บทที่ 416 ขวากหนามที่ต้องกำจัด

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 416 ขวากหนามที่ต้องกำจัด

 

 

“เรื่องนั้นต้องมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยอยู่แล้ว เพียงแต่มันไม่ใช่เหตุผลหลัก ณ บัดนี้”

 

 

นักพรตหญิงชินหันกลับมามองหน้าเด็กหนุ่ม “เว่ยหมิงเฉินอาศัยข่าวลือที่เจ้ามีกับหลิงเฉินเป็นข้ออ้างมาเล่นงานเจ้าก็จริง ต่อให้เจ้าไม่ได้เป็นผู้ที่ถูกเลือก เขาก็คงไม่ปล่อยให้เจ้าลอยนวลอยู่แล้ว แต่ในเมื่อเจ้าเป็นถึงผู้ที่ถูกเลือกและสามารถสื่อสารกับเทพีกระบี่ได้โดยตรง เว่ยหมิงเฉินก็มีแต่ต้องรีบฆ่าเจ้าเท่านั้น เพื่อที่เจ้าจะได้ไม่ไปทำลายแผนการทั้งหมดของเขา”

 

 

“แผนการหรือขอรับ?”

 

 

หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “ข้าน้อยจะไปขัดขวางแผนการของเขาได้อย่างไร? เว่ยหมิงเฉินวางแผนอะไรอยู่กันแน่?”

 

 

“เขาอยากจะขึ้นสู่ตำแหน่งนักพรตเทวะ ซึ่งเป็นตำแหน่งในจักรวรรดิเป่ยไห่ที่กุมอำนาจสำคัญอยู่ในมือ ไม่ว่าจะเป็นทางด้านการเมืองหรือศาสนา”

 

 

นักพรตหญิงชินอธิบาย

 

 

การที่ได้ขึ้นสู่ตำแหน่งนักพรตเทวะ ก็ไม่ต่างจากได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิ

 

 

“ฟังดูเขาเป็นคนทะเยอทะยานดีนะขอรับ”

 

 

หลินเป่ยเฉินยกมือเกาหัวโดยไม่รู้ตัว “ความจริงเขาไม่ต้องสนใจข้าน้อยก็ได้กระมัง ข้าน้อยยินดีหลีกทางให้เขาแต่โดยดี เพราะข้าน้อยไม่มีความสนใจที่จะไปแย่งชิงอำนาจกับเขา และแน่นอนว่าเรื่องการแย่งชิงหลิงเฉินก็ไม่มีความสนใจเช่นกัน เพราะฉะนั้น ระหว่างข้ากับเขาก็น่าจะต่างคนต่างอยู่ได้นะขอรับ…”

 

 

แต่พูดยังไม่ทันจบ หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกได้ถึงรังสีอำมหิตที่แผ่มากระทบใบหน้า

 

 

หลินเป่ยเฉินหันกลับไปมองก็พบเข้ากับสายตาดุดันของนักพรตหญิงชิน จึงต้องรีบยกมือขึ้นทำท่ายอมแพ้ “ข้าน้อยพูดเล่นขอรับ เพียงแค่อยากผ่อนคลายบรรยากาศเท่านั้น… ข้ากับเว่ยหมิงเฉินย่อมไม่สามารถอยู่ร่วมโลกกันได้อีกแล้ว”

 

 

“เจ้าเป็นคนสังหารไป๋ไห่ชิน ซึ่งเป็นอาจารย์ของเขา และยังกล่าวหาว่าไป๋ไห่ชินเป็นสาวกปีศาจ แล้วเจ้าคิดว่าเขาอยากจะอยู่ร่วมโลกเดียวกันกับเจ้าหรืออย่างไร”

 

 

นักพรตหญิงชินมีแววตาที่อ่อนโยนขึ้นมาเล็กน้อย “เจ้าคิดว่าเรื่องราวระหว่างเจ้ากับเว่ยหมิงเฉิน ยังมีทางประนีประนอมกันได้อีกหรือ? ในสายตาของเว่ยหมิงเฉิน เขาไม่ได้มองเจ้าแบบที่เจ้ามองเขา เว่ยหมิงเฉินคิดว่าเจ้ากำลังใช้สถานะผู้ที่ถูกเลือกประกาศสงครามกับเขาโดยเฉพาะ และสำหรับเว่ยหมิงเฉิน เมื่อศัตรูประกาศสงคราม เขาก็มีแต่ต้องกำจัดศัตรูทิ้งไปเท่านั้นเอง”

 

 

หลินเป่ยเฉินพูดออกมาด้วยความหมดหวัง “แต่ข้าไม่ใช่คนผิดสักหน่อยนะขอรับ ว่าแต่ทำไมไป๋ไห่ชินถึงได้มีแต่ลูกศิษย์ฝีมือเก่งกาจขนาดนี้ มันไม่มีเหตุผลเลยนะขอรับ ในเมื่ออาจารย์ของเขาเป็นแค่มือกระบี่ชั้นนำทั่วไป แม้แต่ข้าน้อยเขาก็ยังสู้ไม่ได้ แล้วเพราะเหตุใด คนที่มีฝีมือสูงส่งอย่างเว่ยหมิงเฉิน ถึงยอมกราบไหว้ไป๋ไห่ชินเป็นอาจารย์?”

 

 

นักพรตหญิงชินมองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาเยือกเย็น แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก

 

 

หลินเป่ยเฉินมึนงงเล็กน้อย แต่ก็เข้าใจในที่สุด

 

 

เขารีบยิ้มออกมาโดยเร็ว “ข้าน้อยเข้าใจแล้วขอรับ ข้าน้อยหลงตัวเองมากเกินไป… ข้าน้อยไม่ควรดูถูกอาจารย์ของเขา แต่อย่างไรก็ตาม ข้าน้อยก็ยังคิดว่าการที่เว่ยหมิงเฉินลดตัวลงมากราบไหว้เป็นลูกศิษย์ของไป๋ไห่ชิน ก็นับเป็นเรื่องราวที่ไม่สมเหตุสมผลอยู่ดี”

 

 

นักพรตหญิงชินตอบว่า “สิ่งที่เจ้าสงสัยมีอยู่เหตุผลเดียวเท่านั้น ไป๋ไห่ชินเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถมอบสถานะลูกศิษย์เมืองไป๋หยุนให้แก่เว่ยหมิงเฉินได้ และยังไม่ต้องพูดถึงว่าพื้นเพความเป็นมาของเขามีความลึกลับดำมืดมากแค่ไหน”

 

 

หลินเป่ยเฉินนิ่งเงียบไปอย่างใช้ความคิด

 

 

นักพรตหญิงชินรอคอยให้เด็กหนุ่มตกตะกอนความคิดด้วยความอดทน

 

 

แต่แล้วนางก็กล่าวออกมาอีกครั้ง “นั่นก็ถือเป็นปริศนาอีกหนึ่งอย่างของเว่ยหมิงเฉิน เขายินดีทำทุกอย่างเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของตนเองเสมอ แม้แต่การยอมลดตัวลงเป็นลูกศิษย์ของไป๋ไห่ชิน เขาก็สามารถกระทำได้อย่างไม่มีปัญหา ยิ่งไปกว่านั้น การเป็นลูกศิษย์ของไป๋ไห่ชินยังนับเป็นการยกระดับเว่ยหมิงเฉินให้กลายเป็นจุดสนใจมากยิ่งขึ้น ตอนที่ข้าไปเยี่ยมเมืองไป๋หยุนในครั้งนั้น เขาเป็นเพียงคนของตระกูลเว่ยระดับปลายแถว แต่ผ่านไปเพียงไม่นาน เว่ยหมิงเฉินก็ไต่เต้าขึ้นมามีตำแหน่งเป็นถึงหัวหน้าตะกูลเว่ย ซ้ำยังได้ครอบครองตำแหน่งนักพรตใหญ่ที่อายุน้อยที่สุดของวิหารประจำเมืองอีกด้วย…”

 

 

“วะ… ว่าไงนะขอรับ!”

 

 

หลินเป่ยเฉินถึงกับต้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ “เว่ยหมิงเฉิน… มีตำแหน่งเป็นถึงนักพรตใหญ่เชียวหรือ?”

 

 

นักพรตหญิงชินตอบว่า “นี่คือข้อมูลที่ส่งต่อเฉพาะนักบวชระดับสูงเท่านั้น ข้าเองก็เพิ่งทราบข่าวเมื่อวันก่อน มีการส่งคำร้องขอมาจากวิหารกลางประจำเมืองเฉียนเกาว่า พวกเขามีความต้องการที่จะแต่งตั้งเว่ยหมิงเฉินขึ้นเป็นนักพรตใหญ่ประจำเมือง…”

 

 

ให้มันได้แบบนี้สิ

 

 

หลินเป่ยเฉินตกใจจนแทบจะกัดลิ้นตัวเองตาย

 

 

เดิมทีเขาเข้าใจว่าการที่ตนเองได้ขึ้นเป็นหัวหน้านักบวชประจำเมือง ก็ถือว่าเป็นบุคคลพิเศษประจำจักรวรรดิ ไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวใครหน้าไหนอีกต่อไป นอกจากท่านป้านักพรตใหญ่ผู้ใจดีและนักพรตหญิงชินเพียงสองคนเท่านั้น

 

 

แต่กลับปรากฏว่าศัตรูของเขาในขณะนี้ก็มีตำแหน่งเป็นถึงนักพรตใหญ่เช่นกัน

 

 

หรือพูดง่ายๆ ก็คือเว่ยหมิงเฉินมีตำแหน่งเทียบเท่ากับท่านป้านักพรตใหญ่ผู้ใจดีคนนั้น

 

 

และถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายกว่านั้นก็คือ เว่ยหมิงเฉินมีสถานะสูงส่งมากกว่าหลินเป่ยเฉินหลายเท่า

 

 

“ข้าน้อยขอถามได้ไหมขอรับว่าเว่ยหมิงเฉินมีระดับพลังอยู่ในขั้นไหนแล้ว?” หลินเป่ยเฉินถามออกมาด้วยความสงสัย “อย่าบอกนะว่าเขามีพลังอยู่ในขั้นเซียน?”

 

 

“ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก”

 

 

นักพรตหญิงชินให้คำตอบ “เขามีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์”

 

 

หลังจากหยุดไปเลยน้อย นักบวชสาวก็กล่าวต่อ “เขาออกเดินทางมาตั้งแต่เดือนก่อน และเผชิญหน้ากับมือกระบี่ทั่วสารทิศ จวบจนถึงปัจจุบันต่อสู้มาแล้ว 36 ครั้ง ไม่เคยพบกับความพ่ายแพ้เลยสักครั้ง และคู่ต่อสู้ที่มีระดับพลังสูงสุดซึ่งต้องพ่ายแพ้ให้กับเขา ก็อยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลาย”

 

 

“เฮอะ…”

 

 

หลินเป่ยเฉินเสแสร้งแกล้งทำเป็นไม่สนใจ “ไม่เห็นจะน่ากลัวเลยขอรับ”

 

 

แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้น หลินเป่ยเฉินคิดว่าเว่ยหมิงเฉินโคตรจะน่ากลัวที่สุด

 

 

เขาแค่อยากจะอาศัยอยู่ในโลกจอมยุทธ์แห่งนี้แบบเงียบๆ เพื่อหาทางกลับสู่โลกมนุษย์ให้ได้

 

 

หลินเป่ยเฉินไม่อยากมีปัญหากับใครทั้งนั้น

 

 

แต่ทำไมเขาถึงได้มีศัตรูทยอยปรากฏตัวออกมาไม่เคยขาดสายเลยนะ?

 

 

นักพรตหญิงชินมองเห็นความเปลี่ยนแปลงบนสีหน้าของหลินเป่ยเฉิน ก็รอคอยให้เด็กหนุ่มใจเย็นลง หลังจากถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกแล้ว นักบวชสาวก็เริ่มอธิบายสถานการณ์ต่อไป

 

 

“บัดนี้ เจ้าเป็นเสมือนหนามยอกอกของเว่ยหมิงเฉิน ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไร มันช่างขวางหูขวางตาเขาเหลือเกิน ด้วยเหตุนี้ เว่ยหมิงเฉินจึงไม่มีทางปล่อยเจ้าไปแน่นอน เขาต้องเป็นผู้ที่ถูกเลือกของเทพีกระบี่แต่เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น อำนาจของวิหารหลวงต้องอยู่ในมือของเขาแต่เพียงผู้เดียว และไม่ว่าเจ้าจะรู้ตัวหรือไม่ แต่การปรากฏตัวของเจ้า ก็ทำให้อำนาจของเขาในวิหารหลวงต้องสั่นคลอน เพราะเจ้าก็คงรู้ดีว่าบรรดานักบวชชั้นผู้ใหญ่ที่ไม่ได้สนับสนุนเว่ยหมิงเฉิน ก็จะหันมาหนุนหลังเจ้าแทนทันที อย่างเช่นตัวข้า หรือท่านนักพรตใหญ่จากวิหารหลวงเจาฮุยนั่นเอง”

 

 

นักพรตหญิงชินจบการอธิบายด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น

 

 

หลินเป่ยเฉินมีสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง เขารู้แล้วว่าตนเองไม่สามารถอยู่นิ่งเฉยได้อีกต่อไป

 

 

ถ้าให้ต้องต่อสู้กับเว่ยหมิงเฉินขึ้นมาจริงๆ ตัวเขาก็มีแต่ตายกับตายเท่านั้น

 

 

ไม่มีหวังที่จะเอาชนะได้เลยสักนิด

 

 

เด็กหนุ่มยกมือจับคางของตนเองอย่างใช้ความคิด หลังจากนั้นจึงนึกอะไรขึ้นมาได้ เขายกมือตบหน้าผากและพูดออกมาด้วยความสงสัยใจว่า “เรายังมีทางออกนะขอรับ ในเมื่อเว่ยหมิงเฉินบอกว่าเขาเป็นร่างทรงเทพเจ้าตัวจริง ถ้าอย่างนั้นให้เขาลองติดต่อเทพีกระบี่ให้พวกเราทุกคนดูไหมขอรับ? เพราะตลอดเวลาที่ข้าน้อยสื่อสารกับท่านเทพี ก็ไม่เคยเห็นท่านบอกเลยสักครั้งว่าเว่ยหมิงเฉินเป็นร่างทรงของท่านเช่นกัน”

 

 

นี่คือทางออกของปัญหาที่เรียบง่ายมากที่สุด

 

 

ในเมื่อเว่ยหมิงเฉินแอบอ้างว่าตนเองเป็นร่างทรงเทพีกระบี่ เพราะฉะนั้น เขาก็ควรสื่อสารกับนางได้อย่างไม่มีปัญหา

 

 

แต่ถ้าผลออกมาปรากฏว่าเว่ยหมิงเฉินไม่สามารถสื่อสารกับเทพีกระบี่ได้จริง นี่ก็คงเป็นหลักฐานที่พิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นแล้วว่า เว่ยหมิงเฉินเป็นเพียงจอมโกหกหลอกลวงคนหนึ่งเท่านั้น?

 

 

เมื่อเห็นสีหน้างุนงงสงสัยของหลินเป่ยเฉิน นักพรตหญิงชินก็ตอบกลับมาด้วยความใจเย็น “ถ้าวิธีนี้สามารถทำได้ พวกข้าก็คงทำไปนานแล้ว”

 

 

ให้ตายเถอะ

 

 

หลินเป่ยเฉินยกมือเกาหัวแกรกๆ

 

 

ไม่คิดจะอธิบายอะไรเพิ่มเติมเลยหรือไง

 

 

สำหรับกับคนอย่างนักพรตหญิงชิน ถ้านางไม่อยากพูด คาดคั้นไปก็ไร้ประโยชน์

 

 

หลินเป่ยเฉินจึงไม่ถามอะไรอีกแล้ว

 

 

“วันนี้จูปี้ฉี หนึ่งในสี่มือกระบี่ผู้พิทักษ์ของเว่ยหมิงเฉินมาปรากฏตัวที่ตำหนักไม้ไผ่ด้วยขอรับ เห็นว่าเขามีฉายากระบี่สุราโลหิต…”

 

 

แล้วหลินเป่ยเฉินก็บอกเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อตอนเที่ยง

 

 

นักพรตหญิงชินพูดว่า “ข้าเองก็กำลังจะบอกเรื่องนี้แก่เจ้าอยู่พอดี องครักษ์ลำดับที่ 4 ของเว่ยหมิงเฉินมีนามว่าเจียงจี้หลิว เขามีสถานะเป็นลูกศิษย์สำนักกระบี่หลวงระดับสามัญประจำมณฑลเฟิงอวี่ และสมัยที่ศึกษาอยู่ในเมืองเจาฮุยนั้น เจียงจี้หลิวก็ทำคะแนนได้เป็นอันดับ 1 ประจำเมือง ตอนแรกเมื่อมีข่าวว่าเขาจะเข้าร่วมการแข่งขันจตุรมิตรสามัคคี เจียงจี้หลิวก็ออกมาปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง ทว่า ข้อมูลล่าสุดที่ข้าได้มาก็คือเจียงจี้หลิวใส่ชื่อของตนเองเป็นผู้ร่วมการแข่งขันเรียบร้อยแล้ว เรื่องราวต่อจากนี้ ก็ขึ้นอยู่กับตัวเจ้าแล้วเท่านั้น”

 

 

นักบวชสาวนำม้วนกระดาษม้วนหนึ่งออกมา “นี่คือข้อมูลรายละเอียดทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับเจียงจี้หลิว นำกลับไปศึกษาดูให้ดี ในเมื่อจูปี้ฉีเดินทางมาประกาศสงครามกับเจ้าถึงที่พัก เจ้าก็สมควรเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการแข่งขัน จะประมาทไม่ได้เด็ดขาด”

 

 

“เข้าใจแล้วขอรับ”

 

 

หลินเป่ยเฉินพยักหน้า

 

 

นักพรตหญิงชินนำม้วนกระดาษอีกสองม้วนออกมา แต่ม้วนกระดาษเหล่านี้มีสภาพเก่าแก่มากทีเดียว “ส่วนนี่เป็นคัมภีร์ฝึกวิชาที่เหมาะสมต่อผู้มีพลังปราณธาตุไฟ แล้วก็นี่ คัมภีร์ฝึกพลังจิตที่เหมาะสมต่อระดับพลังของเจ้าขณะนี้ นำกลับไปศึกษาโดยละเอียด และจงตั้งใจฝึกฝน ข้ารู้ว่าเจ้าสามารถพัฒนาฝีมือได้รวดเร็วอย่างปาฏิหาริย์ จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคัมภีร์เหล่านี้จะสามารถช่วยเหลือเจ้าได้ไม่มากก็น้อย”

 

 

หลินเป่ยเฉินแย้มยิ้มด้วยความสุขใจ

 

 

คัมภีร์เหล่านี้สามารถช่วยเหลือเขาได้เยอะจริงๆ เพราะนอกจากคัมภีร์อัคคีฟ้าประทานที่ได้มาจากถุงเก็บของวิเศษของสวีหวั่นหลัวแล้ว หลินเป่ยเฉินก็ยังไม่มีคัมภีร์ที่เกี่ยวข้องกับการฝึกฝนด้วยพลังปราณธาตุไฟเลยสักเล่ม

 

 

และในส่วนของคัมภีร์ที่เกี่ยวข้องกับพลังจิตนั้น คัมภีร์มังกรคำรณก็ไม่เหมาะสมกับระดับพลังของเขานานแล้ว ดังนั้น หลินเป่ยเฉินจึงไม่ได้ฝึกฝนพลังทางด้านพลังจิตมาพักใหญ่

 

 

เมื่อนักพรตหญิงชินมอบม้วนคัมภีร์ทั้งสามเล่มให้แก่หลินเป่ยเฉินเสร็จเรียบร้อย นางก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนอย่างแช่มช้า

 

 

นักบวชสาวไม่ลืมกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “โปรดจำเอาไว้ ในระหว่างการแข่งขันจตุรมิตรสามัคคี ถ้าเจ้ารู้ตัวว่าสู้ไม่ได้ ให้รีบขอยอมแพ้กับกรรมการโดยทันที และอย่าได้คิดว่าเจ้าจะโชคดีเหมือนที่ต่อสู้กับเฉาพั่วเถียนครั้งที่แล้ว เพราะว่าถ้าเจ้าทำเช่นนั้นอีก ก็ถือเป็นการอนุญาตให้พวกของเว่ยหมิงเฉินได้ฆ่าเจ้าทิ้งด้วยตัวเจ้าเอง”

 

 

“อาจารย์วางใจได้เลยขอรับ”

 

 

หลินเป่ยเฉินยกมือตบหน้าอกด้วยความมั่นใจ “มีแต่พวกสมองไม่ปกติเท่านั้นแหละที่จะทำเรื่องราวเช่นนั้นได้”

 

 

นักพรตหญิงชินรู้สึกเหมือนจะพูดอะไรไม่ออก

 

 

“จำเอาไว้ว่าถ้าเกิดปัญหาอะไรขึ้น เจ้าอย่าเพิ่งด่วนทำอะไรวู่วาม ให้รีบมาหาข้าก่อนเป็นลำดับแรก”

 

 

เมื่อนักพรตหญิงชินพูดจบแล้ว นางก็หมุนตัวเดินจากไป

 

 

 

 

“เจียงจี้หลิว อายุ 15 ปี…”

 

 

“เป็นบุตรที่ถือกำเนิดเกิดขึ้นมาจากหัวหน้าตระกูลเจียงประจำมณฑลเฟิงอวี่กับหญิงรับใช้ในจวน และเนื่องจากมีมารดาสถานะต่ำต้อย เจียงจี้หลิวจึงถูกรังแกมาตั้งแต่เด็ก ร่างกายของเขาอ่อนแอ ไม่สามารถฝึกวิทยายุทธ์ หรือใช้พลังลมปราณใดๆ ได้…”

 

 

“แต่เรื่องราวที่แปลกประหลาดก็เกิดขึ้น เมื่อเจียงจี้หลิวมีอายุครบ 10 ปี ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป!”

 

 

“เขากลับมามีร่างกายแข็งแรง ใช้เวลาฝึกฝนวิทยายุทธ์เพียงครึ่งปีเท่านั้น เจียงจี้หลิวก็สามารถบรรลุขั้นผู้ฝึกยุทธ์ตอนปลาย และฆ่าพี่น้องตระกูลเดียวกันที่คอยรังแกมารดาของเขาตายไปทั้งสิ้น 12 คน เรื่องนี้ทำให้ชาวเมืองเจาฮุยตกใจเป็นอย่างยิ่ง หัวหน้าตระกูลเจียงให้ความสนใจกับลูกนอกสมรสคนนี้ขึ้นมาทันที ไม่ใช่ว่าเขาอยากจะลงโทษเจียงจี้หลิว แต่กลับกลายเป็นว่าหัวหน้าตระกูลเจียงอยากสนับสนุนบุตรชายคนนี้อย่างสุดความสามารถ สุดท้ายเขาก็นำตัวเจียงจี้หลิวมาเรียนวิชากระบี่อย่างจริงจัง”

 

 

“จนกระทั่งมีอายุได้ 14 ปี เจียงจี้หลิวก็มีพลังอยู่ในขั้นปรมาจารย์ เขามีพลังปราณธาตุสายฟ้า ซึ่งนับเป็นพลังปราณธาตุที่หาได้ยาก อีกทั้งยังมีฝีมือกระบี่ที่ร้ายกาจ ไม่มีใครสามารถต่อกรกับเจียงจี้หลิวได้อีกแล้ว…”

 

 

“เขาถูกยกย่องให้เป็นผู้ที่จะมาสืบทอดความสำเร็จของหลินถิงซานคนต่อไป…”

 

 

“หลังจากนั้น เจียงจี้หลิวก็ออกเดินทางพร้อมกับกระบี่คู่กาย ท่องเที่ยวไปทั่วจักรวรรดิ…”

 

 

“หนึ่งปีที่แล้ว เจียงจี้หลิวได้พ่ายแพ้ให้แก่การประลองกระบี่ต่อเว่ยหมิงเฉิน และเขาก็กลายเป็น 1 ใน 4 องครักษ์ผู้ติดตามเว่ยหมิงเฉินนับจากนั้นเป็นต้นมา”

 

 

ภายในห้องโดยสารของรถม้า หลินเป่ยเฉินอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของเจียงจี้หลิว ซึ่งเป็นคู่ต่อสู้ที่เขากำลังจะต้องพบเจอในการแข่งขันจตุรมิตรสามัคคี

 

 

ม้วนกระดาษที่เป็นข้อมูลส่วนตัวของเจียงจี้หลิวมีอยู่ด้วยกันทั้งหมดถึงเก้าหน้า

 

 

เจียงจี้หลิวเป็นผู้ชนะเกือบทุกครั้งของการต่อสู้

 

 

และทุกครั้งที่เขาต่อสู้ ใบหน้าของเด็กหนุ่มจะเปลี่ยนไป

 

 

มีข่าวลือว่าหลังจากเจียงจี้หลิวอายุ 10 ขวบ นอกจากมารดาของเขาแล้ว ก็ไม่เคยมีผู้ใดได้พบเห็นหน้าตาที่แท้จริงของเจียงจี้หลิวอีกเลย

 

 

ฉายากระบี่พันหน้ามาจากเหตุผลนี้เอง

 

 

เจียงจี้หลิวมีฝีมือเก่งกาจถึงขนาดนี้ได้อย่างไร ในเมื่อก่อนหน้านี้เขายังเป็นเพียงเด็กชายร่างกายอ่อนแออยู่เลย

 

 

“หรือว่าหมอนี่มันจะทะลุมิติมาเหมือนเราหว่า?”

 

 

หลินเป่ยเฉินม้วนกระดาษเก็บคืนดังเดิมและพึมพำกับตนเอง

 

 

ส่วนใหญ่ชีวิตในนิยายของพวกพระเอกที่ทะลุมิติจากโลกมนุษย์ไปสู่โลกอื่น ก็มักจะเป็นแบบนี้ทั้งนั้น

 

 

แต่มันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ หรือ?

 

 

“เราทะลุมิติมาอยู่ในร่างของหลินเป่ยเฉินตอนอายุ 14 เหมือนกัน หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินที่ทุกคนรู้จักก็เป็นผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทาน ส่วนเจียงจี้หลิวพอมีอายุครบ 14 ปี ก็ออกเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วจักรวรรดิ แต่สุดท้ายก็ต้องมาพ่ายแพ้ให้กับเว่ยหมิงเฉิน…นั่นหมายความว่าเจียงจี้หลิวต้องมีระดับพลังไม่ต่ำกว่าขั้นปรมาจารย์ระดับที่ 3 แน่นอน!”

 

 

“ถ้าภารกิจเพิ่มพลังแบบก้าวกระโดดสำเร็จลงด้วยดี เราก็จะเลื่อนระดับสู่ขั้นยอดปรมาจารย์ได้สำเร็จ เพียงเท่านี้ก็ไม่ต้องหวาดกลัวเจียงจี้หลิวอีกแล้ว”

 

 

หลินเป่ยเฉินนั่งอยู่ในห้องโดยสารของรถม้า ค่อยๆ ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

 

 

เขารู้สึกกดดันเหลือเกิน

 

 

แต่ในเวลาเดียวกันนี้ หลินเป่ยเฉินก็อดรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาไม่ได้

 

 

เขาจะเลื่อนระดับพลังได้ทันเวลาแข่งรายการจตุรมิตรสามัคคีหรือไม่นะ?

 

 

หลินเป่ยเฉินได้แต่หวังว่าตนเองจะทำสำเร็จ