ตอนที่ 661

The Divine Nine Dragon Cauldron

661 – พยายามไปที่ยอดเขาอีกครั้ง

 

ชิงฟูมิใช่คนเดียวที่สังเกตเห็นคนผมสีเงิน

 

“ถึงเจ้าจะเข้าใจผิด แต่ก็ไม่เป็นไปไม่ได้ที่ทุกคนจะเข้าใจผิดตามไปด้วย”

 

ชาวชุดขาวพูดพลางมองคนรอบๆ

 

เขาสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงสีหน้าของเหล่าทหาร นั่นทําให้เขาใจเต้นแรง เหงื่อเย็นๆซึมออกมาจากหน้าผาก

 

นามของชื่อหยุค่อนข้างเลื่องลือกับทหารเงาทมิฬ พลังของเขาเป็นที่น่าหวาดกลัวต่อเหล่าทหาร

 

เขาใจเต้นแรงเมื่อรู้ตัวว่าเกือบจะทําให้เด็กหนุ่มที่น่ากลัวอย่างซือหยูโกรธแค้น เขาเข้าใจแล้วว่าทําไมทั้งสี่คนถึงตรวจสอบพวกเขาที่รอซุ่มโจมตีอยู่ได้ นั่นก็เพราะตัวตนของเด็กหนุ่มยอดฝีมือคนนี้นี่เอง!

 

“นายท่าน ยังมีอีกเรื่องที่ข้าต้องบอกให้รู้….ตอนที่ข้าใช้วิชาเนตรมองดูทั้งสี่ ดูเหมือนว่าเด็กผมสีเงินจะจํายอมทําตามคําสั่งของสามคนนั้น เขาจะใช้คนในตํานานคนนั้นจริงๆรึ?”

 

ชิงฟูถามด้วยความสงสัย

 

ชายชุดขาวมุมปากบิด

 

“อาจจะเป็นเพราะว่าเขาไม่อยากจะเผยตัวตนที่แท้จริงออกมา”

 

“นายท่านเราควรจะตามพวกเขาไปหรือไม่?”

 

ชิงฟูถาม เขารู้สึกราวกับพังประตูนรกออกมาเมื่อรอดถึงตอนนี้ เขาดีใจเป็นอย่างมาก แต่เขาก็สงสัยว่าควรจะทําอะไรต่อไปดี

 

ชายชุดขาวจ้องมองเขา

 

“เป็นเจ้าที่จะตามพวกนั้นไป หรือข้าล่ะ?”

 

ชิงฟูรู้สึกอาย เพราะเขาเข้าใจความหมายนั้น

 

“เจ้าเห็นอะไรเมื่อครู่?”

 

ชายชุดขาวแววตาเยือกเย็น ถ้าเรื่องที่เขาจงใจปล่อยเป้าหมายแพร่งพรายออกไป ผู้บังคับบัญชาก็คงจะไม่ถามหาเหตุผล พวกเขาจะต้องถูกลงโทษไม่ว่าจะยังไง

 

ชิงฟูกลอกตา

 

“เป้าหมายพวกเราถูกบางคนช่วยเอาไว้ เราจับพวกมันไม่สําเร็จขอรับ”

 

“ใครช่วยพวกมันล่ะ?”

 

ชายชุดขาวถาม

 

“เราไม่ได้เห็นใบหน้ามันชัดเจนนัก”

 

พอถึงตอนนี้ ชายชุดขาวยิ้มออกมา

 

“เจ้าพูดได้ดี ส่วนคนอื่น พวกเจ้าก็รู้ใช่ไหมว่าต้องตอบยังไง?”

 

“เราเข้าใจแล้ว”

 

คนที่เหลือตอบพร้อมกัน พวกเขาก็ไม่อยากจะรับผิดชอบเรื่องที่ปล่อยศัตรูให้หลุดมือไป พวกเขารู้ดีว่าควรจะรายงานกลับไปยังไง

 

“ดี กลับไปรายงานจบภารกิจกันเถอะ”

 

ชายชุดขาวโบกมือสั่งสลายตัว นอกจากเขาจะไม่ไล่ตามแล้วเขายังนคนของเขาถอยกลับอีกด้วย!

 

ชายวัยกลางคนกับอีกสามคนที่ยังหนีไปไม่ไกลนักงุนงงเมื่อไม่เห็นว่ามีการเคลื่อนไหวตามมาอีก

 

“ท่านพ่อ ถ้าข้าไม่พลาด พวกมันน่าจะถอยไปแล้วล่ะ”

 

หลิงเอ๋อลืมตากว้างมองดู นางไม่อยากจะเชื่อ

 

ยิ่งเฉิงงุนงงเช่นกัน

 

“เกิดอะไรขึ้นกับพวกมันล่ะ? ทําไมจู่ๆมันก็ถอย?”

 

แม้แต่ชายวัยกลางคนก็ตอบทั้งสองไม่ได้

 

“แปลกนัก พวกเราไม่ใช่เป้าหมายของมันรึ? พวกมันเลิกไล่ตามเราจริงๆแล้วรี?”

 

ทั้งสามเตรียมหนีเอาชีวิตรอด แต่ศัตรูกลับถอยไปอย่างไม่คาดคิด มันแปลกจริงๆ

 

“อย่าประมาท เราควรจะรีบออกจากที่นี่แล้วค่อยคุยกันทีหลัง”

 

ชายวัยกลางคนพูดอย่างอิดโรย

 

ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ในปาเงียบไร้ซึ่งผู้คน ไกลจากอาณาจักรทมิฬ

 

เมื่อตกกลางคืน คนกลุ่มเล็กนั่งอยู่ท่ามกลางกองไฟและกํายังย่างสัตว์ป่าเล็กๆบนภูเขากดิ์ นหอมอ่อนๆจากอาหารในกองไฟที่โชยออกมาทําให้พวกเขาเริ่มหิว

 

“วันนี้เราโชคดีจริงๆ”

 

หลิงเอ๋อดีใจและอิ่มเอิบเมื่อได้เคี้ยวอาหารรสเลิศ พวกเขาโชคดีในวันนี้เพราะหนีจากศัตรูมา

 

“หลิงเอ๋อ เป็นเพราะเจ้าที่ทําให้เราโชคดีแบบนี้”

 

ยิ่งเฉิงเฉือนเนื้อกวางส่งให้หลิงเอ๋อ

 

หลิงเอ๋อถือเนื้อในมือและพูด

 

“ใช่แล้ว ขอแค่มีข้าพวกเราก็ปลอดภัย ใช่ไหมท่านพ่อ?”

 

หลิงเอ๋อมองพ่อของนางและพบว่าชายวัยกลางคนกําลังขมวดคิ้ว เขาไม่ตอบราวกับกําลังคิดอะไรบางอย่างและมองกองไฟด้วยสายตาว่างเปล่า

 

หลังจากได้สติ เขาพูดขณะที่ยังขมวดคิ้ว

 

“ข้ากําลังคิดหาวิธีกลับอาณาจักรทมิฬ จากเรื่องวันนี้ แสดงว่าพวกต่างโลกหมายตาเราการกลับไปน่าจะอันตรายยิ่งกว่าเดิม”

 

หลังจากที่พูดจบ หลิงเอ๋อกับยิ่งเฉิงดูกังวล แม้ว่าพวกเขาจะรอดมาได้ในวันนี้ มันก็ยากมากที่พวกเขาจะกลับไปยังอาณาจักรทมิฬได้

 

หลิงเอ๋อรู้สึกว่าเนื้อรสเลิศในมือเริ่มจืดจาง นางทั้งกระวนกระวายและคิดไม่ตก ในบรรดาทั้งสี่มีเพียงซือหยูที่เยือกเย็น เขาเอนกายกับต้นไม้และบ่มเพาะพลังอย่างเงียบเชียบ

 

เมื่อชายวัยกลางคนเห็นก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกชื่นชมและยอมรับในตัวซือหยู เขายังบ่มเพาะพลังแม้จะอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ นอกจากจะใจเย็นแล้วเขายังมีความพยายามอีกด้วย! คนเช่นนี้จะต้องประสบความสําเร็จในอนาคตแน่นอน

 

แต่การนั่งอย่างสงบสุขของชื่อหมูทําให้หลิงเอ๋อไม่พอใจเท่าใดนัก

 

“นี่เจ้า เจ้าจะไม่ช่วยพวกข้าคิดหาทางออกหน่อยรึ? เจ้าไม่คิดว่าบ่มเพาะพลังตัวเองตอนนี้มันจะเห็นแก่ตัวบ้างรึ?”

 

ซื้อหยูลืมตาช้าๆ เขาใช้เวลาว่างในการปรับพลังที่เพิ่งจะเพิ่มขั้นขึ้นมา

 

เขาหยุดบ่มเพาะพลังเมื่อได้ยินเสียงของหลิงเอ๋อ เขายิ้มเบาๆ

 

“ข้าบ่มเพาะตอนที่เจ้ากําลังกิน ข้าจะเห็นแก่ตัวได้ยังไง? แล้วเจ้าละจะเรียกว่าอะไร?”

 

หลิงเอ๋อเพียงแค่อยากจะระบายความไม่สบายใจกับชื่อหมูและก็ไม่คิดว่าจะถูกต่อปากต่อคํา!

 

“เจ้าว่าไงนะ? เจ้าพูดกับนางแบบนั้นได้ยังไง?”

 

ยิ่งเฉิงไม่พอใจและตะโกนใส่ซือหยูก่อนที่หลิงเอ๋อจะได้อ้าปากด้วยซ้ํา

 

ใบหน้าของเขามีแต่ความโกรธที่ไม่คิดจะปิดบัง

 

“ถ้าไม่ใช่เพราะพวกข้าเจ้าก็ตายไปแล้ว จะเคารพพวกข้าสักหน่อยไม่ได้รึไงกัน? ถ้าข้ารู้ว่าเจ้าต่ําช้าเยี่ยงนี้ก็คงจะไม่ช่วยเจ้า”

 

ซือหยูเพียงยิ้มและไม่ตอบอะไร ท่าทางใจเย็นของเขายิ่งทําให้ยิ่งเฉิงหงุดหงิดขึ้น

 

“เจ้าไม่ได้สํานึกเลยที่ทําหน้าแบบนั้น! คนที่ข้าช่วยเป็นแค่พวกขอทานสินะ! ตอนนี้ปลอดภัยแล้วเจ้าจะไปไหนก็ไปเลย พวกข้าไม่อยากเจอเจ้าอีก!”

 

หลิงเอ๋อที่อยู่ข้างๆขมวดคิ้ว นางแคโต้เถียงกับชื่อหยูแต่ยิ่งเฉิงก็เริ่มที่จะรังแกเขาเพียงเพื่อทําให้นางพอใจ แต่กลับกันแล้วนางยิ่งไม่พอใจมากกว่าเดิม มันทําให้นางอึดอัด

 

นางมองยิ่งเฉิงด้วยหางตาด้วยความรังเกียจ นางเห็นเลยว่าเขาเพียงแค่จะวางอํานาจ

 

“พอได้แล้ว!”

 

ชายวัยกลางคนโพล่งออกมา

 

“มันยิ่งใหญ่อะไรนักที่ตะโกนใส่คนที่อ่อนแอกว่าเจ้า? ถ้าเจ้ายิ่งใหญ่นักทําไมไม่พูดแบบนั้นกับพวกที่มาล้อมเราตอนนั้นเล่า?”

 

ยิ่งเฉิงห่อไหล่ลง ใบหน้าเขาร้อนฉ่า คําพูดของหัวหน้าทําให้เขาอับอาย ตอนที่เขาถูกล้อมเขาไม่กล้าที่จะหายใจด้วยซ้ํา!

 

“และถ้าไม่ใช่คนผู้นี้ที่เตือน เราก็คงไม่รู้ตัวว่าถูกซุ่มโจมตี นอกจากเจ้าจะไม่ขอบคุณแล้วยังพูดจาแบบนั้นอีก!”

 

ชายวัยกลางคนโกรธจนเห็นได้ชัด

 

“น้องชายเอ๋ย ทั้งคู่ยังเด็กนัก โปรดอภัยให้พวกเขาเถอะ”

 

ชายวัยกลางคนหันไปประสานหมัดให้ชื่อหยุ

 

ซือหยูโบกมือตอบ

 

“ไม่ต้องห่วงข้าหรอก มาพูดเรื่องของเรากันเถอะ ท่านหัวหน้าหน่วย ท่านหาทางกลับอาณา จกรทมิฬได้หรือยัง?”

 

ชายวัยกลางคนดูลังเล

 

“ข้ามีทาง แต่มันอันตราย แต่ถ้าเจ้าไม่กลัวที่จะเสี่ยง เจ้าก็มาลองกับพวกข้าได้ แต่ข้าไม่รับรองว่ามันจะสําเร็จ”

 

หลิงเอ๋อตอบทันทีที่เขาพูดจบ

 

“อะไรนะ? ท่านพ่อจะเอาเขาไปกับเราด้วยรึ? แค่พวกเราอย่างเดียวก็ยากพอแล้วที่จะฝ่าทัพพวกมันพาอีกคนไปด้วยไม่ทําให้ยากไปกว่าเดิมรึ?”

 

ยิ่งเฉิงก็ไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้เช่นกัน แต่เขาที่เพิ่งจะถูกตําหนิไม่กล้าพูดอะไรออกมาเขาเพิ่งแค่จ้องมองชื่อหยุด้วยความโกรธแค้น