ซารางยังเด็ก ไม่สูงพอ ดังนั้นจึงไม่ต้องซื้อตั๋ว
ทันทีที่พวกเขาเข้าไป ซารางก็วิ่งตรงไปที่ม้าหมุนตามด้วยจักรยานลอยฟ้า ออกัสอุ้มซารางนั่งข้างหน้า ส่วนชอร์รีนนั่งด้านหลัง
จักรยานลอยฟ้าถูกสร้างขึ้นเหนือทะเลสาบ มีเพียงรางเดียว ลอยอยู่ในอากาศ ซารางรู้สึกกลัวเล็กน้อย ตัวเธอเบียดเข้าหาอ้อมแขนของออกัส กลัวว่าตัวเองจะตกลงไป
ยังไงซะอายุของซารางก็ยังเด็กเกินไป หลายสิ่งหลายอย่างข้างในนั้นมีข้อ จำกัดด้านความสูงและอายุที่เธอไม่สามารถเล่นได้
ขณะผ่านดราก้อนโรลเลอร์โคสเตอร์ ซารางมองดูอย่างชื่นชม จากนั้นจึงผลักหม่ามี๊กับแด๊ดดี้ “สุดยอดไปเลย หม่ามี๊กับแด๊ดดี้ก็นั่งด้วยกันสิคะ”
เชอร์รีนรู้สึกกลัวอยู่บ้าง มองดูรถไฟเหาะลงมาในแนวดิ่ง 90 องศาราวกับจะเอาชีวิต ยืนอยู่ที่นี่ยังได้ยินเสียงกรีดร้องจากผู้คนด้านบน ที่ดังจนแก้วหูแทบแตก เธอพูด “หม่ามี๊เล่นเป็นเพื่อนหนู ไม่นั่งอันนั้นแล้ว”
“หม่ามี๊ขี้ขลาด หม่ามี๊กับแด๊ดดี้ของเด็กคนอื่นๆก็นั่งกันเพียบ หนูอยากอวดเด็กอนุบาลคนอื่นๆ!”
“อวดอะไรกัน ถ้าเกิดหม่ามี๊เป็นอะไรไปข้างบนนั้น ลูกก็จะไม่มีแม้แต่หม่ามี๊เชียวนะ ยังจะอวดอีก!”
ซารางไม่ฟัง เธอบิดตัว หันก้นให้เธอ ส่งเสียงโกรธออกมาทางจมูก “เฮอะ!”
ออกัสเอื้อมมือไปจูงเธอแล้วพาเธอตรงไปต่อคิว ขณะที่เดินไปข้างหน้าเขายังเตือนซารางด้วยเสียงต่ำ “ยืนอยู่ตรงนั้น ห้ามขยับไปเรื่อย!”
“แด๊ดดี้ หนูไม่ขยับไปเรื่อยและไม่วิ่งไปเรื่อยด้วย หนูจะยืนเชียร์พ่อกับแม่อย่างเชื่อฟังตรงนี้!” เธอพอใจแล้ว กระโดดขึ้นอย่างตื่นเต้น
เชอร์รีนถลึงตาใส่เขา อยากจะสลัดเขาทิ้งแรงๆ ดวงตาของออกัสกวาดตาไปรอบๆอย่างเย็นชา เมื่อเห็นผู้คนจำนวนมากรวมตัวกัน เธอก็ไม่ได้พูดอะไรอีกอย่างไม่พอใจ
มีผู้คนเข้าแถวมากมาย คนแล้วคนเล่า ไม่นานก็ถึงคราวของเชอร์รีน เธอขึ้นไปนั่งแล้วรัดเข็มขัดนิรภัย
จะว่าไปแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เธอนั่ง ในใจก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลตื่นเต้น เธอไม่รู้เลยว่าความรู้สึกแบบไหนที่ทำให้คนเหล่านั้นกรีดร้องออกมาได้แบบนี้
เมื่อพร้อมแล้ว เครื่องก็เริ่มทำงาน ตอนแรกรถไฟเคลื่อนไหวขึ้นอย่างนุ่มนวล เธอยังพอรับได้ จากนั้นจู่ๆก็ตกลงในแนวตั้ง 90 องศาอย่างกะทันหัน การเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันทำให้เลือดทั้งหมดในร่างกายเชอร์รีนรวมตัวกันที่ด้านบนหัวของเธอ ทั้งร่างกายเหมือนมันถูกโยนทิ้ง ความรู้สึกไร้น้ำหนักนั้นแย่เอามากๆ ราวกับกำลังจะตาย!
เธออยากจะกรีดร้อง แต่กลับเหมือนถูกใครสักคนรัดคอไว้ หายใจไม่ออก จากนั้นก็รู้สึกแย่เกินจะบรรยายออกมาได้ ไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาได้แม้แต่นิดเดียว เธอกัดฟันแน่น รู้สึกว่าตัวเองใกล้ตายแล้ว
ฝ่ามือใหญ่อันอบอุ่นสัมผัสลงที่มือของเธอ เธอสะดุ้งเล็กน้อย จากนั้นเสียงที่คุ้นเคยมากๆก็ดังขึ้นว่า “ยัยโง่ ผ่อนคลายร่างกาย อย่ากัดฟัน ผ่อนคลายร่างกายทั้งหมด ถ้ากรี๊ดออกมาไม่ได้ก็ร้องเพลงโปรดออกมาได้”
เขาจับมือเธอไว้แน่น ปลอบโยนโดยไม่พูดอะไร เธอลองพยายาม เธอค่อยๆคลายการกัดฟัน ปล่อยใจลง ฮัมเพลงเบาๆ
“และอีกอย่าง ผมอยู่ข้างๆคุณ ไม่ต้องกลัว…” ฝ่ามือใหญ่ของเขากอดเธอไว้ในอ้อมอกเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ
จมูกเธอสูดกลิ่นกายชายที่ผสมกลิ่นวนิลาอ่อนๆของเขา ความกลัวหายไปในทันที เธอผ่อนคลายลง
ถึงอย่างนั้น แต่เมื่อดราก้อนโรลเลอร์โคสเตอร์จอดลง ขาของเชอร์รีนก็อ่อนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เขายิ้มบางๆอย่างช่วยไม่ได้ จึงโน้มตัวจะอุ้มเธอ แต่กลับถูกเธอก็เอี้ยวตัวหนี เธอปัดผมไปข้างหลังใบหู แล้วหายใจเข้าลึกๆ “ฉันเดินเองได้”
เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ไม่ได้บังคับเธอต่อ ปล่อยให้เธอทำตามใจ
ระหว่างนั้นเอง ออกัสกดรับสายที่บริษัทโทรมา มีการประชุมระดับนานาชาติที่สำคัญมากสองงานที่ต้องเข้าร่วม เขาต้องรีบไปที่บริษัท
“คุณไปเถอะ ซารางยังเด็กเกินไป ของเล่นที่นี่ทั้งหมดเธอล้วนไม่สามารถเล่นได้ พวกเราก็วางแผนที่จะกลับแล้ว” เชอร์รีนกล่าว
ไม่นานผู้ช่วยเตโชรีบก็ขับรถมาถึง ออกัสไม่ได้นั่ง แต่ให้เขาไปส่งสองแม่ลูกกลับบ้าน
“แล้วคุณล่ะ?”
ออกัสไม่ได้พูดอะไร แต่ยัดเธอและซารางเข้าไปข้างใน หลังจากที่ผู้ช่วยเตโชขับรถออกไปแล้ว เขาก็ค่อยโบกแท็กซี่
จนถึงตอนนี้ซารางยังคงติดนิสัยนอนกลางวัน พอกลับถึงบ้านไม่นาน เธอก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงแล้วผล็อยหลับไป
เชอร์รีนนั่งอยู่บนโซฟา เธอกำลังคิดย้อนกลับไป นึกถึงความรู้สึกที่ถูกสะบัดบนดราก้อนโรลเลอร์โคสเตอร์ มันก็ไม่ต่างจากตายเลยจริงๆ
ในขณะนั้นดูเหมือนเธอจะลืมอะไรไปเยอะ ลืมความเกลียดชังและปัญหา ได้กลิ่นเพียงลมหายใจของเขา
เธอควรจะกล้าหาญอีกครั้งใช่ไหม?
กล้าหาญเพื่อความรักของเขาและเธอสักครั้ง?
ทุกอย่างล้วนเป็นเพราะสิงหา มันไม่ใช่ความผิดเขา เขาและเธอล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์ เป็นผู้ถูกกระทำ
เธอกัดริมฝีปากเล็กน้อย ซุกศีรษะไว้ระหว่างขา ครุ่นคิดอย่างหนัก และดิ้นรน บางทีเธออาจต้องการใช้ความพยายามทั้งหมดสักครึ่งจริงๆ
พ่อคะ หนูในตอนนี้มันน่ารังเกียจใช่ไหมคะ ยกโทษให้หนูได้ไหม?
…
การประชุมทั้งสองรอบใช้เวลา 3 ชั่วโมง เมื่อกลับมาที่ห้องทำงาน เขาถอดเสื้อสูทออกแล้วโยนทิ้ง สวมเพียงเสื้อเชิ้ตสีขาว
ผ่านไปครู่หนึ่งผู้ช่วยก็โทรกลับมา จากนั้นหยาดฝนก็เดินเข้ามา ในมือเธอถือกล่องเก็บความร้อน
“เธอมาที่นี่ทำไม?” เขากำลังเซ็นเอกสาร
“พี่สะใภ้บอกว่าซุปปลาตอนเที่ยงวันนี้ทำออกมาได้ไม่เลว จึงให้ฉันตักมาให้คุณสักหน่อย” หยาดฝนกล่าว แต่สายตาของเธอกลับหม่นหมอง
ถึงแม้ว่าจะพูดว่าเป็นซุปปลา แต่แน่นอนว่าซุปปลานี้ไม่ธรรมดา…
ออกัสเหลือบมอง “ฉันกินอาหารกลางวันไปแล้ว เอากลับไปเถอะ”
“ฉันวิ่งเอาซุปปลามาตั้งไกล คุณจะไม่ชิมสักคำเลยเหรอ?”
เขาวางปากกาในมือ ลุกขึ้น เทซุปปลาออกมา ดื่มไปสองถ้วย ซุปปลานี้มีรสชาติจืดมาก
หยาดฝนพอใจแต่ไม่ได้กลับออกไป แต่กลับนั่งอยู่ตรงนั้นพลิกเอกสารบนโต๊ะอย่างตามใจ “พี่สะใภ้บอกว่าเย็นนี้ให้คุณควรกลับบ้านสักเที่ยว ฉันไม่มีธุระอะไรพอดี รอหลังคุณเลิกงาน พวกเรากลับด้วยกัน”
ออกัสกลืนน้ำลาย ตอบรับ แล้วให้เลขาเอาลาซาคอฟฟี่มาให้เธอ
สิ่งที่หยาดฝนชอบมากที่สุดคือรสชาติของลาซาคอฟฟี่ซึ่งขมมาก เธอไม่ชอบเครื่องดื่มที่มีรสหวาน ชอบเพียงรสขมเท่านั้น
จากนั้นมีเสียงข้อความดังขึ้น หยาดฝนเห็นชายหนุ่มผู้นั่งอยู่ข้างหลังโต๊ะหยิบโทรศัพท์ออกมาเปิดดู
ไม่รู้ว่าเนื้อหาข้างในเขียนว่าอะไรบ้าง แต่ดวงตาของเขามีรอยยิ้มจางๆ สีหน้านุ่มนวลราวกับหยดน้ำ
ข้อความถูกส่งมาโดยเชอร์รีน ข้างในมีประโยคง่ายๆเพียงประโยคเดียว “ฉันอยากจะลอง อยากจะกล้าหาญสักครั้ง”
มือที่ทาเล็บสีแดงสดบีบแก้วในมือแน่นอย่างไม่รู้ตัว เธอรู้สึกว่า สีหน้าของเขาในตอนนี้ช่างขัดหูขัดตาเหลือเกิน!
เธอก้มหน้ามองดูเวลาอีกครั้ง ตอนนี้ผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้ว ยังเหลือเวลาอีกชั่วโมงครึ่ง รอต่อไปก่อน
หลังจากนี้อีกชั่วโมงครึ่งจะมีโชว์ดีๆที่แสนยอดเยี่ยมเกิดขึ้น
…
หลังจากส่งข้อความแล้วเชอร์รีนเทน้ำอุ่นหนึ่งแก้ว เสียงตอบกลับข้อความก็ดังขึ้น เธอกดดู เยี่ยมมาก!
จู่ๆเธอก็อยากจะหัวเราะ เขาคิดว่าเธอเป็นเด็กประถมเหรอ เยี่ยมมาก!
นาโนโทรมาชวนพวกเธอไปกินข้าว วันเสาร์ก็มีเวลาว่างพอดีจึงพาซารางไปด้วย
นาโนและยู่ยี่มาถึงแล้ว เธอมาถึงเป็นคนสุดท้าย เธอขยับมุมปาก “พอดีพาลูกมาด้วยเลยมาช้า”