นางแม่มด

คำพูดของถาวจวินหลันทำให้ขันทีคนนั้นตกใจจนตัวสั่น ตกตะลึงพรึงเพริดพูดอะไรไม่ออกแม้แต่น้อย

ไม่เพียงแค่ขันที แม้แต่ไล่ต้าและบ่าวรับใช้ของจวนตวนอ๋องที่อยู่ข้างๆ ก็รู้สึกว่ามีไอเย็นพัดขึ้นมาจากปลายเท้าเช่นเดียวกัน ในใจของทุกคนในตอนนี้คิดได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ได้บอกว่าตวนอ๋องเป็นคนใจดีมีเมตตา ชายารองตวนอ๋องก็เป็นคนจิตใจงาม อารมณ์ดีมิใช่หรืออย่างไร? นี่เหมือนคนอารมณ์ดีหรืออย่างไรกัน?

โดยเฉพาะถาวจวินหลัน เกรงว่าตอนนี้ในสายตาของไล่ต้าและขันทีคนนั้นไม่ต้องพูดว่าอารมณ์ดี และยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องอ่อนหวาน เปี่ยมไปด้วยคุณธรรมเลย นี่เป็นภาพลักษณ์ของนางแม่มดแล้ว!

“ท่านอ๋องโปรดไว้ชีวิต ท่านอ๋องได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” ขันทีตกใจจนหมอบกราบไปกับพื้น โขกหัวติดๆ กัน ร่างกายสั่นขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ “แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังชื่นชมว่าท่านอ๋องอ่อนโยนและบริสุทธิ์ ท่านอ๋องจิตใจมีเมตตา ได้โปรดให้อภัยบ่าวเถิด แม้ว่าบ่าวจะทำงานไม่สมหน้าที่ แต่โทษก็ไม่ถึงขั้นตายนะพ่ะย่ะค่ะ!”

ถาวจวินหลันฟังอยู่ เพียงแค่ยิ้มเย็นออกมา ขันทีคนนี้ช่างรู้จักพูดจานัก ดูจากคำพูดนั่นดีมากเพียงใด? ใช่แล้ว มีบางครั้งที่ฮ่องเต่เอ่ยชมหลี่เย่ ถ้าหลี่เย่ไม่ได้มีจิตใจดีแล้วจะได้รับคำชมจากฮ่องเต้ได้อย่างไร? แล้วจะเหมาะสมกับชื่อเสียงที่มีมาตลอดได้อย่างไร?

“ท่านอ๋องได้โปรดให้อภัยข้าน้อยเถิด ข้าน้อยเองก็ได้รับผลพลอยมาจากไล่ต้า! ถ้าไม่ใช่เพราะเขากระแทกชนรถม้า ข้าน้อยเองก็จะไม่ตกจากรถม้า จนท่านอ๋องต้องพบเจออันตรายเช่นนี้!” ขันทีคนนั้นโขกหัวติดต่อกัน บนหน้าผากเริ่มมีเลือดซึมออกมาให้เห็น แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้แล้วเขาก็ยังสามารถเอ่ยข้ออ้างให้ตนเองได้อย่างตีหน้าซื่อ

ที่เอ่ยถึงไล่ต้าขึ้นมา และผลักความรับผิดชอบไปที่ไล่ต้านั้น จุดประสงค์คืออะไร? แค่เพียงต้องการเตือนหลี่เย่ว่าตัวต้นเรื่องเช่นไล่ต้ายังไม่ตายแล้วเขาจะตายได้อย่างไร? ไล่ต้าเป็นคนของจวนเพ่ยหยางโหว แต่เขาเป็นคนของวังหลวง ถ้าเทียบดูแล้วก็ไม่ใช่คนที่หลี่เย่จะมาจัดการได้ตามอำเภอใจ

แต่ว่าขันทีคนนั้นไม่ได้หัวรั้นเหมือนไล่ต้า  จึงไม่กล้าพูดหยาบคายออกมา

ถาวจวินหลันค่อยๆจิบชา ส่งยิ้มให้กับขันทีคนนั้นช้าๆ จากนั้นก็พูดว่า “ท่านอ๋องเป็นคนจิตใจดี เป็นมิตรอ่อนหวาน แต่ข้ากลับไม่ใช่ เจ้าทำงานไม่สมกับหน้าที่ทำให้ท่านอ๋องต้องตกอยู่ในอันตราย ข้ากลับไม่สามารถให้อภัยเจ้าได้ มิเช่นนั้นถ้าต่อจากนี้ไปทุกคนทำผิดเช่นเจ้าอีก และไม่ได้รับโทษเพราะนิสัยของท่านอ๋อง จนทุกคนต่างก็ไม่เกรงกลัว นั่นจะดีได้อย่างไร?”

หลี่เย่เบือนหน้ามองถาวจวินหลันทีหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไรออกมาแต่กลับยิ้มออกมาแทน ความหมายนั้นดูออกไม่ยากว่าเห็นด้วยกับถาวจวินหลัน

ถาวจวินเองก็ยิ้มให้เช่นกัน พูดว่า “เรื่องนี้ท่านอ๋องต้องมอบให้ข้าจัดการถึงจะถูก มิเช่นนั้นแล้วแหกกฎไปต่อจากนี้ข้าจะดูแลบ้านได้ยากขึ้น”

คำพูดเพียงไม่กี่คำนี้พูดให้คนอื่นฟัง

อย่างที่คาดคิดเอาไว้ หลังจากที่หลี่เย่เพิ่งพยักหน้า คนที่อยู่รอบข้างล้วนมีท่าทีเปลี่ยนไปไม่มากก็น้อย มีเพียงบ่าวรับใช้ข้างกายถาวจวินหลันสองสามคนที่ยังนิ่งสงบอยู่ได้ ส่วนคนที่ไม่เคยมีความสัมพันธ์อันใดกับถาวจวินหลันมาก่อน ยามนี้กลับมีท่าทีหวาดกลัวขึ้นมาบ้างแล้ว

ถาวจวินหลันพอใจกับปฏิกิริยาเช่นนี้อย่างมาก

ขันทีคนนั้นถูกสายตาของถาวจวินหลันกดดันจนรู้สึกร้อนรน สุดท้ายก็ทุ่มออกไปสุดตัว รีบพูดว่า “บ่าวเป็นคนของวังหลวง ทำผิดแล้วก็ต้องได้รับการลงโทษจากผู้ดูแลภายในวัง มีฮ่องเต้และฮองเฮาเหนียงเหนียงลงโทษ!” แม้นความหมายในคำพูดนั้นจะไม่ได้พูดอย่างชัดเจน ว่าถาวจวินหลันไม่มีคุณสมบัตินั้น แต่ก็เห็นได้ชัดว่าหมายความเช่นนั้น

ถาวจวินหลันถอนหายใจออกมา “ดูท่าว่าวันนี้ข้าลงโทษพวกเจ้าจนตาย เจ้าคงไม่มีทางยินยอมพร้อมใจเป็นแน่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ตัวข้าคงจะทำอะไรไม่ได้แล้ว”

ขันทีได้ยินคำพูดนี้ก็สบายใจขึ้นมาทันที

ถาวจวินหลันมองไปทางหลี่เย่

หลี่เย่รับคำพูดต่อว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ให้คนไปรายงานในวังหลวงเสียหน่อย ถามว่าตัวข้าสามารถจัดการคนผู้นี้ได้หรือไม่”

ถาวจวินหลันพยักหน้า “ตามความต้องการของท่านอ๋อง” ที่จริงแล้วต่อให้ไปถามก็มีผลลัพธ์เดียวกัน ขันทีที่คอยดูแลนั้นไม่มีทางยอมมีเรื่องกับจวนตวนอ๋องเพราะเรื่องนี้เป็นแน่ อย่างไรแล้วก็เป็นเพียงขันทีที่บังคับรถเท่านั้น ไฉนเลยจะคุ้มค่าให้สนใจ และเอาอนาคตของตัวเองเข้ามาเสี่ยงเล่า?

นอกจากคนผู้นี้มีคนคุ้มครองอยู่ อีกทั้งแน่นอนว่าต้องไม่ใช่ระดับขันทีดูแลรักษา บ่าวก็คือบ่าวยังจะข้ามหน้าเจ้านายได้อย่างนั้นหรือ? ต้องเป็นอย่างขันทีเป่าฉวนที่ดูแลรับใช้เบื้องหน้าฮ่องเต้ทุกวัน มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับฮ่องเต้ถึงจะมีอะไรแตกต่างออกไปบ้าง

ในเมื่อส่งคนไปถาม ถาวจวินหลันกับหลี่เย่ก็ไม่รีบร้อน ตัดสินใจนั่งรออยู่ที่เดิมไม่ไปไหน ถาวจวินหลันถือโอกาสตอนนี้ถามสถานการณ์ภายในจวน และจัดการเรื่องราวส่วนหนึ่ง

หลี่เย่กลับนั่งเกียจคร้านอยู่ที่เดิม เล่นน้ำเต้าเขียวใสที่สลักมาจากมรกต ดูท่าทีไม่ใส่ใจ แต่ในใจของถาวจวินหลันคิดว่า ความจริงแล้วไม่รู้ว่าคนนี้กำลังวางแผนอะไรอยู่

แค่เพียงเวลาสามกาน้ำชา เพ่ยหยางโหวฮูหยินก็ส่งลูกชายคนที่สี่หยางเจิ้นหนิงมาที่จวน

“พี่สี่” ถาวจวินหลันยิ้มพลางเดินเข้าไปต้อนรับ และให้หยางเจิ้นหนิงนั่งที่ของตนเอง “เพื่อเรื่องเล็กเท่านี้ยังต้องให้พี่สี่มาด้วยตนเอง ไม่สมควรเลยจริงๆ”

ก่อนที่หยางเจิ้นหนิงจะมาก็ได้รับการกำชับจากบิดามารดามาก่อนแล้ว ดังนั้นตอนนี้จึงยิ้มและแสดงจุดยืนของตนในทันใด “เรื่องนี้ท่านพ่อและท่านแม่รู้เรื่องแล้ว แค่เพียงบ่าวคนเดียวยังถือว่าตนเองเป็นคนของมารดาแล้วยังเอามาอวดดี แม้ว่าน้องจะไม่ฆ่าเขา แต่ส่งกลับไปที่จวนเพ่ยหยางโหวก็ต้องสั่งฆ่าอยู่ดี”

เมื่อหยางเจิ้นหนิงพูดออกมา ไล่ต้าพลันตัวสะท้าน แค่เอ่ยปากก็แฝงเสียงร่ำไห้ออกมา “คุณชายสี่ บ่าวไม่ได้ตั้งใจนะขอรับ! โทษของบ่าวไม่สมควรตายนะขอรับ! ม้าตกใจ บ่าวจะรู้ก่อนได้อย่างไร?”

ความหมายนั้นเห็นได้ชัดว่ากำลังโทษพวกเขาไม่แบ่งความผิดความถูก เห็นชีวิตคนเป็นผักเป็นปลา

ถาวจวินหลันยิ้มมองไปยังหยางเจิ้นหนิง แต่ไม่พูดอะไรออกมา

หยางเจิ้นหนิงกลับโมโหถลึงตาโต หัวเราะเสียงเย็นติดต่อกัน “คาดการณ์ไม่ได้อย่างนั้นหรือ ข้าถามเจ้าหน่อยว่าม้าที่ใช้ลากรถในจวนนั้นล้วนเป็นม้าที่ได้รับการฝึกมาจนเชื่องมิใช่อย่างนั้นหรือ?”

ไล่ต้าตะลึงไป “ขอรับ”

“ข้าถามเจ้าอีกครั้ง ทำไมม้าถึงได้ตกใจ?” หยางเจิ้นหนิงถามออกมาเสียงดัง

ไล่ต้าลดเสียงลง “โดนประทัดและก้อนหินที่เด็กคนหนึ่งปามาทำให้ตกใจขอรับ”

หยางเจิ้นหนิงยิ่งหัวเราะหนักขึ้น “แม้ว่าม้าในจวนจะตกใจ แต่ก็จะไม่วิ่งเตลิดไปจนไม่สามารถปลอบมันได้หรอกจริงหรือไม่? และยิ่งไม่บ้าคลั่งจนกระแทกเข้ากับรถม้าของจวนตวนอ๋องด้วยซ้ำไป! เพียงแค่ตกใจเพราะประทัดและก้อนหิน ถ้าเจ้าปลอบประโลมมันก็คงไม่หลุดการควบคุมเช่นนี้!”

หยางเจิ้นหนิงมาเพื่อแสดงจุดยืนอย่างแท้จริง มิเช่นนั้นคงไม่เฉียบคมและเอาความจริงออกมาตีแผ่อย่างไม่สนใจอย่างอื่น จะต้องรู้ว่าเมื่อขุดเรื่องนี้ขึ้นมา ถ้าเช่นนั้นก็ไม่มีโอกาสปิดบังเรื่องนี้อีกต่อไป

ไล่ต้าเป็นบ่าวที่เกิดในจวนโหว หากสืบพบปัญหาของเรื่องนี้ ผลลัพธ์ก็คาดเดาได้โดยไม่ต้องพูด ถ้าไม่สืบให้ชัดเจน จวนเพ่ยหยางโหวก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากเรื่องนี้มิใช่หรือ?

ดังนั้นหยางเจิ้นหนิงเป็นเช่นนี้ อย่างแรกถือเป็นการเข้าร่วมกับหลี่เย่ อย่างที่สองก็เป็นการล้างความสงสัยของจวนเพ่ยหยางโหว อย่างไรคนที่มีตาก็มองออกอย่างแน่นอนว่าเรื่องนี้มีปัญหาแอบแฝงอยู่ ถ้าไม่สืบเรื่องนี้ให้แล้วจบ คนอื่นก็คงสงสัยจวนเพ่ยหยางโหวมิใช่หรือ?

หลี่เย่ยิ้มน้อยๆ พยักหน้าให้หยางเจิ้นหนิงเบาๆ อย่างไม่กระโตกกระตาก

ทันใดนั้นหยางเจิ้นหนิงก็สบายใจขึ้นมา ในความเป็นจริงแล้วก่อนเขาจะออกจากจวนมา เพ่ยหยางโหวได้กำชับเขาเพียงแค่เรื่องเดียว จะต้องทำให้หลี่เย่เชื่อพวกเขาและไม่อาจให้จวนเพ่ยหยางโหวแบกรับความผิดนี้เอาไว้ได้

ถาวจวินหลันเองก็ยิ้ม แต่กลับมองไล่ต้าอย่างเยียบเย็น “เจ้ายังจะแก้ตัวอีกหรือไม่?”

ไล่ต้ากลับไม่รู้ว่าจะแก้ตัวอย่างไร กัดฟันย้ำคำเดิม “บ่าวไม่ได้ตั้งใจ เรื่องราวไม่สามารถควบคุมได้จริงๆ ขอรับ! บ่าวไม่รู้เรื่อง!”

ไล่ต้ากัดฟันไม่ยอมรับ กลับทำให้รู้สึกจนปัญญา อย่างไรคนไม่ยอมรับก็คงเอาโทษไปสวมหัวไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรก็แลดูจะบ้าอำนาจไปเสียหน่อย

หยางเจิ้นหนิงไม่พูดอะไร มองไปที่ไล่ต้านิ่ง เหมือนกำลังคิดว่าสุดท้ายแล้วไล่ต้าจะปากแข็งไปได้นานถึงเพียงใด

ไล่ต้ากลับเหมือนไม่รู้เรื่องจริงๆ ตะโกนว่าไม่ผิดเพียงอย่างเดียว

ผ่านไปครู่หนึ่งถาวจวินหลันทนดูต่อไปไม่ไหว จึงค่อยๆ เอ่ยปากออกมา “ม้าของจวนตวนอ๋องที่ตกใจก็ถูกจับเอาไว้แล้วเช่นเดียวกัน บ่าวบอกข้าว่าก้นของม้าไม่เพียงแค่ถูกโบยจนเนื้อแตกเท่านั้น แล้วยังมีรอยแผลถูกของมีคมบางชนิดแทงอีกด้วย ไล่ต้า เจ้าต้องอธิบายอย่างละเอียดเสียแล้ว”

ใบหน้าของไล่ต้าซีดเผือดไร้สีเลือดในทันใด

หยางเจิ้นหนิงไม่รู้ว่ามีเรื่องนี้ด้วย ในตอนนั้นจึงหันไปมองถาวจวินหลัน สีหน้าค่อยๆ ฉายแววโมโหออกมา แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาพูดอย่างฉอดๆ เต็มไปด้วยเหตุผล แต่สุดท้ายก็ยังหวังว่าไล่ต้าจะเพียงแค่ดื้อด้านแต่ไม่ได้ทำเรื่องที่สู้หน้าใครไม่ได้ มิเช่นนั้นแล้ว ไล่ต้าเป็นคนของจวนเพ่ยหยางโหว ไม่ว่าอย่างไรจวนเพ่ยหยางโหวก็ถือว่ามีโทษที่ดูแลคนได้ไม่ดี อีกทั้งเสียหน้าด้วย

ถาวจวินหลันลอบถอนหายใจ นางไม่อยากจะทำเช่นนี้แม้แต่น้อย แต่ไล่ต้ากลับหัวแข็งดื้อด้านมากเกินไป

ไล่ต้านิ่งไปครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็ตะโกนเสียงดังออกมา “ใครจะไปรู้ ว่าจวนตวนอ๋องลงมือเองหรือไม่!”

ถาวจวินหลันโมโหจนหัวเราะออกมา

หยางเจิ้นหนิงเองก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป อารมณ์โมโหกลายเป็นแค้นยกเท้าถีบในทันใด ถีบเข้าไปตรงหน้าอกของไล่ต้าอย่างจัง พูดอย่างเคียดแค้นว่า “เรื่องมาถึงตอนนี้เจ้ายังจะกล้าบิดพลิ้ว?! จวนตวนอ๋องจำเป็นต้องใส่ความบ่าวเช่นเจ้าหรืออย่างไร!”

ไล่ต้าไอออกมาสองสามที แทบจะมีเลือดผสมออกมาแต่กลับยังมองหยางเจิ้นหนิง พลางพูดแก้ตัวออกมาว่า “แต่บ่าวเป็นบ่าวของจวนเพ่ยหยางโหว! จวนตวนอ๋องจะใส่ความก็ไม่ใช่ตัวบ่าว!”

ถาวจวินหลันไม่พูดอะไรออกมา

หลี่เย่เองก็ก้มหน้าจิบชา ในตอนนี้ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรก็ไม่เหมาะสมทั้งนั้น

หยางเจิ้นหนิงไม่คิดแม้แต่น้อย ยกเท้าถีบเข้าไปอย่างจัง “ข้ากลับไม่เคยได้ยินว่าลูกเขยจะใส่ร้ายพ่อตา” แม้จะบอกว่าถาวจวินหลันเป็นชายารอง แต่ก็สามารถพูดเช่นนี้ได้เหมือนกัน เพราะว่าเป็นบุตรสาวบุญธรรมจึงไม่สามารถเทียบกับบุตรสาวที่แท้จริงได้เท่านั้นเอง

แต่ในเวลานี้เห็นได้ชัดว่าไม่ยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดเอง และเมื่อหยางเจิ้นหนิงพูดเช่นนี้ก็มีความหมายว่าจะต้องการสานความสัมพันธ์กับหลี่เย่ให้ใกล้ชิดขึ้น แสดงออกว่าเขาไม่ได้สั่นคลอนเพราะคำพูดของไล่ต้า

ถาวจวินหลันโบกมือไปมา “ช่างเถิด ให้คนลากไล่ต้าไปจัดการโบยจนตายเลยเถิด บ่าวหัวดื้อเช่นนี้จะถามก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา”

หยางเจิ้นหนิงมองไปยังถาวจวินหลันใจกระตุกวูบขึ้นมา พูดอย่างโหดเ**้ยมว่า “ไล่ต้าเป็นเช่นนี้เห็นได้ว่าครอบครัวของเขาก็ไม่ใช่คนดีอะไร ตีให้ตายไปพร้อมกันเสียเลย! แม้จะโบยไม่ตายก็ให้ส่งไปทำงานที่เหมืองถ่าน!”

ส่งไปที่เหมืองถ่านกับโบยตีจนตายไม่ได้ต่างกัน อาจจะน่าสมเพชมากกว่าตายในทันใดเสียด้วยซ้ำไป ปกติแล้วถ้าไม่ได้ทำผิดใหญ่หลวงก็จะไม่มีการลงโทษเช่นนี้เป็นแน่