“รู้ว่ามันไม่ง่ายที่จะพาลูกมาด้วย” นาโนพูดอย่างขุ่นเคือง
“รู้สึกยังไงบ้าง?” เธอหันไปหายู่ยี่
“ท้องของฉันค่อยๆโตขึ้น ตอนนี้ก็มีอาการแพ้ท้องแล้ว ถูกทรมานจนเหนื่อย” ยู่ยี่กล่าว
เชอร์รีนพยักหน้า “ช่วงท้องก็แบบนี้แหละ ระหว่างนี้มักจะผ่านไปอย่างทรมานเสมอ ที่จริงลองคิดดูแล้วก็เพียงแค่สิบเดือนเท่านั้น คำนวณวันที่คาดว่าจะคลอดแล้วรึยัง?”
“ตอนนี้ห้าเดือนแล้ว น่าจะประมาณเดือนกุมภาพันธ์มีนาคมปีหน้า”
“ดีมากเลย อากาศไม่เย็นไม่ร้อน เหมาะกับการอยู่เดือนพอดี”
หลังจากจิบน้ำอุ่นๆ ยู่ยี่ก็รู้สึกกลัดกลุ้ม เธอชี้ไปที่ใบหน้าของตัวเองแล้วนอนลงบนโต๊ะเพื่อให้เธอดู “เชอร์รีน ตอนที่เธอท้องเธอมีจุดด่างดำด้วยรึเปล่า?”
“สถานการณ์มันแล้วแต่บุคคล ตอนนั้นฉันไม่เป็น นี่เพิ่งจะห้าเดือนก็มีจุดด่างมากขนาดนี้แล้ว ในอนาคต้องมีมากกว่านี้แน่นอน แต่ว่ามันจะลดน้อยลงหลังคลอดลูก ได้ดูรึยังว่าเป็นลูกชายหรือลูกสาว?”
ยู่ยี่ส่ายหัวแล้วยิ้ม “ไม่ว่าจะเป็นลูกชายหรือลูกสาว ฉันไม่ชอบที่จะรู้ทุกอย่างตั้งแต่เนิ่นๆ เก็บไว้เป็นความลึกมักจะดีเสมอ”
นาโนไม่ชอบฟังคัมภีร์การเลี้ยงลูกของคนสองคน ดังนั้นนาโนจึงแกล้งซาราง ตั้งใจแกล้งทำให้ซารางร้องอุแว๊ๆเสียงดัง น้ำตาคลอ
“คนเลว! น้านาโนเป็นคนไม่ดี ไม่เล่นกับน้านาโนแล้ว!” ซารางเบียดเข้ามาในอ้อมแขนยู่ยี่โดยไม่สนใจนาโน
เชอร์รีนทำอะไรนาโนไม่ได้ เธอยกกาแฟมาจิบสองสามจิบ เธอขมวดคิ้วเมื่อสายตากวาดมองไปทางคนที่อยู่ด้านหลังโดยบังเอิญ “นั่นเรนนี่ไม่ใช่เหรอ?”
ได้ยินเช่นนี้ยู่ยี่ก็มองตาม คือเรนนี่จริงๆ เธอถือกระเป๋า สวมกระโปรงยาวรัดรูปและรองเท้าส้นสูงส้นเข็ม เสื้อด้านนอกสวมคู่กับเสื้อเชิ้ต ทำให้หุ่นดูสูงโปร่ง มีส่วนเว้าโค้ง
“ไอ้หยา ไม่ได้เจอกันมาหลายปีแล้ว ยัยนี่แต่งตัวเก่งขึ้นเรื่อยๆ” นาโนไม่ยี่หระ ภายนอกดูสวยไม่มีใครเทียบได้ แต่คำพูดที่ออกมานั้น…
เชอร์รีนกับยู่ยี่ต่างก็ชินแล้ว ยู่ยี่เหลือบมองน้อยๆแล้วดื่มน้ำอุ่นต่อ
“ให้ฉันไปทักทายบรรพบุรุษรุ่นที่แปดของเธอไหม?” นาโนยิ้มอย่างชั่วร้าย “ไม่ใช่สิ ประสานความสัมพันธ์ระหว่างพี่สาวน้องสาว”
“ลืมมันไปเถอะ เรื่องก่อนหน้านี้ยู่ยี่ก็ลืมมันไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องพูดถึงมันอีก”
นาโนเหมือนพูดอะไรบางอย่างอยู่ เธอชำเลืองมองเรนนี่แล้วมองไปที่ยู่ยี่ “ไอ้หยะ! ฉันบอกให้นะพี่สาว ยังไงก็ควรใส่ใจกับภาพลักษณ์ตัวเอง จัดการตัวเอง พอเห็นเธอถูกเปรียบกับยัยนั่นแล้วในใจฉันรู้สึกอึดอัดมาก”
ชาวบ้านเขาแต่งกายฉูดฉาดหรูหรา สวยๆงามๆ แต่เธอนี่สิ ไม่ปัดแก้ม ใบหน้ามีรอยจุดด่างดำต่างๆ สวมชุดคลุมท้องที่หลวมโพรง ใส่รองเท้าไม่มีส้น
“ฉันท้องอยู่ จะเปรียบเทียบกับคนอื่นไม่ได้”
“ใช่ ต่อให้ไม่ได้ท้องก็แต่งหน้าไม่เป็น ตั้งแต่ออกจากรั้วโรงเรียนมาฉันเห็นเธอแต่งหน้านับครั้งได้ ไม่ต้องพูดถึงผู้หญิงสวยหน้าธรรมชาติอะไรเลย ตอนนี้อายุของพวกเราเลยวัยความรักใสๆมาแล้ว” นาโนกล่าวอย่างมีน้ำโห
เชอร์รีนจิ้มนาโน เธอกล้าหยุดพูดให้น้อยกว่านี้ได้ไหม?
“ท่าทีของหัสดินช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง?”
“ก็ดีนะ ก่อนออกบ้านทุกวันก็บอกฉัน จะกลับมาก็บอกฉันก่อนล่วงหน้า ตารางเวลาปกติมาก ตอนเช้าเริ่มงานแปดโมง เลิกงานห้าโมงเย็น กลับบ้านตรงเวลา”
ไม่พูดดีกว่าว่าที่จริงแล้วช่วงนี้ที่หัสดินเนียบร้อยได้จริงๆ ราวกับว่าเขากำลังจะเป็นพ่อคน นิสัยก็เปลี่ยนไปไม่น้อย เขาไม่ได้ติดต่อกับเรนนี่อีกเลยจริงๆ
เขากลับซื้อเสื้อผ้าและของเล่นสำหรับเด็กมาไว้ในบ้านจำนวนมาก ใช้เวลาอยู่บ้านกับเธอทั้งวัน แม้ในวันเสาร์อาทิตย์ก็เป็นเช่นนี้
ยู่ยี่คิดว่าบางทีการตัดสินใจของเธอทั้งหมดในตอนนั้นอาจเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง อย่างน้อยตอนนี้เธอก็มีความสุขมาก
ในฐานะผู้หญิง ไม่สามารถยึดติดกับความผิดพลาดของผู้ชายไว้ตลอดไปได้ ความผิดพลาดก็เหมือนบาดแผล หากคอยสะกิดมัน แล้วบาดแผลนั้นจะหายได้อย่างไร?
ดังนั้นหากเอาแต่เตือนถึงความผิดพลาดที่เขาเคยทำ คิดถึงทุกวัน บ่นทุกวัน รังแต่จะทำให้ความรู้สึกขอบคุณและระลึกถึงความผิดนั้นของเขาหายไป ทำให้เขาเบื่อ
“ก็ดีแล้ว” เชอร์รีนพยักหน้า ตราบใดที่เธอคิดว่าการเลือกของเธอนั้นถูกต้องก็ดีพอแล้ว
นาโนมองการแต่งตัวของเรนนี่ แล้วมองการแต่งตัวของยู่ยี่ เธอทำเสียงจุ๊ปากแล้วส่ายหัว
ขณะที่เรนนี่ดื่มกาแฟเสร็จกำลังจะออกจากร้านก็เห็นทั้งสามคน เธอหยุดฝีเท้าและทักทายด้วยรอยยิ้ม
เชอร์รีนและยู่ยี่ไม่ได้สนใจ แต่นาโนกลับพูดว่า “ตอนนี้นับวันยิ่งอ่อยผู้ชายนี่”
ยิ้ม เรนนี่ยิ้มกว้าง ไม่ได้โกรธสักนิด “พี่นาโนยังคงสวยเปล่งปลั่งเหมือนเดิมเลยนะคะ”
“นั่นคือ นั่นคือความเปล่งปลั่งที่ไม่สวยงาม จะไปเทียบกับผู้หญิงมือเท้าน้อยอย่างเธอได้ยังไง” นาโนหรี่ตายิ้ม เสยผมยาวอย่างมีสไตล์
สายตากวาดไปทั่วร่างกายของยู่ยี่ เรนนี่ยังคงหัวเราะเบาๆ “งั้นรุ่นพี่ทั้งสามก็ตามมาละกัน ฉันไปก่อนนะ”
หัสดินไม่ได้ไปหาเธอนาน แต่เรนนี้กลับไม่ได้วุ่นวายใจนัก เธอเป็นผู้หญิงฉลาดที่รู้ว่าต้องทำอย่างไรและควรทำเมื่อใด…
“โอ้โห ผิวหนังนี้ฝึกมาอย่างดีเลยนี่ ค่อนข้างหนาเลยทีเดียว เข็มที่ฉันแทงไปยาวซะขนาดนั้น แต่ที่น่าตกใจคือไม่เห็นมีเลือดสักหยด! หนังหมูยังดูไม่หนาขนาดนี้เลย”
นาโนอดหัวเราะอย่างมีเสน่ห์ไม่ได้ แต่คำพูดที่ออกจากปากนั้นกลับกัดฟันด้วยความเกลียดชัง
“คอยดูนะถ้ายัยนั่นกลับมาบิดก้นไม่หยุด แม่จะถีบเข้าให้จริงๆ ให้มันรู้ไปว่าเล่นอยู่ต่อหน้าใคร!”
เชอร์รีนได้ฟังก็คิ้วและตากระตุกอย่างหยุดไม่ได้ เธอแตกต่างจากคนทั่วไป เธอจะโหดมากเวลาด่าคน
ยู่ยี่ดื่มน้ำอุ่นไปแล้วหนึ่งแก้ว แต่ก็ยังรู้สึกกระหายน้ำอยู่ ดังนั้นจึงขอเพิ่มอีกแก้ว
…
ในห้องทำงานชุดของประธาน ด้านหน้าเป็นห้องทำงาน ส่วนด้านหลังเหมือนมีดินแดนอีกแห่งหนึ่ง มีห้องชุดพิเศษอยู่
หน้าต่างสูงจากพื้นจรดเพดานบานใหญ่ โทนสีล้วนเป็นสีโทนเย็น สีดำและสีขาว มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นห้องของผู้ชาย กลางห้องมีเตียงใหญ่ ผ้าปูที่นอนนั้นเป็นสีฟอสฟอรัสสีเงิน
ชายหนุ่มรูปงามนอนอยู่ตรงนั้น เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงสูทสีดำ หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง พ่นลมหายใจร้อนออกมาจนน่าตกใจ ส่วนข้างๆมีหญิงสาวคนหนึ่งนอนอยู่ ร่างกายเธอนั้นไม่ได้สวมใส่อะไร
แขนเรียวบางของเธอโอบรอบเอวของชายหนุ่ม ซบอ้อมอกเขาราวกับทารกแรกเกิด ดูดซับลมหายใจของเขา
กลิ่นอายของเขาน่าดม มีกลิ่นยาสูบจางๆ แล้วก็กลิ่นหอมสดชื่นของสบู่
สองชั่วโมงหลังจากดื่มซุปปลาไปหนึ่งถ้วย เขาก็เป็นลมไปตามที่คาดไว้
แน่นอนว่ามีส่วนผสมบางอย่างในซุปปลา และยังไม่ใช่แค่หนึ่ง…
สายตาของหยาดฝนมองใบหน้าที่กำลังหลับของเขา ดวงตาของเขาลึกและเป็นสามมิติ จมูกของเขาตรง ริมฝีปากบางบางมาก แดงราวกับใบเมเปิล
เขาเป็นผู้ชายที่หล่อเหลาที่สุดเท่าที่เธอเคยเจอมาตั้งแต่เธอจนโต และความสง่างามที่เปล่งออกมาจากเขานั้นก็ไม่มีใครเทียบได้
เธอไม่สามารถทนให้เขากับเชอร์รีนได้ใกล้ชิดหวานชื่นกันขนาดนี้ได้อีกต่อไป ถ้าไม่ได้รับการรักษาทันเวลา เธอก็เจ็บปวดจนหายใจไม่ออกตาย