ชื่อเสียงไม่ดี

หยางเจิ้นหนิงพูดเช่นนี้ ทำเอาขาของไล่ต้าอ่อนแรงไป อีกทั้งใบหน้าประกายความโหดเ**้ยมออกมา “คุณชายสี่ ตั้งแต่ตระกูลข้าขอเข้ามาในตระกูลหยางของพวกท่าน ข้าทำเรื่องแทนพวกท่านไปตั้งเท่าไร? ท่านกลับไม่คิดถึงความสัมพันธ์เก่าก่อนเลยหรือ?”

ไม่พูดเรื่องนี้ยังดีเสียกว่า พอพูดแล้วหยางเจิ้นหนิงกลับโมโหยิ่งกว่าเดิม “เจ้ายังกล้าพูดเรื่องนี้อีกอย่างนั้นหรือ? แม้นตระกูลของพวกเจ้าจะเข้ามาในจวนเพราะติดจากการแต่งงานมา แต่คนที่ภักดีด้วยจริงๆ แล้วเป็นใคร? เจ้ากล้าพูดดังๆ หรือไม่?”

ไล่ต้าหลบหลีกไม่ยอมพูดอะไรออกมาอีก ผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้ร้องขอว่า “คุณชายสี่ บ่าวตายไปยังไม่เท่าไร แต่ครอบครัวของบ่าวไม่มีโทษถึงตาย คุณชายสี่ได้โปรดเมตตา คุณชายสี่ได้โปรดเมตตาเถิดขอรับ!”

หยางเจิ้นหนิงเหลือบมองไล่ต้า และมองบ่าวรับใช้ของจวนตวนอ๋องที่ยืนอยู่รอบข้างวูบหนึ่ง

หลี่เย่ทำสัญลักษณ์ บ่งบอกให้ทุกคนออกไป

ถาวจวินหลันเองก็ตั้งใจเช่นนี้ ดังนั้นภายในช่วงเวลาสั้นๆ แม้แต่ขันทีที่มาจากวังหลวงคนนั้นก็ถูกควบคุมตัวออกไปเช่นเดียวกัน ภายในห้องเหลือแค่คนเพียงสี่คนเท่านั้น

“หากเจ้ายอมพูดว่าใครใช้ให้เจ้าทำ ข้าจะไว้ชีวิตครอบครัวของเจ้า” หยางเจิ้นหนิงค่อยๆ พูดออกมา ท่าทีจริงจัง “หากเจ้าไม่ยอมพูด ข้าจะทำให้ครอบครัวของเจ้าทั้งหมดไปรวมตัวกันในนรก”

ไล่ต้ารู้ดีอยู่แล้ว ว่าแต่เดิมหยางเจิ้นหนิงก็ไม่ใช่เจ้านายที่มีจิตใจงาม ในอดีตก็เคยไปคลุกอยู่ในสนามรบมาก่อน เมื่อก่อนฆ่าคนก็ไม่เห็นว่าจะใจอ่อนมืออ่อน

ไล่ต้าเหลือบมองหลี่เย่วูบหนึ่งด้วยหวาดระแวงเช่นเดียวกัน แม้ว่าท่านอ๋องคนนี้จะอมยิ้มจิบชาไม่ปริปากถามอยู่ตลอด แต่ก็รู้สึกเสมอว่าเขาเป็นคนที่น่ากลัวที่สุด

แน่นอนว่าการแสดงออกเยือกเย็นไร้เยื่อใยของถาวจวินหลันเมื่อครู่นี้ ก็ทำให้ใจของไล่ต้าหนาวเหน็บเช่นเดียวกัน

เห็นได้ชัดว่าคนที่เหลืออยู่ทั้งสามคนนี้ไม่ใช้เจ้านายที่จะสานสัมพันธ์ดีด้วยได้

สุดท้ายแล้วไล่ต้าก็ยอมเอ่ยปาก “หากข้าพูดไป คุณชายสี่จะรักษาสัญญาใช่หรือไม่?”

คราวนี้คนที่ออกปากรับประกันกลับเป็นหลี่เย่ “เจ้าวางใจ”

ไล่ต้าลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่กลับพูดคำพูดเหมือนจะถูก แต่แท้จริงนั้นผิดออกมา “จวนเพ่ยหยางโหวก็เป็นแค่เพียงสุนัขที่ถูกเลี้ยงมานานหลายปีเท่านั้น”

หยางเจิ้นหนิงหลุดโมโหในทันใด กำหมัดแน่นแล้วชกไปที่ไล่ต้าอย่างจัง

จากนั้นไล่ต้ากลับชิงกระทำก่อน ไม่รู้ว่าทำเรื่องอะไร ริมฝีปากกลับมีเลือดดำไหลลงมา ขาและเท้าชักกระตุกอยู่สองสามที ดวงตาเบิกโพรงตายคาที่ทันที

หยางเจิ้นหนิงทั้งตกใจและโมโห ถาวจวินหลันหัวเราะเสียงเย็น “ลงทุนมากเสียจริง” คิดไม่ถึงว่าไล่ต้ายังเป็นทหารที่ยอมพลีชีพ

“บ่าวที่หัวดื้อเช่นนี้ ควรสับให้เป็นชิ้นๆ! ให้พวกเขาไปรวมตัวพบหน้ากันที่นรกเถิด” หยางเจิ้นหนิงกล่าวอย่างเ**้ยมโหด

หลี่เย่กลับส่ายหัว “ในเมื่อเจ้ารับปากเขาแล้วก็จงไว้ชีวิตครอบครัวเขาไปเถิด เขาก็บอกเจ้าแล้วมิใช่หรือ?”

หยางเจิ้นหนิงขมวดคิ้วแน่น “เขาบอกข้าตั้งแต่เมื่อไร?”

ถาวจวินหลันอธิบายเสียงอ่อนโยน “แน่นอนว่าบอกพวกเราแล้ว เขาพูดว่าจวนเพ่ยหยางโหวก็เป็นเพียงแค่สุนัขที่ถูกเลี้ยงดูมานานเท่านั้น ความหมายก็คือสุนัขจะจงรักภักดีกับสุนัขได้อย่างไรกัน? ดังนั้นเจ้านายของไล่ต้าก็ต้องเป็นคนอื่นอย่างแน่นอน” ส่วนเจ้านายคนนี้จะเป็นใคร ไม่จำเป็นต้องบอก ทุกคนต่างก็รู้อยู่แก่ใจ

“ไล่ต้ากล้าทำเรื่องเช่นนี้ คิดว่าคงไม่ได้เป็นเพราะภักดีกับเจ้านายของตน เกรงว่าคงถูกข่มขู่ แต่เพื่อครอบครัวของตนเองถึงได้บอกพวกเราให้รู้ แน่นอนว่าต่อให้พวกเราปล่อยไป เขาก็ไม่มีทางไปรายงานเรื่องนี้ได้ เกรงว่าการที่พวกเราบังคับให้เขาพูดโดยใช้ตัวประกัน เขาถึงได้พลีชีพ” ถาวจวินหลันพูดสิ่งที่ตนเองวิเคราะห์อยู่ในใจออกมา จากนั้นก็หัวเราะขมขื่น “ฝ่ายตรงข้ามให้ยาพิษกับไล่ต้า เกรงว่าคงหมายความเช่นนี้เหมือนกัน”

หยางเจิ้นหนิงนิ่งไปครู่หนึ่งไม่พูดไม่จา จู่ๆ ก็มองไปทางหลี่เย่ “เรื่องนี้จวนเพ่ยพยางโหวของพวกข้าทำผิดต่อท่านอ๋อง เจิ้นหนิงต้องขออภัยท่านอ๋องด้วย”

หลี่เย่ยิ้มน้อยๆ สะบัดมือไปมา “กล่าวเช่นนี้หมายความอย่างไรกัน พวกเจ้าพลอยติดหางเลขไปด้วย และนี่แต่เดิมก็เป็นการแต่งงานกระชับความสัมพันธ์ มาแปลกหน้าเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?”

หยางเจิ้นหนิงยิ้มแต่ก็ยังรู้สึกฝืนอยู่ดี สุดท้ายก็มองอย่างเคียดแค้นไปยังร่างของไล่ต้า ก่อนถอนใจออกมา “เรื่องนี้จวนเพ่ยหยางโหวจะต้องสืบให้แน่ชัดแน่นอน”

แม้ว่าจะพูดเล่นนี้  แต่ความจริงแล้วทุกคนต่างรู้กันดี ว่าเรื่องนี้คงสืบอะไรไม่พบเป็นแน่ ไล่ต้าตายไปแล้ว ไร้ซึ่งหลักฐาน แม้จะบอกว่าเหลือขันทีน้อยอยู่ แต่ต่อให้ขันทีน้อยคนนั้นถูกสั่งลงมา แต่ก็ไม่ใช่คนสำคัญอะไร พูดให้ชัดเจนก็คือเรื่องนี้สืบสาวไปแล้วจุดสำคัญก็ยังอยู่ที่ไล่ต้า

ดังนั้นเรื่องนี้คงสืบไม่พบความจริงเป็นแน่ ที่จริงแล้วต่อให้สืบพบ ไม่มีคนเป็นพยานแล้วใครจะเชื่อ? ไม่แน่ว่าจะถูกย้อนกลับมาเล่นงานด้วยซ้ำไป

หลี่เย่มองไปยังหยางเจิ้นหนิงที่รีบแสดงจุดยืนอย่างร้อนรน และไม่ได้ปริปากพูดอะไรออกมา

ภายในช่วงเวลาสั้นๆ ถาวจวินหลันก็ให้คนมายกไล่ต้าออกไป และเวลานี้ข่าวจากในวังหลวงก็มาถึงแล้วเช่นกันเป็นเพียง ขันทีน้อยคนหนึ่ง ในเมื่อหลี่เย่อยากจะจัดการ ก็ไม่ต้องส่งกลับไปที่วังหลวงอีก พูดง่ายๆ ก็คือจะเป็นตายอย่างไรก็แล้วแต่

หลี่เย่กวาดตามองขันทีน้อยที่ตัวสั่นงันงก ก่อนแย้มยิ้มอย่างเป็นมิตร

ถาวจวินหลันก็คลี่ยิ้มเช่นเดียวกัน “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ทำตามความตั้งใจแต่เดิมเถิด บ่าวไร้ประโยชน์เก็บเอาไว้ก็ใช้งานไม่ได้” ในเมื่อตั้งใจเล่นงานจวนตวนอ๋อง ต้องการปลิดขีพตวนอ๋อง เช่นนั้นก็อย่ามาหาว่านางใจร้าย!

ขันทีน้อยคิดไม่ถึงว่าถาวจวินหลันที่เป็นชายารองจะเจ้าอารมณ์ถึงเพียงนี้ ฉับพลันก็ตกใจจนทั้งร่างอ่อนแรง รีบตะโกนเสียงสูง “ข้าพูด ข้าจะพูดขอรับ!”

ถาวจวินหลันมองไปทางหลี่เย่วูบหนึ่ง เม้มปากยิ้ม หลี่เย่เองก็ยิ้มเช่นเดียวกัน

แต่สุดท้ายแล้ว สิ่งที่ขันทีน้อยพูดก็ไม่เห็นว่าจะมีประโยชน์อะไร ขันทีน้อยพูดว่าเขาไม่ได้ถูกใครสั่งมา แต่มีคนแอบส่งข่าวให้เขาว่าวันนี้เขาจะเกิดรื่อง ไม่แน่ว่าเขาเองก็จะต้องเอาชีวิตเข้าแลกเช่นเดียวกัน

หรือจะพูดว่าเรื่องนี้สืบหาอะไรไม่ได้แล้ว เรื่องเช่นนี้จะให้สืบอย่างไร? สืบไปทีละขั้นอย่างนั้นหรือ? นั่นคือวังหลวง ไม่ใช่จวนตวนอ๋อง

ถาวจวินหลันถอนหายใจออกมา มองไปยังขันทีน้อยวูบหนึ่ง สุดท้ายก็ยังพูดออกมาว่า “ด้วยเห็นแก่ตัวละทิ้งเจ้านาย บ่าวเช่นนี้เก็บเอาไว้ไม่ได้”

จิตใจดีถือเป็นเรื่องหนึ่ง อ่อนแอก็ถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ใจดีไม่ได้หมายความว่าอ่อนแอให้คนมารังแกได้ง่ายๆ ในสถานการณ์เช่นนั้นการที่คนบังคับรถละทิ้งรถของตนเองไปเพื่อหนีเอาชีวิตรอด ก็หมายความว่าหวังทำร้ายเจ้านาย ด้วยเป็นเพียงคนบังคับรถ เขาจึงไม่รู้ว่าผลลัพธ์ที่ตนเองหนีเอาตัวรอดเพียงลำพังเป็นอย่างไร แต่ต่อให้รู้ผลลัพธ์เขาก็ยังคงสนใจแค่ตนเอง นางรับเรื่องนี้ไม่ได้

ไล่ต้ายังมีครอบครัว แต่ขันทีคนนี้กลับอยู่เพียงลำพัง

แต่ก่อนที่จะโบยจนตาย ถาวจวินหลันก็ยังถามหลี่เย่ก่อน ว่าเขาอยากจะรายงานเรื่องนี้ให้ฮ่องเต้ทราบหรือไม่ หลี่เย่กลับส่ายหน้าปฏิเสธ “ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา อีกทั้งเรื่องนี้ก็จัดการให้ชัดเจนไม่ได้ พวกเรารู้กันเองก็พอแล้ว”

ถาวจวินหลันเข้าใจความหมายของหลี่เย่ ไม่มีหลักฐานที่จับต้องได้ก็ถือเป็นการใส่ร้าย แม้ว่าตอนนี้จะเป็นเพราะฮ่องเต้ติดค้างจึงค่อนข้างลำเอียงเข้าข้างจวนตวนอ๋องอยู่เสียหน่อย แต่ก็คงไม่ถึงขั้นหน้ามืดตามัวหลงเชื่อเป็นแน่

อีกทั้งความสมดุลของอำนาจก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามใจชอบ ต่อให้เป็นฮ่องเต้ก็ต้องคำนึงถึงเรื่องนี้เช่นกัน

จวนเหิงกั๋วกงถืออำนาจเอาไว้มาก ในตอนนี้ยังไม่สามารถไปยุ่งได้ ถ้าไม่ใช่ถอนรากถอนโคน ก็ต้องอดทนรอจนมีโอกาส อย่างเดียวที่ไม่สามารถทำได้ก็คือแหวกหญ้าให้งูตื่น

ถาวจวินหลันกำชับหงหลัว “กระจายข่าวออกไป บอกว่าบ่าวชั่วทำงานไม่ได้เรื่อง และพูดหยาบไม่รู้จักผิด ถูกข้าโบยตีจนตาย ไม่จำเป็นต้องพูดยอมรับอะไรทั้งนั้น และไม่อนุญาตให้คนในจวนพูดเหลวไหล”

หงหลัวลังเลเล็กน้อย “แต่ถ้าเป็นเช่นนี้ กลับทำให้คนอื่นคิดว่าชายารองท่าน…”

“โหดเ**้ยมไร้เยื่อใย?” ถาวจวินหลันหัวเราะเยาะ ไม่สนใจแม้แต่น้อย “ถึงเวลาแล้วที่จะให้คนรู้ว่าจวนตวนอ๋องไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่จะมาหาเรื่องได้ง่ายๆ อีกทั้งโหดเ**้ยมไร้เยื่อใยแล้อย่างไร? ถ้าหากว่าไม่มาทำผิดกับข้า ข้าก็คงทำอะไรเขาไม่ได้ แต่หากเขามาทำผิดกับข้า น่อมต้องชดใช้กรรมที่ก่อเอาไว้”

เพื่อหลี่เย่ ซวนเอ๋อร์ และหมิงจู ต่อให้นางต้องโหดเ**้ยมกว่านี้ร้อยเท่าก็ไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ หลี่เย่ไม่เป็นคนเลวไม่ได้ อย่างนั้นนางก็จะเป็นเอง

ไม่ว่าอย่างไรแล้วทำตัวเป็นคนจิตใจเ**้ยมเกรียม วิธีการเ**้ยมโหดก็ไม่ได้มีอะไรไม่ดี

อีกทั้งเป็นชายารองอ่อนแอได้ แต่เป็นแม่คนจะอ่อนแอไม่ได้เป็นอันขาด แล้วนางก็ไม่ได้อยากเป็นเพียงชายารองเท่านั้น เพื่ออนาคตนางก็ควรแข็งแกร่งกว่านี้

แต่เรื่องรถม้าของหลี่เย่ถูกทำให้ตกใจและได้รับบาดเจ็บนั้น สุดท้ายแล้วก็ยังแพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงจนกลายเป็นคลื่นลูกใหญ่ ภายในช่วงเวลาสั้นๆ คำคาดเดาต่างๆ ล้วนเกิดขึ้นครบ

ตกดึกคืนนั้น ฮ่องเต้และไทเฮาล้วนส่งคนมาดูอาการของหลี่เย่ และยังประทานของให้อีกมากมาย แม้แต่ฮองเฮาก็ยังให้คนเอาของบำรุงและอัญมณีจำนวนไม่น้อยมาให้

วันรุ่งขึ้นคังอ๋อง จวงอ๋องและอู่อ๋องก็นัดกันมาเยี่ยมเยียนหลี่เย่ แม้แต่องค์ชายเจ็ดก็แอบออกมาจากวังหลวงเช่นเดียวกัน

บวกกับองค์หญิงอีกสองสามองค์ และคนที่ไปมาหาสู่กัน ภายในช่วงเวลาสั้นๆ แขกภายในจวนตวนอ๋องก็มีมาอย่างไม่ขาดสาย

เพ่ยหยางโหวฮูหยินเองก็แวะมารอบหนึ่งเช่นเดียวกัน ขาดไม่ได้ที่จะเอ่ยขอโทษออกมา ไม่ว่าจะพูดเช่นไรล้วนเป็นจวนของพวกเขาที่สั่งสอนไม่ดี โดยเฉพาะเรื่องราวตอนนี้ไม่สามารถเปิดเผยได้ ก็ยิ่งทำให้คนพูดกระจายกันไปทั่ว

เห็นชัดว่าเพ่ยหยางโหวฮูหยินไม่พอใจกับเรื่องนี้เช่นกัน แอบพูดกับถาวจวินหลันว่า “ด้านนอกล้วนพูดว่าต่อจากนี้พวกเราทั้งสองครอบครัวคงจะแตกกันแล้ว”

ถาวจวินหลันยิ้มเล็กน้อย ปลอบประโลมเพ่ยหยางโหวฮูหยิน “ท่านอ๋องเคยพูดแล้ว พวกเราแต่งงานสานความสัมพันธ์ ไม่ว่าเมื่อไรคงไม่มีทางแตกแยกกันด้วยเรื่องเล็กเท่านี้เป็นแน่เจ้าค่ะ”

เพ่ยหยางโหวฮูหยินพลันแย้มยิ้ม “ตวนอ๋องเป็นคนใจกว้าง เมื่อพูดเช่นนี้ข้าก็วางใจ” หยุดไปครู่หนึ่งก็พูดออกมาอีกว่า “ใช่แล้ว อีกไม่นานซินหลันก็จะต้องออกเรือนแล้ว เจ้าเองก็ไม่ว่าง ข้าให้คนที่เชื่อใจได้ไปคอยช่วยองค์หญิงเก้าแล้ว อีกทั้งเจ้าเองก็เป็นบุตรสาวบุญธรรมของข้า ซินหลันก็ไม่ต่างกันมากนัก แม้ไม่ได้ถือว่าข้าเป็นแม่บุญธรรมอย่างชัดเจน แต่ข้าก็ยังเตรียมของสินสอดทองหมั้นเอาไว้ให้ชุดหนึ่ง”

เพ่ยหยางโหวฮูหยินพูดไปพลางหยิบหระดาษรายการสินสอดมาให้ถาวจวินหลัน

ถาวจวินหลันเองก็ไม่ปฏิเสธ เพียงแค่เอ่ยขอบคุณ รอยยิ้มของเพ่ยหยางโหวฮูหยินยิ่งกว้างขึ้นไปอีก จับมือของนางเอาไว้และพูดว่า “ในเมื่อเป็นครอบครัวเดียวกัน ทำไมพวกเรายังจะต้องแปลกหน้าต่อกันอีก?”

ถาวจวินหลันยิ้มรับคำ พอมีเวลาว่างแล้วถึงได้หยิบใบรายการสินสอดออกมาดู แล้วนางก็ออยิ้มไม่ได่ “จวนเพ่ยหยางโหวเสียหายครั้งใหญ่แล้ว” รายการสินสอดนี้เทียบกับของนางในตอนนั้นไม่ได้ แต่ก็ไม่ถือว่าน้อย เห็นความจริงใจของเพ่ยหยางโหวฮูหยินได้อย่างชัดเจน

ถาวจวินหลันวิเคราะห์กับหลี่เย่เป็นการส่วนตัว “ผ่านเรื่องนี้มาเกรงว่าจวนเหิงกั๋วกงและจวนเพ่ยหยางโหวคงจะต้องแตกแยกกันแล้ว” ไล่ต้าเป็นเด็กที่เกิดมาในจวนเหิงกั๋วกง มาถึงจวนเพ่ยหยางโหวเพียงไม่กี่สิบปีเท่านั้น เมื่อดูจากหน้าที่ของไล่ต้าแล้ว ก็รู้ว่าไม่ได้รับความสำคัญ เห็นได้ชัดว่าจวนเพ่ยหหยางโหวก็กีดกันจวนเหิงกั๋วกงมาตลอดไฝมิใช่อย่างนั้นหรือ? แต่คราวนี้จวนเหิงกั๋วกงกลับทำมากเกินไปแล้ว