บทที่ 415 นี่คือเรื่องใหญ่

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 415 นี่คือเรื่องใหญ่

 

 

ฉุยหมิงโหลวถึงกับตกตะลึงอยู่ตรงนั้น

 

 

ยอดเยี่ยมเกินไป

 

 

ดีเลิศเกินไป

 

 

สูงส่งเกินไป

 

 

มีบุคคลที่ดีงามเช่นนี้อยู่ในโลกด้วยหรือ

 

 

ผลไม้สวรรค์เป็นสิ่งที่เทพเจ้าประทานให้แก่มนุษย์ผู้โชคดี

 

 

ถ้าเปลี่ยนเป็นเขา ฉุยหมิงโหลวคงเก็บเรื่องนี้เป็นความลับไม่ยอมปริปากบอกใครแน่นอน และเขาจะรับประทานผลไม้สวรรค์นั้นคนเดียว เพื่อกลายเป็นผู้แข็งแกร่งโดยไม่ต้องแบ่งปันกับผู้ใด

 

 

อีกอย่าง นี่คือเรื่องใหญ่

 

 

ไม่สมควรบอกให้ใครรู้เด็ดขาด

 

 

แม้แต่ญาติสนิทมิตรสหายก็ให้รู้ไม่ได้

 

 

แต่หลินเป่ยเฉินกลับเลือกที่จะเปิดเผยเรื่องราวนี้ต่อพวกเขา

 

 

หลินเป่ยเฉินต้องมีจิตใจที่ประเสริฐเลิศล้ำขนาดไหนกัน?

 

 

บางทีนี่อาจเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เด็กหนุ่มกลายเป็นผู้ที่ถูกเลือกสำหรับเทพีกระบี่กระมัง?

 

 

ภายใต้หน้ากากสุดแสนเจ้าเล่ห์และโฉดชั่ว หลินเป่ยเฉินได้ซุกซ่อนหัวใจแห่งความดีงามและบริสุทธิ์เอาไว้อย่างนั้นหรือ?

 

 

ฉุยหมิงโหลวรู้แล้วว่าคงเป็นเพราะเหตุนี้เอง บิดาของเขาถึงได้มีคำสั่งให้ตีสนิทหลินเป่ยเฉินให้ได้โดยเร็วที่สุด เนื่องจากท่านมองออกว่าเด็กหนุ่มคนนี้ต้องกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในอนาคตแน่นอนใช่หรือไม่?

 

 

ผู้ดำรงตำแหน่งท่านเจ้าเมืองต้องคิดอ่านการณ์ไกลมากกว่าคนทั่วไปอยู่แล้ว

 

 

แต่สำหรับกับผู้คนที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับหลินเป่ยเฉิน แม้พวกเขาจะรู้สึกซาบซึ้งใจอยู่ไม่น้อย แต่ก็ยังสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ

 

 

ไป๋ชินหยุนพูดขึ้นเป็นคนแรก “ทำไมเจ้าไม่เอาผลไม้สวรรค์ไปขายแลกเงินล่ะ? เจ้าจะเอามาแบ่งปันกับพวกเราเพื่ออะไร? ข้าว่าเรามาพูดกันให้ชัดเจนก่อนดีกว่า การฝึกฝนพิเศษในครั้งนี้ เจ้าไม่ได้คิดเก็บเงินพวกเราใช่ไหม?”

 

 

หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปด้วยความหงุดหงิดใจ “ขายแลกเงินอย่างนั้นหรือ? คุณหนูไป๋ เจ้าเห็นผู้อื่นเป็นคนหน้าเงินขนาดนั้นเลยหรืออย่างไร?”

 

 

“งั้นเจ้าก็ลองดูถังกู่จินเป็นตัวอย่างสิ”

 

 

ฉู่เหินแอบโน้มตัวเข้ามากระซิบ

 

 

หลินเป่ยเฉินเคยหลอกเอาเงินผู้ตรวจการมณฑลถึง 3 แสนเหรียญทองคำ แล้วจะไม่ให้ทุกคนคิดว่าเขาเป็นพวกหน้าเงินได้อย่างไร?

 

 

หลินเป่ยเฉินที่พยายามปั้นสีหน้าเคร่งขรึมพลันปรับเปลี่ยนเป็นความไม่พอใจ “ท่านคิดว่าผู้ที่มีสถานะผู้ที่ถูกเลือกจะโกหกได้ลงคอหรือ? นี่คือการช่วยเหลือผู้คนชนิดหนึ่งต่างหาก…”

 

 

ทันใดนั้น ทุกคนระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

 

 

บรรยากาศเต็มไปด้วยความสุข

 

 

ถึงจะรู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่บ้าง แต่ทุกคนก็รับปากว่าจะมาร่วมฝึกฝนพิเศษกับหลินเป่ยเฉิน

 

 

อีกอย่าง การฝึกฝนพิเศษครั้งนี้กินเวลาแค่ 5 วันเท่านั้น ไม่เห็นจะมีอะไรเสียหาย เพราะอย่างไรพวกเขาก็ต้องฝึกวิทยายุทธ์ของตนเองอยู่แล้ว

 

 

“เริ่มจากวันพรุ่งนี้เป็นต้นไป ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ขอให้ทุกคนมารวมตัวกันที่ตำหนักไม้ไผ่”

 

 

หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

 

 

หลังจากนั้น เขาก็ดึงตัวหลิวฉีไห่กับพานเว่ยหมินไปพูดคุยเพื่อคิดค้นสูตรการนำผลไม้สวรรค์มาทำเป็นอาหารให้ทุกคนได้รับประทาน

 

 

“ผลไม้สวรรค์ที่วิเศษถึงเพียงนี้ ต่อให้มีเงินก็ซื้อหาไม่ได้ เพราะฉะนั้นมันจึงราคาแพงมาก แน่ใจนะว่าเจ้าไม่อยากนำมันไปขาย?”

 

 

หลิวฉีไห่ยังคงเบิกตาโตด้วยความเหลือเชื่อ เขาไม่เข้าใจเลยว่าในสมองของหลินเป่ยเฉินกำลังคิดอะไรอยู่

 

 

“นี่คือของขวัญจากเทพเจ้า ข้าน้อยเก็บเอาไว้คนเดียวไม่ได้หรอกขอรับ ในฐานะที่ทุกคนก็เป็นผู้ศรัทธาในเทพีกระบี่เหมือนกัน ก็สมควรได้รับการแบ่งปันของขวัญที่ท่านเทพีเป็นผู้ประทานมา”

 

 

หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังน่าเชื่อถือ

 

 

หลิวฉีไห่กับพานเว่ยหมินหันมองหน้ากัน ทั้งสองคนรู้จักกันมานาน เพียงมองตาก็รู้ใจว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ ดังนั้น เมื่อตั้งสติได้แล้ว หลิวฉีไห่จึงกล่าวต่ออีกครั้ง “เจ้าช่วยแบ่งผลไม้สวรรค์สักส่วนเล็กๆ มาให้พวกเรานำกลับไปวิเคราะห์ดูหน่อยได้หรือไม่”

 

 

หลินเป่ยเฉินนำเศษแอปเปิลแห้งที่มีขนาดเท่ากับเล็บนิ้วมือเด็กออกมามอบให้ชายชราทั้งสองคน

 

 

“แค่นี้เองหรือ?”

 

 

อาจารย์ทั้งสองท่านต่างก็ลงความเห็นว่านี่เป็นเพียงเศษผลไม้แห้งธรรมดาเท่านั้น ใครจะคิดเลยว่านี่คือของวิเศษฟ้าประทาน?

 

 

หลังจากที่พูดคุยกันต่ออีกพักใหญ่ ฉู่เหิน ติงซานฉือและคนอื่นๆ ก็ขอตัวกลับ

 

 

“ท่านพี่ โจ๊กหม้อนี้วิเศษมากจริงๆ ข้าว่าข้าเริ่มฝึกเลยดีกว่า…”

 

 

เซียวปิงพูดด้วยสีหน้ากระตือรือร้น

 

 

แล้วการต่อสู้ประจำวันระหว่างเซียวปิงกับเจ้าหนูอากวงก็เริ่มขึ้นอีกครั้งในสนามหญ้าหน้าตำหนักไม้ไผ่

 

 

เฉียนเหมยกับเฉียนเจินพาฮันปู้ฮวยไปเข้าเรียนคาบบ่ายด้วยกัน

 

 

หลินเป่ยเฉินเปลี่ยนเสื้อผ้าและโดยสารรถม้าเดินทางไปที่วิหารเทพกระบี่

 

 

ถึงแม้เขาจะโดดเรียนจากสถานศึกษากระบี่ที่สามอยู่เป็นนิจ แต่หลินเป่ยเฉินไม่เคยโดดเรียนกับนักพรตหญิงชินเลยสักครั้ง

 

 

ระหว่างทาง เขากำลังชั่งใจอยู่ว่าควรบอกความลับเรื่องผลไม้สวรรค์กับนักพรตหญิงชินดีหรือไม่

 

 

แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจไม่บอก

 

 

หลินเป่ยเฉินเปิดคัมภีร์อัคคีฟ้าประทานดูในโทรศัพท์ เมื่อตอนเช้า เขาได้สแกนคัมภีร์ลงในเครื่อง บัดนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่เขาจะแปลงไฟล์คัมภีร์อัคคีฟ้าประทานให้กลายเป็นแอปพลิเคชัน เมื่อการดาวน์โหลดเสร็จเรียบร้อย หลินเป่ยเฉินก็สั่งให้เสี่ยวจี้ติดตั้งแอปลงในโทรศัพท์มือถือได้เลย

 

 

ตอนที่รถม้ามาถึงวิหารเทพกระบี่ ก็เป็นเวลาเดียวกับที่แอปพลิเคชันอัคคีฟ้าประทานเริ่มต้นทำงานพอดี

 

 

หลินเป่ยเฉินลองโคจรพลังจุดไฟขึ้นที่แขนของตนเอง

 

 

แต่ปัญหาเก่าก็ยังแก้ไขไม่ได้

 

 

“ทำไมเสื้อผ้าถึงยังไหม้ไฟอยู่อีกวะ?”

 

 

สุดท้าย หลินเป่ยเฉินก็นั่งอยู่ในห้องโดยสารของรถม้าด้วยสภาพเกือบเปลือยกาย สีหน้าเคร่งเครียด

 

 

ทำไมต้องเกิดปัญหานี้ขึ้นด้วยนะ

 

 

นอกจากเสื้อผ้าของเขาจะไหม้ไฟแล้ว สิ่งของอื่นๆ ในห้องโดยสารรถม้ากลับไม่ได้ไหม้ไฟแต่อย่างใด ไม่ว่าจะเป็นหมอนรองคอหรือเบาะรองนั่ง ผ้าม่านไปจนถึงผ้าห่ม ทุกอย่างล้วนยังคงอยู่ในสภาพปกติดีดังเดิม

 

 

เพราะอะไรกันนะ?

 

 

หรือว่าพลังปราณธาตุไฟของเขาตั้งค่ามาให้เผาไหม้เสื้อผ้าของตนเองโดยเฉพาะ?

 

 

ถ้าเป็นเช่นนั้น หลินเป่ยเฉินก็คิดว่ามันน่าจะมีวิธีแก้ไขการตั้งค่าได้บ้างสิ

 

 

“เอาวะ ตอนนี้อย่าเพิ่งคิดอะไรมากเลยดีกว่า บางทีเราอาจจะยังควบคุมพลังไม่ได้ดีอย่างที่คิดก็ได้”

 

 

หลินเป่ยเฉินพยายามปลอบใจตนเอง

 

 

ในไม่ช้า เขาก็เดินเข้าไปในวิหารเทพกระบี่

 

 

นักพรตหญิงชินรอคอยอยู่นานแล้ว

 

 

“วันนี้เจ้ามาไม่ทันเวลาดื่มน้ำชา”

 

 

นักพรตหญิงชินยังคงสวมใส่ชุดขาวสง่างามอยู่เช่นเดิม ใบหน้าที่สวยหยาดเยิ้มเป็นประกายสูงส่งน่าเกรงขาม แววตาที่คมกริบคู่นั้น เวลาที่จ้องมองใครก็ทำให้ผู้คนอยากสารภาพผิดออกมาทันที

 

 

“เอ่อ การจราจรติดขัด บนถนนมีรถม้าเยอะมากน่ะขอรับ…”

 

 

หลินเป่ยเฉินอธิบายด้วยน้ำเสียงจริงจัง

 

 

นักพรตหญิงชินกวาดสายตาสำรวจมองเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า “ข้ารู้เรื่องที่เกิดขึ้นในโรงเตี๊ยมหว่านเซิ่งเมื่อคืนนี้หมดแล้ว”

 

 

“หืม?”

 

 

หลินเป่ยเฉินชะงักกึก

 

 

วิหารเทพกระบี่ก็มีฝ่ายข่าวรวดเร็วดีเหมือนกันนะเนี่ย?

 

 

จบกัน

 

 

เขาคงกลายเป็นตัวชั่วร้ายในสายตาของนักพรตหญิงชินเป็นแน่แท้ มีอย่างที่ไหนมีสถานะเป็นถึงผู้ที่ถูกเลือกจากเทพีกระบี่ แต่กลับฆ่าคนเหมือนหั่นผักผ่าแตงโมตามใจชอบ หลินเป่ยเฉินเดาเอาว่าดีไม่ดีตนเองน่าจะถูกขับไล่ออกจากวิหารเทพกระบี่ในอีกไม่กี่อึดใจต่อจากนี้ด้วยซ้ำ

 

 

เพราะฉะนั้น บัดนี้เด็กหนุ่มจึงเริ่มวิตกกังวลขึ้นมาแล้ว

 

 

แต่นักพรตหญิงชินเพียงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบเท่านั้นว่า “ครั้งหน้าที่เจ้ามีปัญหา รีบมาหาข้าก่อนก็แล้วกัน”

 

 

“หา?”

 

 

หลินเป่ยเฉินไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน

 

 

แค่นี้เองหรือ?

 

 

นักพรตหญิงชินจะไม่พูดถึงเรื่องที่เขาฆ่าคนตายหลายศพในโรงเตี๊ยมกลางเมืองหน่อยหรือไง?

 

 

“เข้าเรียนได้”

 

 

นักพรตหญิงชินเดินไปนั่งลงที่โต๊ะตัวหนึ่งและเปิดคัมภีร์บัญญัติเทพเจ้าขึ้นมาเตรียมตัวสอน โดยไม่รอให้หลินเป่ยเฉินได้ตอบรับคำใดทั้งสิ้น

 

 

หลินเป่ยเฉินหัวใจพองโตขึ้นมาทันที

 

 

นักพรตหญิงชินยังคงเป็นห่วงเขาอยู่บ้างอย่างที่คิดจริงๆ ด้วย

 

 

ด้วยเหตุนี้ หลินเป่ยเฉินจึงตั้งใจเรียนเป็นพิเศษ

 

 

เวลาผ่านไปหลายชั่วยาม

 

 

เมื่อเห็นว่านักพรตหญิงชินกำลังเตรียมตัวเก็บของเลิกสอนตามปกติ หลินเป่ยเฉินก็อาศัยจังหวะนี้สอบถามขึ้นว่า “อาจารย์ขอรับ ข้าน้อยมีอะไรบางอย่างอยากจะปรึกษาท่านสักหน่อย”

 

 

นักพรตหญิงชินที่เก็บข้าวของเสร็จเรียบร้อย มีอันต้องวางคัมภีร์ทั้งหมดกลับลงบนโต๊ะอีกครั้งและกล่าวว่า “พูดมา”

 

 

หลินเป่ยเฉินบอกเล่าเรื่องราวที่เสื้อผ้าของตนเองถูกเผาไหม้ทุกครั้งที่เขาใช้พลังปราณธาตุไฟ

 

 

“ข้าก็ไม่เคยพบเจอปัญหาเช่นนี้เหมือนกัน”

 

 

นักพรตหญิงชินให้คำตอบโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด

 

 

หลังจากนั้น นางก็สั่งให้หลินเป่ยเฉินลองโคจรพลังปราณธาตุไฟให้ดู เมื่อสังเกตอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว นักพรตหญิงชินก็บอกว่า “นี่ไม่เกี่ยวกับทักษะการควบคุมไฟของเจ้าเลย แต่มันเป็นเพราะองค์ประกอบในเปลวไฟต่างหาก เจ้าสามารถกลืนกินเปลวไฟของสวีหวั่นหลัว สามารถต้านทานเปลวไฟของผู้อาวุโสสวี นั่นหมายความว่าพลังปราณธาตุของเจ้าเป็นพลังธาตุไฟชนิดพิเศษ ไม่ว่าจะใช่พลังจักรพรรดิมังกรไฟหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ ก็คือ มันเป็นพลังที่มีอานุภาพการทำลายล้างสูงส่ง…”

 

 

“นี่คือสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน มันคือเปลวไฟที่ไม่เคยถูกจุดในจักรวรรดิเป่ยไห่ เรียกได้ว่าเป็นเปลวไฟที่ไม่เคยถูกจุดในแผ่นดินนี้ด้วยซ้ำ และในเมื่อเป็นพลังพิเศษเฉพาะตัวไม่เหมือนใคร เจ้าก็ค่อยๆ ตรวจสอบดูก็แล้วกัน ว่าพลังของตนเองมีข้อดีข้อเสียอย่างไรบ้าง หลังจากนั้นก็จงตั้งชื่ออย่างเป็นทางการ ถ้าในวันข้างหน้ามีโอกาสเหมาะ เจ้าก็ไปที่สมาคมผู้มีพลังปราณธาตุไฟและจดทะเบียนชื่อพลังปราณธาตุของตนเองซะ”

 

 

“ความรอบรู้ในระดับนี้ สมแล้วที่เป็นอาจารย์ชินขอรับ” หลินเป่ยเฉินกล่าวชมเชยด้วยน้ำเสียงประจบประแจง “ในเมื่ออาจารย์ให้คำตอบเช่นนี้ มันก็คงไม่ผิดไปจากนี้แน่ ถ้าอย่างนั้น ข้าน้อยขอเอาชื่ออาจารย์มาตั้งเป็นชื่อพลังได้ไหมขอรับ? ไม่ทราบว่าอาจารย์มีชื่อเต็มๆ ว่าอะไรหรือ?”

 

 

นักพรตหญิงชินนิ่งเงียบ มองหน้าเด็กหนุ่มด้วยแววตาดุดัน

 

 

หลินเป่ยเฉินอดรู้สึกผิดขึ้นมาไม่ได้ทันที

 

 

ให้ตายสิ

 

 

แผนการหลอกถามชื่อล้มเหลวเสียแล้ว

 

 

ดังนั้น เขาจึงเสแสร้งแกล้งยิ้มและกล่าว “ข้าน้อยแค่ล้อเล่นขอรับ ความจริงข้าน้อยตั้งชื่อไว้แล้ว นี่เป็นพลังปราณธาตุไฟที่สามารถเปิดขึ้นมาได้จากการสวดมนต์ต่อหน้ารูปปั้นเทพีกระบี่ เพราะฉะนั้น ข้าจะตั้งชื่อมันว่า… พลังปราณธาตุไฟเทพเจ้าขอรับ”

 

 

“ตามใจเจ้าเถิด”

 

 

แววตาของนักพรตหญิงชินกลับมาราบเรียบไร้อารมณ์อีกครั้ง

 

 

หลังจากหยุดชะงักไปเล็กน้อย นักพรตสาวก็กล่าวออกมาว่า “เจ้ามีสิ่งใดจะถามอีกหรือไม่?”

 

 

หลินเป่ยเฉินส่ายหน้าตอบ “ไม่มีแล้วขอรับ”

 

 

“จริงนะ?”

 

 

“จริงขอรับ”

 

 

“แล้วเรื่องของเว่ยหมิงเฉิน เจ้าไม่คิดจะวางแผนรับมือล่วงหน้าเลยหรืออย่างไร?”

 

 

“เอ่อ…”

 

 

หลินเป่ยเฉินถึงกับต้องชะงักไปอีกครั้ง “อาจารย์รู้เรื่องนี้ด้วยหรือขอรับ? ฟังที่ข้าน้อยอธิบายก่อน ข้าน้อยไม่ได้ไปแย่งคนรักของเขามาจริงๆ นะขอรับ”

 

 

นักพรตหญิงชินยกมือขึ้นนวดขมับของตนเอง

 

 

“เรื่องนั้นข้ารู้”

 

 

นางสูดหายใจลึก ส่งผลให้หน้าอกไหวกระเพื่อมเล็กน้อย จากนั้นจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงพยายามอดทนอดกลั้นว่า “ความจริงแล้ว เรื่องนี้มันซับซ้อนมากกว่าที่เจ้าคิด เจ้ากลายเป็นเพียงเบี้ยตัวหนึ่งในกระดาน และนี่คือสิ่งที่อาจารย์ควรจะบอกเจ้า เว่ยหมิงเฉินไม่ได้เป็นเพียงผู้ที่ถูกเลือกเท่านั้น แต่เขายังเป็นผู้ทรยศอีกด้วย เว่ยหมิงเฉินได้ละทิ้งความศรัทธาที่มีต่อเทพีกระบี่ไปหมดแล้ว…”

 

 

“ว่าไงนะขอรับ?”

 

 

หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง “ผู้ทรยศต่อเทพีกระบี่? ถ้าเรารู้อย่างนั้นแล้ว ทำไมถึงไม่จับตัวเขามาลงโทษล่ะขอรับ?”

 

 

ขนาดกับเทพเจ้า เว่ยหมิงเฉินยังกล้าทรยศเลยหรือ?

 

 

เทพีกระบี่ก็น่าจะทำอะไรสักอย่างสิ

 

 

นั่นเท่ากับว่าประหยัดค่าดำเนินการให้หลินเป่ยเฉินไปในตัว

 

 

เด็กหนุ่มฉีกยิ้มอย่างมีความสุข

 

 

นับว่าสวรรค์เมตตาเขาแล้วจริงๆ

 

 

“แต่เรื่องนี้… เทพีกระบี่ไม่อาจจัดการได้ชั่วคราว”

 

 

นักพรตหญิงชินถอนหายใจออกมาเล็กน้อย “เรื่องนี้มันซับซ้อนตรงที่ว่าเว่ยหมิงเฉินมีคนหนุนหลังเป็นเทพเจ้านอกระบบผู้หนึ่ง แต่เทพเจ้าองค์นี้มีฐานะสูงส่งมากในดินแดนทวยเทพ และเรื่องนี้ก็เป็นความลับขั้นสุดยอด มีเพียงไม่กี่คนที่ได้รับรู้ความจริง แม้แต่วิหารหลวงของจักรวรรดิก็ยังไม่รับทราบเรื่องนี้เลย”

 

 

หลินเป่ยเฉินอ้าปากค้างด้วยความไม่อยากเชื่อ

 

 

เอาแล้วไง

 

 

นี่เขามาพบเจอกับปัญหาใหญ่อีกแล้วใช่ไหม

 

 

“ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เทพีกระบี่เก็บตัวเงียบบำเพ็ญตบะ พระองค์ไม่เคยสร้างปาฏิหาริย์ให้เหล่าผู้ศรัทธาได้ชื่นใจเป็นเวลานานแล้ว แม้แต่การสื่อสารกับนักบวชก็ยังถูกตัดขาด และนั่นนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ มีหลายคนเลือกที่จะละทิ้งเทพีกระบี่และหันไปเคารพเทพเจ้าองค์อื่น ด้วยเหตุนี้เอง เทพเจ้านอกระบบที่คอยหนุนหลังเว่ยหมิงเฉินจึงฉวยโอกาสแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ผลักดันให้เว่ยหมิงเฉินกลายเป็นผู้ที่สามารถแสดงอิทธิฤทธิ์และแอบอ้างตนว่าเป็นร่างทรงเทพีกระบี่แต่เพียงผู้เดียว นัพพรตใหญ่หลายท่านถึงกับสนับสนุนให้เว่ยหมิงเฉินดำรงตำแหน่งนักพรตเทวะในอนาคตแล้วด้วยซ้ำ…”

 

 

นักพรตหญิงชินพูดมาถึงตรงนี้ ก็หันกลับมามองหน้าหลินเป่ยเฉิน “ทว่า อยู่ดีๆ เจ้าก็ปรากฏตัวขึ้นมากลายเป็นร่างทรงของเทพีกระบี่คนที่ 2  มิหนำซ้ำ เจ้ายังแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก ทุกคนรู้ดีว่าเทพีกระบี่สถิตอยู่ในร่างกายของเจ้าวันที่เกิดเหตุประหารชีวิตผู้ตรวจการมณฑลครั้งนั้น เจ้าทำให้ความมีสง่าราศีของเว่ยหมิงเฉินต้องมัวหมอง… เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว เจ้ายังคิดอีกต่อไปหรือไม่ ว่าที่เว่ยหมิงเฉินมาหาเรื่องเจ้า มีสาเหตุเป็นเพราะเจ้าไปแย่งคนรักของเขา?”

 

 

เมื่อหลินเป่ยเฉินได้รับทราบเรื่องราวทั้งหมด เขาก็สบถออกมาทันที “เว่ยหมิงเฉินตั้งใจใช้เรื่องที่ข้าน้อยแย่งคนรักของเขา เป็นข้ออ้างในการมากำจัดข้าน้อยสินะขอรับ?”

 

 

พูดออกมาแล้ว หลินเป่ยเฉินถึงได้รู้สึกว่าตนเองเรียบเรียงคำไม่ถูกต้องสักเท่าไหร่ จึงรีบแก้ไขโดยเร็วไว “ไม่ใช่นะขอรับ ข้าน้อยไม่ได้แย่งหลิงเฉินมาจากเขาจริงๆ”