เย็นชา

พอถาวจวินหลันเอ่ยขอบคุณด้วยตนเองแล้ว นางถึงรู้ว่าภายในระยะเวลาสั้นๆ นี้หลี่เย่ได้ตัดสินใจให้อีกฝ่ายอยู่รับใช้ข้างกายตนเอง

คนผู้สกุลเจียงชื่อว่าฟู่ เคยเรียนวิชาการต่อสู้มา ก่อนหน้านี้ยังเคยทำงานอยู่ที่โรงยามมาก่อน ครอบครัวมีแค่แม่เพียงคนเดียว ไม่มีคนอื่นอีก

ถาวจวินหลันถามเจียงฟู่ขึ้นว่า “เจ้ามาเมืองหลวงคนเดียวหรือว่าพามารดามาด้วย?”

เจียงฟู่ตอบออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ “มาเมืองหลวงพร้อมกันขอรับ แม้ว่าจะไม่มีปัญญา แม่ได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข แต่ก็ไม่อาจทิ้งให้แม่ทรมานอยู่ที่บ้านเดิมคนเดียวเป็นแน่”

“เจ้าบอกว่าบ้านเดิมเจ้าอยู่ที่ทางเหนือมิใช่หรือ?” ถาวจวินหลันแปลกใจว่าทำไมคนผู้นี้ถึงพูดคนละเรื่องคนละราวขึ้นมา

เจียงฟู่กระแอมออกมา “ต้นตระกูลของแม่ข้าอยู่ที่ทางใต้ขอรับ ตอนนั้นด้วยท่านป่วยถึงได้พาข้ากลับไปยังบ้านเดิม”

ถาวจวินหลันพยักหน้าเข้าใจ “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง” เมื่อพูดเช่นนี้ก็ถือว่าสมเหตุสมผลแล้ว แต่กลับคิดไม่ถึงว่าฐานะของเจียงฟู่จะมีปมเช่นเดียวกัน แน่นอนว่านางยิ่งรู้สึกนับถือแม่ของเจียงฟู่ เลี้ยงดูลูกชายให้โตขึ้นมาเพียงลำพังไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะดูจากตัวของเจียงฟู่แล้ว ที่บ้านคงไม่ได้ดีอย่างแน่นอน

“ในเมื่อมาพร้อมกัน ไม่สู้ข้าจัดการให้แม่ของเจ้าเข้ามาอาศัยที่นี่เสียเลย” ภายในจวนมีเรือนที่ให้บ่าวรับใช้อาศัยอยู่โดยเฉพาะ จะหาห้องให้พวกเขาสองห้องก็เป็นเรื่องง่าย อีกทั้งยังสะดวกต่อเจียงฟู่ในการจัดการเรื่องต่างๆ แทนหลี่เย่ “มิเช่นนั้นเจ้าออกไปทำเรื่องต่างๆ ปล่อยให้แม่เจ้าอยู่คนเดียวก็ลำบากเช่นเดียวกัน”

เมื่อพูดจบถาวจวินหลันก็มองไปยังเจียงฟู่อย่างจริงใจ ที่จริงแล้วต่อให้เจียงฟู่ไม่ได้ไปทำธุระแทนหลี่เย่ แค่เพียงแค่ช่วยเหลือพวกนางสองสามีภรรยาในวันนี้ นางก็จะต้องตอบแทนให้ดี รับเข้าจวนมาแล้วแน่นอนว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด อย่างแรกการกินการใช้ของทั้งสองคนไม่จำเป็นต้องใช้เงิน อย่างที่สองก็มีคนคอยดูแล แน่นอนว่าต้องดี

เจียงฟู่ก็ไม่ใช่คนพิรี้พิไร เขายิ้มและทำความเคารพถาวจวินหลันกับหลี่เย่ ”ขอบพระคุณท่านอ๋องและพระชายา”

ถาวจวินหลันเม้มปากหัวเราะ “ข้าไม่ใช่พระชายา เจ้าเรียกข้าว่าชายารองถาวเถิด พระชายาสุขภาพไม่ค่อยดี รักษาตัวอยู่ตลอดไม่ค่อยได้ออกมาข้างนอกนัก”

เจียงฟู่เขินอายเล็กน้อย จากนั้นก็นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา

พอดีว่าตอนนี้มีบ่าวรับใช้เข้ามารายงานว่าหมอหลวงมาถึงแล้ว

ถาวจวินหลันรีบให้คนไปต้อนรับหมอหลวงเข้ามา

หมอหลวงคนที่มาเป็นหมอหลวงที่เคยตรวจอาการหลี่เย่ตอนอยู่ในวังหลวงมาก่อน เป็นคนที่ฮ่องเต้สั่งมาโดยตรง วันนี้อากาศร้อน หมอหลวงก็มาอย่างเร่งรีบ บนหน้าผากจึงมีเหงื่อซึมออกมาให้เห็นแล้ว

ถาวจวินหลันถือโอกาสให้คนยกน้ำแกงบ๊วยออกมาสองสามถ้วย ในขณะที่หมอหลวงกำลังตรวจบาดแผลตรงข้อศอกที่จัดการแล้วของหลี่เย่ ของสิ่งนี้มีเตรียมพร้อมอยู่ในจวนตลอดเวลา เพียงแต่สิ่งที่เจ้านายกินและบ่าวรับใช้กินแตกต่างแค่ประณีตและแข็งกระด้างเท่านั้น

น้ำแกงบ๊วยที่เจ้านายกินได้เพิ่มของอย่างอื่นเข้าไป อย่างเช่นชะเอมเทศ กระเจี๊ยบ บ๊วยดำ ซานจา น้ำตาลกรวด เปลือกส้ม และหอมหมื่นลี้ เช่นนี้อร่อยที่สุด หากตอนที่ดื่มนั้นเติมน้ำแข็งบดเข้าไป รสชาติก็จะยิ่งดีขึ้น ของที่บ่าวกินนั้นวัตถุดิบน้อยกว่า แต่ว่ารสชาติก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก

ช่วงฤดูร้อนได้ดื่มน้ำแกงบ๊วยสักชาม ไม่เพียงแค่เป็นการเรียกน้ำย่อย ยังสามารถช่วยคลายร้อนได้อีกด้วย นี่เป็นของที่ดีที่สุด

หมอหลวงสำรวจดูบาดแผลที่เลือดหยุดไหลแล้วอย่างละเอียด ถอนหายใจออกมา “บาดแผลตกสะเก็ดแล้ว ตอนนี้แผลเปิดอีกครั้งก็จะรักษายากมากขึ้น แต่เดิมนั้นบาดแผลใช้เวลาเพียงแค่เดือนเดียวก็จะหายเป็นปกติ แต่บาดแผลเปิดเช่นนี้เกรงว่าต้องใช้เวลาเดือนครึ่ง อีกทั้งอากาศร้อนเช่นนี้ก็จะต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก ไม่สามารถปล่อยให้ติดเชื้อได้ อีกทั้งจะต้องกินของที่บำรุงเลือดให้เยอะถึงจะดีขอรับ”

ถาวจวินหลันจำอย่างละเอียด

หมอหลวงดูบาดแผลที่ขาของหลี่เย่ ก็ถอนหายใจโล่งอก “ยังดีที่แผลตรงขาไม่ได้เคราะห์ซ้ำกรรมซัด มิเช่นนั้นเกรงว่าจะต้องพิการเสียแล้ว”

เมื่อหมอหลวงพูดเช่นนี้ แม้ว่ายามนี้หลี่เย่จะปลอดภัยไร้กังวล แต่ถาวจวินหลันก็ยังตกใจจนเหงื่อไหลซึมออกมา รู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก

หลี่เย่มองไปยังถาวจวินหลันพลางกำชับหมอหลวงว่า “ไปดูอาการให้ชายารองถาวด้วยเถิด วันนี้เกรงว่านางคงถูกกระแทกจนได้รับบาดเจ็บแล้ว อีกทั้งยังตกใจด้วย”

หมอหลวงรีบตรวจดูอาการให้ถาวจวินหลัน ด้วยกลัวว่าจะกระแทกจนกระดูกหัก ดังนั้นหลังจากรู้ว่าไหล่โดนกระแทกแล้ว ก็ตรวจดูอาการกระดูกไหล่โดยการบีบเบาๆ ผ่านเสื้อผ้า

โชคดีที่ไม่ได้เป็นอะไรมาก จึงหยิบยาทาแก้บวมช้ำออกมากระปุกหนึ่ง และเขียนเทียบชาสงบใจให้สำรับหนึ่งแล้วนั้นหมอหลวงก็เก็บของเตรียมกลับไป

เวลานี้บ่าวรับใช้ก็ยกน้ำแกงบ๊วยมาพอดี ถาวจวินหลันจึงให้หมอหลวงดื่มน้ำแกงบ๊วยก่อนกลับ

หลี่เย่ถือโอกาสตอนที่ทุกคนกำลังดื่มน้ำแกงบ๊วยอยู่นั้น ยิ้มพลางพูดกับหมอหลวงว่า “อีกครู่หนึ่งกลับวังหลวงไปก็ขอให้หมอหลวงช่วยนำอาการของข้าไปรายงานให้เสด็จพ่อและไทเฮาทราบด้วย จะได้ให้พวกเขาคลายความกังวล ไม่ว่าอย่างไรบาดแผลนี้จะต้องรักษานาน แต่ก็ไม่ถือว่ารุนแรงนัก”

หมอหลวงเงยหน้ามองใบหน้าอบอุ่นและมีรอยยิ้มบางๆ แฝงอยู่ของหลี่เย่ ในใจก็อดรู้สึกเครียดไม่ได้ จากนั้นกลับยิ้มอย่างเคารพและพูดว่า “ข้าน้อยเข้าใจขอรับ”

หลี่เย่พยักหน้าอย่างพอใจ ก้มหน้าลงไปดื่มน้ำแกงบ๊วยต่อ

หมอหลวงก็ทำเช่นนี้เหมือนกัน แต่ในใจก็อดคิดไม่ได้ เกรงว่าตวนอ๋องจะไม่ได้ใจดี กลั่นแกล้งง่ายและอารมณ์ดีเหมือนที่ลือกันเอาไว้เป็นแน่

พอส่งหมอหลวงกลับไปแล้ว ถาวจวินหลันจึงสั่งให้คนไปรับแม่ของเจียงฟู่ และนางก็สั่งให้คนแบกหลี่เย่ไปเค้นถามคนบังคับรถม้าคนนั้น ก่อนหน้านั้นนางก็เอาเงินชดเชยต่างๆ ให้กับคนดูแลจวน ให้เขาจัดการเรื่องนี้อย่างเหมาะสมที่สุด ไม่อนุญาตให้มีคำว่ากล่าวตามมา

เรื่องเงินทองเป็นเรื่องเล็ก แต่ชื่อเสียงกลับไม่สามารถใช้เงินทองแลกคืนกลับมาได้

หลี่เย่เองก็คิดเช่นนี้

พอได้พบบขันทีที่เร่งม้า ถาวจวินหลันกับหลี่เย่ก็นั่งบนเก้าอี้ที่บ่าวชราจัดหามาให้ อมยิ้มมองขันทีที่หวาดกลัวจนตัวสั่น

ที่จริงแล้วที่ยังโดนจับมาพร้อมกันนั้นยังมีคนบังคับรถม้าตัวที่ตกใจไปก่อน คนๆ นั้นโดนมัดเอาไว้ตรงเสา ก้มหน้าก้มตาไม่เห็นว่าจะมีท่าทางหวาดกลัวสักเท่าไร

ถาวจวินหลันค่อยๆ เอ่ยปากถามว่า “พูดเถิด วันนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่”

คนที่พูดก่อนก็คือคนบังคับรถม้าชื่อว่าไล่ต้าซึ่งถูกมัดเอาไว้ตรงเสา ไล่ต้าพูดว่า “ม้าของข้าไม่ระวังจึงเกิดอาการตกใจขึ้น แล้วก็กระแทกเข้ากับรถม้าของจวนท่าน ข้าพยายามบังคับอย่างสุดความสามารถแล้ว แต่ด้วยม้ามีแรงมากเกินไป ไม่สามารถควบคุมได้จริงๆ ขอรับ”

คำพูดนี้ช่างพูดอย่างง่ายดาย เพียงแค่สองสามประโยคก็ผลักความรับผิดชอบออกไปจากตนเองอย่างง่ายดาย ถาวจวินหลันฟังแล้วก็ยิ้มเย็นขึ้นมา “เจ้าเป็นคนของตระกูลใดกัน?” นางมองดูจากเสื้อผ้าของไล่ต้า และท่าทีไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย ก็รู้ว่าไล่ต้าคนนี้ไม่ใช้คนที่มาจากตระกูลเล็กๆ เป็นแน่ เกรงว่าเจ้านายที่อยู่เบื้องหลังจะต้องมีอำนาจอยู่บ้าง

“ข้าน้อยมาจากจวนเพ่ยหยางโหว วันนี้ที่บังคับรถม้านั้นแต่เดิมจะต้องไปรับฮูหยินสี่ แต่ใครจะคิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น” ไล่ต้าสีหน้าหมองคล้ำ เหมือนว่ารู้สึกโชคร้ายเป็นอย่างมาก

“อ้อ? จวนเพ่ยหยางโหวหรือ?” ถาวจวินหลันอดหัวเราะออกมาไม่ได้ แต่ในดวงตานั้นประกายเย็นเยียบ “พูดเช่นนี้ก็กลายเป็นว่าน้ำเชี่ยวปะทะวังพญามังกร คนกันเองทำร้ายกันเองเสียแล้ว”

ไล่ต้ามีท่าทีสงสัยไม่เข้าใจขึ้นมา

“คิดไม่ถึง ข้ากลับไปน้อยครั้ง บ่าวภายในจวนกลับไม่รู้จักคุณหนูเช่นข้าเสียแล้ว ที่เจ้าชนคือตวนอ๋อง เจ้ารู้บ้างหรือไม่?” ถาวจวินหลันพูดอย่างอ่อนโยนเป็นมิตร แต่มีเพียงแค่หงหลัวและหลี่เย่เท่านั้นที่มองออกว่าตอนนี้นางกำลังโกรธแค้นเป็นอย่างมาก

ไล่ต้าตกใจ จากนั้นก็รีบรับผิดในทันที “บ่าวสมควรตาย บ่าวมีตาหามีแววไม่ แม้แต่คุณหนูก็ยังมองไม่ออก! และยังชนเข้ากับตวนอ๋องอีกด้วย! ขอให้ท่านลงโทษเถิดขอรับ!”

“สมควรต้องลงโทษ จากที่ข้าดูแล้ว การกระทำของเจ้าไม่ได้เรื่อง ไร้ซึ่งประโยชน์ ลากคอลงไป โบยตีให้ตาย” ถาวจวินหลันค่อยๆ นั่งพิงพนักเก้าอี้ ท่าทีเย็นชาขึ้นมา คำพูดที่พูดออกมาก็ไร้ซึ่งอารมณ์

ทันใดนั้นไล่ต้าก็ตกใจจนมึนงงไป พอได้สติกลับคืนมาก็รีบตะโกนออกมาว่า “นายหญิงได้โปรดไว้ชีวิต! นายหญิงได้โปรดไว้ชีวิต! ไม่เห็นแก่หน้าพระสงฆ์ก็เห็นแก่หน้าพระพุทธเถิดขอรับ บ่าวเป็นคนของจวนเพ่ยหยางโหว! บ่าวไม่ได้ตั้งใจนะขอรับ!”

ถาวจวินหลันนั่งตัวตรงไม่ขยับ ค่อยๆ ยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบ พยักหน้าพลางพูดว่า “ชานี่ไม่เลว เป็นชาใหม่ของปีนี้”

หงหลัวหัวเราะ “เพิ่งเข้าจวนมาเมื่อวันก่อนเองเจ้าค่ะ”

หลี่เย่เองก็ชิมตามเช่นกัน ชมเชยว่า “ไม่เลวทีเดียว”

เจ้านายทั้งสองคนไม่ได้มีท่าทีจะปล่อยไล่ต้าไป แน่นอนว่าคนที่ต้องปลดเชือกลากไล่ต้าไปโบยตีจนตายนั้นก็ยิ่งไม่ลังเล

ไล่ต้าเห็นเช่นนี้สุดท้ายแล้วก็กัดฟันตะโกนออกมา “ข้าไม่ใช่บ่าวของจวนตวนอ๋อง พวกท่านจะจัดการข้าได้อย่างไร! ข้าไม่ยอมให้พวกท่านเห็นชีวิตคนเป็นผักปลาเช่นนี้!”

“ใช่ เจ้าไม่ใช่คนจวนตวนอ๋องของพวกข้า แต่ข้าถือว่าออกมาจากจวนเพ่ยหยางโหว หรือแม้แต่อำนาจจัดการกับบ่าวเช่นเจ้าสักคนจะไม่ได้เลยอย่างนั้นหรือ? แม้ว่าท่านพ่อและท่านแม่ของข้าอยู่ด้วย วันนี้ก็ต้องเป็นผลลัพธ์เช่นนี้” ถาวจวินหลันยิ้มเย็น ริมฝีปากขยับเล็กน้อย แต่กลับพูดคำพูดที่เยียบเย็นเช่นนี้

ไล่ต้าเกร็งไปทั้งตัว ดีดดิ้นหนีตาย บิดตัวไปมาพลางตะโกนเสียงดัง “ท่านเป็นนายหญิงอะไรกัน? ท่านก็เป็นแค่คนกำพร้าที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า มาปลอมเป็นเจ้านายอะไรกัน? ข้าเป็นบ่าวที่ติดตัวมาตอนแต่งงานของโหวฮูหยิน! ท่านไม่มีสิทธิมาจัดการข้า หากท่านกล้าทำอะไรข้า ไม่เพียงแค่ไม่ไว้หน้าโหวฮูหยิน แม้แต่จวนเหิงกั๋วกงเองก็ไม่มีทางปล่อยท่านไปแน่!”

สุดท้ายหลี่เย่ก็ค่อยๆ เอ่ยปากออกมา แต่เมื่อเริ่มพูดกลับเย็นชาอย่างไร้ที่เปรียบ “ช่างเจ้าอารมณ์เสียจริง! ข้าอยากจะรู้นักว่าเหิงกั๋วกงจะมาเอาผิดกับข้าอย่างไร!”

ในตอนนั้นหลี่เย่ก็เรียกคนมาสั่ง “ไป ให้คนไปส่งข่าวที่จวนเหิงกั๋วกงและจวนเพ่ยหยางโหว บอกว่าข้าจะจัดการฆ่าบ่าวรับใช้ของพวกเขา ให้พวกเขาไปฟ้องศาลก็ได้ หรือจะส่งเรื่องไปที่วังหลวงก็ดี รีบไปจัดการให้เร็ว! ข้าจะรออยู่ที่จวน!”

ด้วยเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น หลี่เย่ก็ไม่ได้ให้คนจัดการฆ่าไล่ต้าในทันที เพียงแค่ให้มัดต่อไปเท่านั้น

ไล่ต้าถอนใจ รู้สึกว่าชีวิตน้อยๆ ของตนนี้รักษาเอาไว้ได้แล้ว พอได้สติกลับคืนมาก็รู้สึกว่าแข้งข้าของตนเองอ่อนแรง บวกกับอากาศที่ร้อนและเขาที่ดิ้นรนไปมาเมื่อครู่นี้ ทั้งร่างจึงเหนียวชื้นขึ้นมา อึดอัดอย่างพูดไม่ถูก

ถาวจวินหลันก็ไม่สนใจไล่ต้า เพียงแค่มองไปยังขันทีคนนั้น ยิ้มน้อยๆ

คราวนี้ไม่ต้องรอให้ถาวจวินหลันเอ่ยพูด ขันทีคนนั้นก็รีบเอ่ยปากพูดว่า “บ่าวสมควรตายๆ! ขอให้ท่านอ๋องและชายารองถาวได้โปรดไว้ชีวิตข้าน้อยด้วยเถิดขอรับ!” แต่กลับไม่พูดว่าทำไมตนเองสมควรตาย

ถาวจวินหลันจะมองลูกไม้ของขันทีไม่ออกเลยหรืออย่างไรกัน? นางจึงหัวเราะเสียงเย็น พูดออกมาอย่างไร้เยื่อใย “ในเมื่อเจ้าพูดว่าสมควรตาย ก็เห็นได้ชัดว่าเจ้าสมควรตายจริง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ลากออกไปโบยตีให้ตายเสีย เห็นแก่ที่เจ้ารับผิดเอง ข้าจะมอบโลงให้เจ้าใบหนึ่งก็แล้วกัน!”