ตอนที่ 660

The Divine Nine Dragon Cauldron

660 – เผยฐานะ

 

แม้จะมีฐานพลังไม่มาก พวกเขาก็ยังได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี ความเร็วของพวกเขาเหนือกว่าคนที่มีพลังระดับเดียวกัน

 

เพียงพริบตาซือหยูก็หนีออกมาจากได้หลายร้อยลี้ พวกคนที่ไล่ตามมิอาจตามทัน พวกเขาร่อนลงมาที่ลําธาร

 

“หยุดตรงนี้แหละ เราน่าจะปลอดภัยแล้ว”

 

ชายวัยกลางคนพักอยู่ริมธาร

 

เฮ้อ

 

หลิงเอ๋อกับยิ่งเฉิงถอนหายใจ ทั้งคู่เหนื่อยอยู่บ้าง พวกเขาใช้พลังไปเยอะเพราะต้องหนีอย่างรวดเร็ว

 

“ท่านพ่อ เกิดอะไรขึ้น? ทําไมพวกต่างโลกถึงหาเราเจอ? พวกเราทิ้งร่องรอยเอาไว้รึ?”

 

หลิงเอ๋อถามด้วยความสับสน

 

ศัตรูตามมาถึงพวกเขาอย่างแม่นยํา นั่นแสดงว่าศัตรูจะต้องรู้ตําแหน่งที่แน่นอน ถ้าหากไม่ใช่เพราะสัมผัสที่ดี พวกเขาก็คงจะแย่ไปแล้ว

 

ชายวัยกลางคนคิดหนัก เขาไม่ได้ตอบอะไรนาง

 

แต่ยิ่งเฉิงก็พูดขึ้นมา

 

“ยังจะต้องถามอีกรึ? เราซ่อนตัวมาดีแล้ว พวกมันจะเจอตัวพวกเราได้ยังไง? ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้คนแปลกๆที่ยืนอยู่บนยอดเขานั่นก็ไม่มีเหตุผลอื่นแล้ว”

 

ยิ่งเฉิงพูดและมองไปทางซือหยู หลิงเอ๋อรู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นและจ้องมองซือหยู

 

“ข้าก็สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น มันเป็นเพราะเจ้า!”

 

ซือหยูยืนเหนือยอดเขาโดยไม่คิดจะซ่อนตัว แม้เขาจะอยู่ไกล มันก็ยากที่จะแน่ใจว่าศัตรูจะไม่มีวิชาเนตรที่จะมองเห็นได้ เป็นไปได้ว่าพลังของซือหยูจะทําให้พวกเขาถูกพบอีก

 

ซือหยูไม่พยายามจะซ่อนตัวอย่างที่พวกเขาทํา แต่ซือหยูนั้นมีพลังที่กลืนไปกับธรรมชาติทําให้เขากลมกลืนกับสิ่งรอบข้างอยู่แล้ว

 

ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ปล่อยพลังใดออกมา ถึงคนจากต่างโลกจะมองมาทางเขา พวกมันก็จะเห็นเพียงภาพท้องฟ้าและมองไม่เห็นเขา

 

นี่จึงเป็นเหตุที่พวกเขาไม่สัมผัสถึงพลังของซือหยูแม้ว่าจะอยู่ใกล้ก็ตามที เรื่องที่ถูกเจอตัวจึงไม่ใช่เพราะซือหยูอย่างแน่นอน

 

“ไม่ใช่เขาหรอก”

 

ชายวัยกลางคนตอบ

 

“ด้วยพลังแบบนั้น แม้แต่พวกเราก็สัมผัสเขาไม่ได้เมื่ออยู่ใกล้ พวกศัตรูจากหลายร้อยจะมองเห็นได้ยังไง? เรานี่แหละที่ทําตัวเอง แล้วเราก็ทําให้ชายคนนั้นต้องเจอศัตรูด้วย”

 

เขาประสานหมัด

 

“ขออภัยหนุ่มน้อยที่สร้างปัญหาให้เจ้า ข้าว่าเส้นทางของพวกข้าถูกศัตรูพบแล้วล่ะ”

 

หลิงเอ๋อมองซือหยูด้วยความสงสัย นางมิอาจเชื่อว่าคนฝั่งนางจะถูกศัตรูเจอตัว

 

“ท่านหัวหน้า เรากําลังทําภารกิจลับของตําหนักเจ็ดจ้าว มีแค่เจ็ดจ้าวที่รู้ร่องรอยทุกอย่างของเรา ต่อให้มีสายลับในอาณาจักรทมิฬ มันก็ไม่ควรจะรู้ตําแหน่งที่แน่ชัด หรือว่าจะมีสายลับในตําหนักเจ็ดจ้าว? ข้าว่าปัญหาใหญ่ที่สุดที่นี่ก็คือชายคนนั้น!”

 

ยิ่งเฉิงพูดขณะหรี่ตาจ้องมองซือหยู เขาไม่ซ่อนความสงสัยของเขาเลย

 

ซือหยูยักไหล่เมื่อเห็นแววตาสงสัยสองคู่ เขามองรอบๆและเลิกคิ้ว

 

“ข้าว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาพูดแล้วล่ะว่าข้าเป็นสายลับหรือไม่”

 

“ฮีม อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง เจ้านั่นแหละสายลับ!”

 

ยิ่งเฉิงดูเหมือนจะรู้ความตั้งใจของซือหยู เขาคว้ากระบี่ที่เอว จิตสังหารแผ่ออกมา

 

“หยุดนะ!”

 

ชายวัยกลางคนตะโกนขึ้นมา เขาไม่พอใจอย่างมาก

 

“เขาพูดถูก เราไม่มีเวลาแล้ว เรากําลังถูกล้อม!”

 

“ถูกล้อมรึ? ตั้งแต่เมื่อไหร่?”

 

หลิงเอ๋อถามด้วยตระหนก นางกับยิ่งเฉิงตกใจมาก ทั้งคู่สงสัย…

 

ศัตรูจะตามทันพวกเรามาเร็วขนาดนี้ได้ยังไง แล้วยังล้อมพวกเราอีกรึ?

 

ทั้งสองใช้วิชาสัมผัสและได้กลิ่นแปลกๆมากมาย แค่ไม่นานสีหน้าของทั้งคู่ก็เปลี่ยนไป

 

“แย่แล้ว เราถูกล้อมจริงๆ มีอย่างน้อยสามสิบคนที่ล้อมพวกเราอยู่ พวกมันเป็นกิ่งภูติที่มีแก้วสามดวงสองคน! นี่-นี่มันกับดักที่วางไว้ล่วงหน้า!”

 

ยิ่งเฉิงชักสีหน้า

 

ความสงสัยในชื่อหูของเขาหายไปเลย เพราะการลอบโจมตีแบบนี้ต้องเตรียมการล่วงหน้า และซือหยูก็เพิ่งจะพบพวกเขาเมื่อครู่นี้เอง

 

“หยุดพูดได้แล้ว พาเขาหนีไปเร็ว!”

 

ชายวัยกลางคนสั่งด้วยใบหน้าเคร่งเครียด

 

ยิ่งเฉิงดูไม่มั่นใจ

 

“ท่านหัวหน้า เราแทบจะปกป้องตัวเองไม่ได้ ถ้าเอาเขาไปด้วย…”

 

หลิงเอ๋อลังเลเช่นกัน นางกังวลว่าพวกนางไม่มีพลังที่จะปกป้องคนอีกคน โดยเฉพาะเมื่อต้องเจอกับศัตรูมากมายเช่นนี้

 

“หุบปาก เราทําให้เขาต้องมาเจอเรื่องนี้ เราจะทิ้งเขาไว้คนเดียวได้ยังไง? พาเขาไปกับเจ้าแล้วหนีเดี๋ยวนี้!”

 

ชายวัยกลางคนพูด ปลายเท้าของเขาแตะพื้นและบินขึ้นทันที

 

ยิ่งเฉิงกัดฟันแน่นและจ้องมองซือหยูโดยข่มความชิงชังเอาไว้

 

“ข้าจะพูดตรงๆกับเจ้า ถ้าเจ้ามาถ่วงข้าแม้แต่นิดเดียว ข้าจะฆ่าเจ้าเดี๋ยวนั้นเลย!”

 

เขาพูดจบและคว้าไหล่ซือหยูพุ่งตามชายวัยกลางคนไป แต่เมื่อบินได้พริบตาเดียว พวกเขาก็เห็นร่างคนอยู่ใกล้ๆกับก้อนเมฆ

 

กับดักของศัตรูจัดแจงมาอย่างดีราวกับว่าศัตรูคํานวนตําแหน่งได้แน่ชัด พวกเขาถูกล้อมไว้อย่างแน่นหนา

 

โชคดีที่ทั้งสามโดยเฉพาะชายวัยกลางคนนั้นมีวิชาสัมผัสที่แข็งแกร่ง ดังนั้นพวกเขาจึงรู้ว่าจุดอ่อนที่ศัตรูมีน้อยอยู่ที่ใด

 

ในตอนนั้น ถึงภูติสามคนที่มีแก้วสองดวงเข้ามาขวางพวกเขา หัวหน้าหน่วยนั้นมีพลังเทียบเท่ากึ่งภูติที่มีแก้วสามดวง พวกเขาจะทะลวงวงล้อมไปได้ง่ายๆ

 

“หลีกไปซะ!”

 

ชายวัยกลางคนตะโกนเสียงดัง เสียงนั้นทําให้ร่างของศัตรูชาจนขยับไม่ได้ มันคือวิชาคลื่นเสียง!

 

เมฆาหนากระจายไปเผยให้เห็นคนสามคนที่อยู่ภายใน ทั้งสามหยุดนิ่งด้วยผลของวิชาคลื่นเสียง

 

“ตอนนี้แหละ!”

 

ชายวัยกลางคนตะโกนขณะที่นําพวกซือหยูฝาวงล้อมไปยังขอบนภา

 

ซูม

 

จากนั้นชายหนุ่มสวมชุดขาวที่ล้อมวงก็พูดขึ้นมาด้วยความโกรธ

 

“พวกมันหนีไปแล้ว! เกิดอะไรขึ้น? พวกมันรู้ตัวได้ยังไง? เราทําอะไรพลาดงั้นรึ?”

 

“นายท่าน ข้ามีเรื่องต้องแจ้งให้ทราบ แต่ข้าไม่รู้ว่าจะพูดดีหรือไม่”

 

ลูกน้องของเขาดูสับสน

 

“พูดมา”

 

ชายชุดขาวตอบด้วยความโกรธ

 

“นายท่าน ข้าไม่แน่ใจว่าท่านมองเห็นชายหนุ่มผมสีเงินหรือไม่….”

 

“ผมสีเงินรึ? คนไหนล่ะ?”

 

ชายชุดขาวขมวดคิ้ว เขาเพียงแค่สนใจกับคนที่ถือข่าวสามคน เขาไม่ได้สนใจกับชายผมสีเงินนัก

 

ลูกน้องของพยายามอ่านสีหน้าและพูดอย่างไม่มั่นใจ

 

“ข้าไม่รู้ว่าเดาถูกหรือไม่ แต่ข้าคิดว่าคนผมสีเงินนั่นดูเหมือนกับที่ข้าเคยได้ยิน เขาดูเหมือนซือหยูจากเฉินหลง คนที่ทหารเงาทมิฬจากเขตกลางทุกคนของเราพูดถึง”

 

“อืม ผมสีเงินแบบเดียวกัน อายุเท่ากัน รูปลักษณ์ยังเหมือนกันอีก แต่ชายผู้นั้นไม่ต่างอะไรกับจ้าวเทวะ ทําไมจะต้องมายุ่งกับคนธรรมดาสามคนนี้ด้วยเล่า?”

 

ชายชุดขาวสีหน้าเปลี่ยนไป ความร้อนรนเปลี่ยนเป็นความกังวล

 

แม้ว่าคนพูดจะพูดอย่างไม่ชัดเจน แต่คนฟังกลับเปลี่ยนไป เมื่อนามของซือหยูถูกเอ่ยออกมา เหล่าคนจากต่างโลกเริ่มมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป