
เฝิงเยี่ยไป๋ก็จับจุดนี้ได้ ขยับเข้าไปอย่างไม่ย่อท้อ ริมฝีปากเป่าลมอ่อนๆ ที่ข้างหูของนาง “เจ้าไม่รู้ ผู้ชายอดทนนานแล้วจะป่วยเอา ตรงนั้นไม่ใช่งานนานๆ นานวันเข้าจะเสื่อมเอาได้ เจ้าลองนับเองดู พวกเราก็ทำเพียงครั้งนั้นครั้งเดียว จนถึงตอนนี้ ก็จะครึ่งปีแล้ว”
เฉินยางบ่นอยู่ในใจ ผ่านไปเพียงแค่สองสามเดือนเท่านั้น ไฉนถึงจะครึ่งปีแล้ว
เขาส่งเสียงอืมๆ เหมือนดั่งเอาใจ “เจ้าไม่เป็นอะไร เพียงแต่ข้าไม่เหมือนกัน เจ้าทนเห็นข้าทรมานได้หรือ”
“เช่นนั้นแล้วท่านอยากทำอะไร” นางถูกกวนจนสิ้นปัญญา สุดท้ายก็แพ้ให้กับเขา “ที่ข้านี้ก็ไม่ได้ ไม่เช่นนั้นท่านจัดการเอาเองเถิด ท่านมีมือไม่ใช่หรือ ตัวเองขยับมือให้มีความสุขเถิด”
เฝิงเยี่ยไป๋หน้าบูดขึ้นมาทันที “ใครสอนเรื่องนี้ให้เจ้า”
เฉินยางก้มศีรษะ พูดจาอ้ำอึ้ง “ข้า… ข้าได้ยินว่า ไม่มีใครสอนข้า”
ย่อมเป็นจี้หรู่ฉางที่ซุกซนคนนั้นเล่าให้นางฟัง แม่นางนี้มีความคิดประหลาดอยู่เต็มหัว พูดถึงเรื่องนี้แล้วไม่หยุดหย่อน ต่อให้เฉินยางไม่สนใจอย่างไร ก็ทนไม่ไหวที่นางบ่นอยู่ข้างหูนางทุกวัน รู้เรื่องพวกนี้ก็ไม่น่าแปลกนัก
เฝิงเยี่ยไป๋กุมมือนางไว้อยู่ที่ฝ่ามือแล้วถูกเบาๆ “มือของผู้ชายกับผู้หญิงจะเหมือนกันได้อย่างไรหรือ คนหนึ่งมือหยาบกร้าน อีกคนมืออ่อนนุ่มนิ่ม ความรู้สึกไม่เหมือนกัน”
นางไม่พูดอะไร ศีรษะยิ่งก้มยิ่งต่ำ จนไม่เห็นหน้าเลย
“ที่จริงแล้ว ไม่ใช่เพียงแค่ใช้มือได้” เขาแนบอยู่ข้างหูนาง เห็นเพียงริมฝีปากขยับ พูดเพียงไม่กี่คำ เฉินยางร้อง เหอ
ออกมา เอามือปิดปากไว้ มองเขาด้วยความหวาดกลัว
เขามองนางด้วยความจริงจัง “ข้าไม่ฝืนใจเจ้า ข้าเคารพเจ้า”
“ท่าน… นี่ไม่ใช่รังแกคนหรือ!” นางจ้องตาโต ดวงตาแดงก่ำ ดวงตาถูกหมอกบังไว้ “นี่ก็… ท่านคิดเช่นนี้ได้อย่างไร? ข้า… ข้าไม่ทำ!”
ก็ใช่ นางเพิ่งอายุเท่าใดเอง ตอนนี้พูดเรื่องนี้กับนางยังเร็วไปนัก ต้องโทษเขา โทษเขาที่ไม่รอบคอบ ทำเอานางตกใจ เขากอดนางเอาไว้ “ดีๆ ๆ ไม่ทำๆ เป็นข้าที่วู่วามเกินไปแล้ว ข้าขอโทษเจ้า”
ตอนที่ 406 สองสามีภรรยาท่านหญิง
หนังสือราชสำนักที่เจ้าเมืองสุยหนิงถูกประหารถ่วงบ่อน้ำได้ส่งถึงหน้าฮ่องเต้อย่างรวดเร็ว นี่เป็นเรื่องดี ราชสำนักมีคนโกงกินน้อยลง สำหรับชาวเมืองสุยหนิง ราชโองการมาถึง ก็ได้เผยความยิ่งใหญ่ของฮ่องเต้พอดี ดูว่าพระองค์ที่เป็นฮ่องเต้นั้นไม่ได้ปล่อยให้พวกเขาไปตามมีตามเกิด เทียบกับซู่อ๋องที่ปล้นเงินช่วยเหลือแล้วยืมดอกไม้ถวายพระนั้น การจับคนโกงกินเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ สะใจยิ่งนัก สมควรแก่การชื่นชม
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรหนังสือราชสำนัก สุดท้ายก็มีเรื่องน่ายินดี พระขนงคลายลง แล้วถามพั่งไห่อีกว่า “สุยหนิงห่างจากเมืองเหมิงก็มีระยะทางเพียงไม่กี่ชั่วยาม ฝั่งซู่อ๋องนั้นไม่มีความเคลื่อนไหวหรือ”
พั่งไห่โค้งตัวทูลว่า “หลังจากหลี่ฉางยงตาย ซู่อ๋องก็ได้ส่งเจ้าเมืองคนใหม่ให้ซื่อจื่ออวี่เหวินลู่พาไปขึ้นตำแหน่งที่สุยหนิง เฝิงเยี่ยไป๋ใช้เงินที่ยึดได้จากการค้นบ้านหลี่ฉางยงไปซื้อข้าวสาร ไม่อยู่ที่ศาล อวี่เหวินลู่ใช้คำพูดหลอกล่อประชาชน หลอกให้ประชาชนก่อกบฏพังศาล ได้ยินว่า… ได้ยินว่ายังเป็นภรรยาของเฝิงเยี่ยไป๋คนนั้น เปิดโรงเก็บข้าวสารถึงได้ทำให้ประชาชนสงบ และขวางอวี่เหวินลู่อยู่ที่ประตู ไม่ได้ให้เขาเข้าไปพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้เลิกพระขนง “คนโง่คนนั้น? นางมีความสามารถเช่นนี้?”
“ไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ ตอนแรกบ่าวก็สงสัย เพียงแต่ตอนหลังมีรายงานมาหนึ่งฉบับ บอกว่าภรรยาเฝิงเยี่ยไป๋อุ้มท้องกลมโตตั้งท่าใส่กันกับอวี่เหวินลู่อยู่ทั้งคืน ผู้หญิงคนหนึ่ง กลับทำได้เช่นนี้ บ่าวรู้สึกว่าไม่ง่ายนักเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“กลับเป็นเราที่ดูถูกนางเสียแล้ว” ฮ่องเต้ปิดหนังสือราชสำนัก บนพระพักตร์เริ่มแย้มพระสรวลจางๆ “เจ้าส่งคนเฝ้าต่อ ทั้งสองฝ่ายเจอกันแล้ว ไม่เชื่อว่าซู่อ๋องจะยังนั่งนิ่งอยู่ได้อีก”
พั่งไห่ขานรับ แล้วถอยออกไปก่อน
ส่วนฝั่งนี้เว่ยหมิ่นและเหลียงอู๋เย่ว์ ได้รักกันแล้วครั้งแรก ครั้งที่สองที่สามต่อไปก็เป็นไปตามธรรมชาติ ลูกชายของเฝิงเยี่ยไป๋คาดว่าปีหน้าฤดูร้อนก็ควรจะคลอดแล้ว ตอนนี้เว่ยหมิ่นถึงได้เริ่มร้อนรน “ตั้งแต่เด็กพวกเจ้าก็กดข้า อาศัยอายุมากกว่า ให้ข้าตามก้นพวกเจ้าเรียกพวกเจ้าว่าพี่ชาย ลูกชายข้าจะเป็นเช่นข้าไม่ได้ พวกเราต้องรีบเสียหน่อย ให้ลูกชายเราคลอดก่อนลูกชายตระกูลเฝิง”
เหลียงอู๋เย่ว์ไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดีแล้วประคองนางให้นอนลง “ท่านหญิงของข้า ท่านหยุดเสียเถิด ของบ้านเขานั้นอยู่ในท้องเฉินยางสามเดือนแล้ว พวกเราจะรีบเพียงใดก็ไม่ทัน”
เว่ยหมิ่นนอนอยู่บนแขนของเขา ถอนหายใจยาวๆ เงยหน้ามองม่านเจ็ดสีที่แขวนอยู่บนเตียง “อู๋เย่ว์ ไฉนข้ามักรู้สึกว่านี่เป็นความฝันเล่า ไม่สมจริงเอาเสียเลย ตอนยังเด็กข้าฝันอยู่ก็ยังไม่กล้าคิดเช่นนี้ สุดท้ายข้าถึงกับแต่งงานกับเจ้า นี่ไม่ใช่ความฝันจริงๆ หรือ”
เหลียงอู๋เย่ว์ถามนาง “เจ้าเสียใจหรือ”
นางส่ายหน้าไม่หยุด “ไม่เสียใจ ที่จริงแล้วก็ไม่ได้รู้สึกไม่ดีอะไร เพียงแต่คิดว่า ตอนเจ้ายังเด็กหน้าตาก็ไม่ได้แย่ไปกว่าเฝิงเยี่ยไป๋ แม้ว่าจะชอบร้องไห้เป็นเด็กผู้หญิง เพียงแต่ไฉนข้าถึงไม่สนใจเจ้าเลย”
“ข้าก็นึกไม่ถึง เจ้ารักเฝิงเยี่ยไป๋ลึกซึ้งเช่นนั้น สุดท้ายแล้วถึงกับแต่งงานกับข้า วันชุมนุมใหญ่วันนั้น เจ้าก็รู้ว่าข้าจงใจกระมัง ดังนั้นเจ้าก็จงใจเช่นกัน คำถามที่เจ้าถามเหล่านั้น มีเพียงข้าที่ตอบได้ พวกไร้แววตาพวกนั้น ก็ไม่ดูว่าตัวเองเป็นเช่นไร ยังคิดจะแต่งงานกับเจ้า พวกเขาช่างกล้าฝันเสียจริง!”
เว่ยหมิ่นหมอบอยู่ที่อกของเขา ชี้ไปลากมา “ก็ผ่านมาหลายปีเช่นนี้แล้ว ที่จริงแล้วตอนแรกข้าก็ไม่แน่ใจว่าเจ้าจะตอบได้ ข้าคิดว่าต่อให้เจ้าพูดผิด ข้าก็จะบอกว่าเจ้าพูดถูก เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าเจ้าถึงกับตอบถูกทั้งหมด ดังนั้นในตอนนั้นข้าก็รู้สึกหวั่นไหวอยู่เช่นกัน”