บทที่ 354.2 ชุดเกราะห้าพันล้อมขุนเขา

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ในหัวของเผยเฉียนมักจะมีความคิดประหลาดอยู่เสมอ ยกตัวอย่างเช่นนางจะถามเฉินผิงอันอย่างจริงจังว่าเขารู้สึกหรือเปล่าว่าบ้านทุกหลัง ต้นไม้ทุกต้นเหมือนคนคนหนึ่งอย่างมาก?

เหตุผลของนางก็คือหน้าต่างคล้ายกับดวงตาของบ้าน ประตูใหญ่คล้ายกับปากของบ้าน ส่วนใบไม้ก็เหมือนเสื้อผ้าของต้นไม้ใหญ่

เฉินผิงอันถามกลับว่าแล้วทำไมหน้าหนาวอากาศหนาวขนาดนั้น ต้นไม้ถึงไม่ยอมใส่เสื้อผ้า หน้าร้อนอากาศร้อนขนาดนั้น ทำไมยังใส่เสื้อผ้าตั้งมากมาย?

จริงด้วย

เผยเฉียนเกาหัว รู้สึกว่าเฉินผิงอันอ่านหนังสือมามากก็เลยมีเหตุผลมากกว่าจริงๆ

ตลอดทางมานี้นอกจากบางครั้งที่เผยเฉียนจะชวนคุยเรื่องเหลวไหลแล้ว อันที่จริงเฉินผิงอันแทบไม่ได้พูดอะไรกับอีกสี่คนเลย

พูดไปแล้วก็น่าเหลือเชื่อ ห้าคนที่จับกลุ่มกันตอนนั้นล้วนเป็น ‘อันดับหนึ่งในใต้หล้า’ ห้าท่านในประวัติศาสตร์ของพื้นที่มงคลดอกบัวทั้งสิ้น

ตอนที่เฉินผิงอันเดินจะต้องขบคิดถึงคาถาหล่อหลอมบนแผ่นหยกแผ่นนั้นซ้ำไปซ้ำมา

วันนี้เดินอยู่บนถนนปูพื้นหินในป่าเขา จูเหลี่ยนถามขึ้นเบาๆ ว่า “นายน้อย เอาอย่างไร?”

พวกหลูป๋ายเซี่ยงสามคนเดินด้วยฝีเท้าเป็นปกติ แต่ทุกคนล้วนสัมผัสได้ถึงความผิดปกติในเวลาเดียวกัน

เฉินผิงอันตอบ “ไม่ต้องรีบร้อน”

การเดินทางขึ้นเหนือครั้งนี้จงใจเดินอ้อมผ่านพื้นที่เขตการปกครองส่วนหนึ่งของทหารชายแดนทางเหนือ ส่วนใหญ่จะเดินอยู่บนเส้นทางภูเขา

แต่ในที่สุดวันนี้ก็มีคนเผยพิรุธ เพียงแต่ว่าพวกเขาเป็นกองกำลังจากฝ่ายใด เป็นคนของชายแดนที่มาเจอคนทั้งห้าเข้าโดยบังเอิญ เกิดความกริ่งเกรงจึงจงใจมาตรวจสอบดู หรือว่าวางแผนไว้แต่แรกอยู่แล้ว เลยจงใจมุ่งมาหาเฉินผิงอันโดยเฉพาะ ล้วนยังไม่อาจบอกได้

ยามสนธยาของวันนี้ฝนเม็ดเล็กโปรยปรายลงมา เส้นทางบนภูเขาเดินยาก ในป่าเปลี่ยวร้างที่ไร้เงาผู้คน พวกเขาได้เจอกับซากวัดร้างที่ถูกทอดทิ้งมานานหลายปีแห่งหนึ่ง เผยเฉียนดีใจมาก ในที่สุดก็มีที่ให้หลบฝนแล้ว รองเท้าและขากางเกงของนางเปรอะไปด้วยดินโคลน ทุกครั้งเวลายกเท้าเหมือนต้องยกน้ำหนักเพิ่มอีกหลายจิน ต่อให้กางร่มน้ำมันคันนั้น แต่สายลมที่พัดพาเม็ดฝนมาในแนวเฉียงก็ยังทำให้เส้นผมของนางเปียกแนบติดหน้าผาก รู้สึกไม่สบายตัวอย่างมาก

เฉินผิงอันบอกให้เผยเฉียนหยุดเดิน เขาหยิบยันต์ปราณหยางส่องไฟแผ่นหนึ่งออกมาคีบไว้ระหว่างร่องนิ้ว เดินนำทุกคนเข้าไปในวัดร้างที่ว่างเปล่าก่อน พอเห็นว่ายันต์ไม่ได้ติดไฟจึงบอกให้เผยเฉียนที่อยู่นอกประตูเดินเข้าไป

คนโบราณบอกไว้ว่า สุสานนอนหลับได้ แต่วัดร้างนั้นห้ามเข้า

เป็นเพราะมีเหตุผล นอกจากที่วัดร้างจะง่ายต่อการกลายเป็นสถานที่ที่โจรขโมยซึ่งปล้นฆ่าผู้คนมาปักหลักอยู่แล้ว หลังจากที่องค์เทพไปจากอารามเต๋าหรือวัดที่ถูกทิ้งร้างก็ยิ่งง่ายที่จะเรียกให้ภูตผีและวิญญาณร้ายมาป้วนเปี้ยนอยู่รอบด้าน ทำให้สถานที่แห่งนั้นกลายเป็นสถานที่แห่งความชั่วร้ายที่เก็บซ่อนสิ่งสกปรก ล่อลวงทำร้ายผู้คนที่เดินทางผ่านมาค้างแรม ตอนที่เดินทางร่วมกับจางซานเฟิงและสวีหย่วนเสียในแจกันสมบัติทวีปก็เคยเจอกับปีศาจจิ้งจอกน้อยตัวหนึ่ง เพียงแต่ถึงอย่างไรปีศาจแห่งภูเขาและแม่น้ำที่มีจิตใจดีงามเหมือนปีศาจตัวนั้นก็มีน้อยมาก ส่วนใหญ่จะเป็นผีร้ายที่ละโมบในเรือนกายที่มีเนื้อหนังมังสาของมนุษย์ หรือไม่ก็เคียดแค้นปราณหยางบนร่างของคนที่เดินทางผ่านมาเสียมากกว่า

แท่นบูชาเทวรูปในวัดร้างล้วนล้มระเนระนาด รูปปั้นองค์เทพก็ไม่รู้ว่าหายไปไหน บนเสาคานมีหยากไย่ขึ้นเป็นหย่อมๆ

จูเหลี่ยนเก็บกิ่งไม้แห้งที่กระจัดกระจายมารวมกัน แต่ก็ยังไม่มากพอให้จุดกองไฟ จึงได้แต่ออกไปเก็บมาจากข้างนอกเพิ่ม หรือไม่ก็ตัดต้นไม้ที่เปียกชื้นมา ต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่าจะก่อไฟได้สำเร็จ

หลังจากเข้ามาในวัดร้างแล้ว เผยเฉียนก็มีข้ออ้างขอยันต์แผ่นหนึ่งจากเฉินผิงอันมาแปะบนหน้าผากทันที บอกว่านางขี้ขลาด ต้องอาศัยแผ่นยันต์ให้ช่วยขับไล่วิญญาณชั่วร้าย

ทุกวันนี้มีเพียงเขียนบทความของอริยะปราชญ์ได้ครบห้าร้อยตัวเท่านั้น นางถึงจะสามารถยืมยันต์มาแปะบนหน้าผากไว้โอ้อวดคนได้

เฉินผิงอันบอกให้นางใช้กิ่งไม้เล็กๆ กิ่งหนึ่งเขียนตัวอักษรห้าร้อยตัวลงบนพื้น เผยเฉียนหน้าบูดบอกว่าถ้าอย่างนั้นนางก็ไม่แปะยันต์แล้ว วันนี้เหนื่อยเกินไป เอาไว้ค่อยคัดหนังสือคราวหน้าได้หรือไม่

มองเด็กหญิงผิวดำเป็นถ่านที่ทั้งตัวเปรอะเลอะไปด้วยดินโคลนอย่างน่าอนาถ เฉินผิงอันก็พยักหน้ารับ เผยเฉียนเหมือนได้รับอภัยโทษ ขยับมาใกล้เฉินผิงอันถามว่าขอดูกล่องไม้ใส่สมบัติอันเล็กที่เหยาจิ้นจือมอบให้นางสักหน่อยได้หรือไม่

เดิมทีนี่ก็เป็นของของนางอยู่แล้ว เพียงแต่ฝากไว้ในหีบไม้ไผ่ของเฉินผิงอันเท่านั้น

เฉินผิงอันให้นางไปหยิบหีบไม้ไผ่มาเอง เผยเฉียนหยิบกล่องเก็บสมบัติที่ทำขึ้นอย่างประณีตงดงามออกมาอย่างระมัดระวัง นั่งลงข้างกายเฉินผิงอัน แต่กลับหันหลังให้พวกเว่ยเซี่ยนสี่คน ไม่ยอมให้พวกเขาได้เห็นเหล่าสมบัติที่อยู่ในกล่องแม้แต่ครั้งเดียว

นิสัยขี้งกนี้ เกรงว่าคงยากที่จะแก้ไขได้

อีกอย่างดูเหมือนเฉินผิงอันจะไม่ได้จงใจทำให้เผยเฉียนลำบากใจในเรื่องนี้ด้วย

ก่อนหน้านี้จูเหลี่ยนแกล้งหยอกเผยเฉียนโดยการเอาไม้เท้าเดินป่าที่ใครก็ห้ามแตะต้องอันนั้นไปซ่อน เผยเฉียนเกือบสู้ตายกับเขา

ในกล่องเก็บสมบัติแบ่งเป็นเก้าช่องที่มีขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากัน

นอกจากไม้แกะสลักหลิงจือที่อันเล็กกะทัดรัด ลวดลายไม้เรียบลื่น รวมไปถึงเหรียญเงินของอดีตราชวงศ์ต้าเฉวียนซึ่งหาได้ยากไม่กี่เหรียญแล้ว ยังมีป้ายคำสั่งของลัทธิเต๋าที่เรียบเป็นมันวาว สลักเป็นรูปเทวรูปหลิงกวานของลัทธิเต๋าที่มีใบหน้าแดง หนวดเครายาว สวมชุดคลุมสีแดงเสื้อเกราะสีทอง กลางหว่างคิ้วมีทิพย์จักษุ ลักษณะเปี่ยมไปด้วยบารมีคล้ายกับมีชีวิตจริงๆ ป้ายคำสั่งสีแดงพุทราชิ้นนี้มีขนาดเล็กมาก น่าจะเป็นสิ่งของที่ตระกูลใหญ่เช่ากลับมาจากอารามกวานเต๋า เอาไว้ให้เด็กรุ่นหลังในตระกูลพกติดตัว หวังให้ช่วยขับไล่สิ่งชั่วร้าย คุ้มครองเด็กๆ ให้ปลอดภัย

ของที่เหลือส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกเครื่องประดับของหญิงสาวที่ประณีตงดงาม

เผยเฉียนเงยหน้าขึ้นสอบถามเฉินผิงอันเบาๆ “ข้างในนี้ ชิ้นไหนมีค่ามากที่สุด?”

เฉินผิงอันเอนตัวมาด้านหลังเล็กน้อย ชำเลืองตามองของละลานตาที่อยู่ในกล่องเก็บสมบัติแล้วเอ่ยว่า “หลิงจือไม้และป้ายหลิงกวานคือของวิเศษที่มีระดับขั้นไม่เลว ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่าง หากได้ครอบครองชิ้นใดชิ้นหนึ่งนี้ก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว”

ดวงตาเผยเฉียนเป็นประกาย “แล้วสรุปว่ามีค่ากี่ตำลึงล่ะ?”

เฉินผิงอันเขกมะเหงกใส่ “ของที่คนอื่นมอบให้เจ้าด้วยความหวังดี เจ้าเอาแต่คิดว่ามันมีค่าเท่าไหร่งั้นหรือ?”

เผยเฉียนย่นคอ พูดอย่างระมัดระวัง “หากมีแค่ข้า พี่หญิงจิ้นจือก็ไม่มีทางมอบของมากมายขนาดนี้ให้ข้าหรอก”

เฉินผิงอันถามด้วยรอยยิ้ม “เรื่องนี้เจ้าก็รู้ด้วยหรือ? มองออกได้อย่างไร?”

เผยเฉียนยื่นนิ้วชี้ไปที่ตาของตัวเอง ยิ้มตาหยีพูด “ใช้ตามองน่ะสิ”

เฉินผิงอันยกมือขึ้นอีกครั้ง ทำเอาเผยเฉียนตกใจรีบยกมือกุมศีรษะจนกล่องเก็บสมบัติที่วางอยู่บนขาเกือบจะร่วงตกพื้น

เฉินผิงอันช่วยนางประคองกล่องเอาไว้ ไม่ได้เขกหัวนางจริงๆ

เผยเฉียนเก็บกล่องเก็บสมบัติให้เรียบร้อยเหมือนเดิม หมุนตัวกลับมา หลังจากยื่นกล่องส่งให้เฉินผิงอันแล้วก็กดเสียงพูดเบาๆ ว่า “พี่หญิงจิ้นจือสวยมากจริงๆ ข้ารู้สึกว่านางมี…ความเป็นผู้หญิงมากกว่าใครบางคนเสียอีก”

เฉินผิงอันไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ เขาชำเลืองมองไปนอกวัด ฝนเริ่มตกหนักขึ้นทุกทีแล้ว

จูเหลี่ยนง่วนอยู่กับการหุงหาอาหาร

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เอื้อมหยิบกิ่งไม้ที่เหลือจากส่วนที่เอาไปทำเป็นฟืนขนาดยาวเท่ากระบี่กิ่งหนึ่งมา แล้วเดินมาหยุดอยู่หน้าประตู พอยืนนิ่งแล้วก็แหงนหน้ามองม่านน้ำฝน

แทบจะเวลาเดียวกันนั้นพวกจูเหลี่ยนสี่คนต่างก็หันหน้ามามองเฉินผิงอัน

ต่อให้เป็นสุยโย่วเปียนที่นั่งขัดสมาธิอยู่ห่างไปไกลที่สุดก็ยังไม่ใช่ข้อยกเว้น หลังจากลืมตาแล้วก็แยกมือสองข้างไปวางไว้บนหัวและท้ายของกระบี่ยาวชือซิน

เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันทำเพียงแค่กำกิ่งไม้เหมือนกำกระบี่ ไม่มีท่าทีว่าจะขยับเขยื้อน

นานเข้า สุยโย่วเปียนก็หลับตาลง จูเหลี่ยนทำอาหารต่ออีกครั้ง เว่ยเซี่ยนเดินเตร่ไปทั่วทั้งในและนอกวัดร้าง เวลานี้กำลังนั่งยองอยู่ตรงมุมกำแพง ในมือถือหินแตกหักที่ถูกทาสีชิ้นหนึ่ง นี่น่าจะเป็นเศษเสี้ยวของเทวรูปในศาลภูเขาที่เหลือทิ้งไว้ หลูป๋ายเซี่ยงกำลังอ่านตำราหมากล้อมเล่มหนึ่ง เหยาจิ้นจือเป็นคนมอบให้เขา ว่ากันว่าด้านในบันทึก ‘การประชันสิบตาท่ามกลางเมฆหลากสี’ ระหว่างชุยฉานราชครูต้าหลีและเจ้านครจักรพรรดิขาวเอาไว้ หลูป๋ายเซี่ยงชื่นชอบหนังสือหมากล้อมเล่มนี้มากจนแทบไม่ยอมวาง มีเวลาว่างเมื่อใดจะต้องหยิบมาเปิดอ่าน และได้ประโยชน์จากตำราเล่มนี้ไม่น้อย

ระหว่างที่รอให้ข้าวสุก จูเหลี่ยนหยิบเอานิยายรักในหมู่ชาวบ้านซึ่งทำการพิมพ์แบบหยาบๆ เล่มหนึ่งออกมา เผยเฉียนปลุกความกล้าขยับเข้าไปใกล้หมายจะแอบอ่าน แต่กลับถูกจูเหลี่ยนผลักศีรษะเล็กๆ ออกมา

เผยเฉียนอ่านตำราหมากล้อมในมือของหลูป๋ายเซี่ยงแวบหนึ่ง นางอ่านไม่เข้าใจ ยิ่งไม่มีความสนใจ การเล่นหมากล้อมเป็นเรื่องที่นางรังเกียจมากที่สุด เจ้าวางทีข้าวางที แถมยังต้องใช้เวลาขบคิดอีกนาน น่าเบื่อยิ่งนัก หากคนอื่นวางหมากหนึ่งตัว แล้วนางสามารถวางปุๆๆ รวดเดียวสามสี่ตัว แบบนั้นต่างหากที่น่าสนุก

ในขณะที่เริ่มได้กลิ่นหอมของข้าว เฉินผิงอันก็เอ่ยขึ้นมาเบาๆ ว่า “มีคนกลุ่มหนึ่งมุ่งหน้ามาทางวัดเล็กแห่งนี้ พวกเจ้าทำธุระของตัวเองไป ไม่ต้องสนใจ หากหิวก็กินข้าวกันก่อนได้เลย”

ฝนตกหนัก คนกลุ่มหนึ่งเดินตากฝนมุ่งหน้ามาหลบฝนที่วัดร้างแห่งนี้

มีคนสิบกว่าคน ต่างสวมงอบและเสื้อกันฝน แต่ละคนร่างกายแข็งแรงปราดเปรียว ห้อยดาบไว้ตรงเอว ลมปราณหนักแน่นและทอดยาว

เฉินผิงอันอยู่กับขบวนทัพตระกูลเหยามานานขนาดนี้ แค่มองก็รู้แล้วว่าคนเหล่านี้ต้องเป็นเหล่าทหารที่มีฝีมือในกองทัพอย่างแน่นอน

คนที่เป็นหัวหน้าคือบุรุษร่างกำยำอายุประมาณสามสิบกว่าปีคนหนึ่ง เวลาที่เขาก้าวเดินประหนึ่งมังกรเลื้อย ประหนึ่งพยัคฆ์เยื้องย่าง สะดุดตามากกว่าทุกคนที่เดินตามมาด้านหลัง เรียกได้ว่าโดดเด่นดุจนกกระเรียนในฝูงไก่

คนผู้นั้นหยุดเดินห่างจากวัดร้างไปประมาณสิบก้าว เขาถามเฉินผิงอันที่ถือกิ่งไม้ไว้ในมือด้วยรอยยิ้ม “ใช่คุณชายเฉินที่ช่วยแม่ทัพผู้เฒ่าเหยามาจากเงื้อมมือของผู้ฝึกกระบี่ และสังหารกั๋วกงน้อยเกาซู่อี้หรือไม่?”

เห็นว่าเฉินผิงอันไม่พูด คนผู้นี้จึงเอ่ยต่อด้วยรอยยิ้มที่ยังไม่จางหาย “ข้าชื่อหลิวจง เป็นลูกหลานสกุลหลิวต้าเฉวียน หลายปีมานี้กินเม็ดทรายของชายแดนทิศเหนือมาจนอิ่ม พอได้รู้ข่าวสองข่าวนี้ก็คิดว่าจะต้องมาพบคุณชายเฉินสักครั้งให้จงได้ ก่อนหน้านี้ทหารสอดแนมในกองทัพข้าแอบติดตามพวกเจ้ามาถือเป็นการล่วงเกินแล้ว ข้าต้องขออภัยคุณชายเฉินมา ณ ที่นี้ด้วย!”

หลิวจง

องค์ชายใหญ่แห่งราชวงศ์ต้าเฉวียน

ในมือกุมอำนาจใหญ่ของกองทัพภาคเหนือ มีบารมีสูงส่งในกองทัพราชวงศ์ต้าเฉวียน นอกจากอาศัยแซ่ที่ได้มาตั้งแต่ตอนอยู่ในท้องมารดาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังอาศัยคุณความชอบทางการทหารระหว่างที่ประจำอยู่ชายแดน

เฉินผิงอันถาม “แค่เรื่องนี้น่ะหรือ?”

หลิวจงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “แน่นอนว่าไม่ใช่ คุณชายเฉินอาจจะยังไม่ค่อยเข้าใจเมืองเซิ่นจิ่งนัก ตอนเด็กเกาซู่อี้ผู้นั้นคอยตามก้นข้าต้อยๆ อยู่ทุกวัน ตลอดหลายปีมานี้ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับเขาก็ไม่เลว คุณชายเฉินสังหารเขา หากจะบอกว่าข้าเสียใจ ก็คงไม่ถึงขั้นนั้น เพราะถึงอย่างไรหลังจากที่ข้าออกมาจากเมืองหลวง เขาก็เอนเอียงเข้าหาเหล่าซาน (หมายถึงองค์ชายสาม) แล้ว แต่ข้าแปลกใจอย่างมากว่าตบะต้องสูงส่งเพียงใดกันแน่ถึงสามารถมีฝีมือต่อสู้ทัดเทียมกับขุนนางผู้กุมตรากองทัพม้าอย่างขันทีหลี่หลี่ได้!”

เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้าน

หลิวจงยื่นฝ่ามือออกมาข้างหนึ่ง “ไม่มาก แค่กองทัพม้าห้าพันนาย บนภูเขามีพลทหารราบฝีมือยอดเยี่ยมสองพันนาย ตรงตีนเขายังมีอีกสามพัน ไม่ทราบว่าคุณชายเฉินคิดว่าของขวัญพบหน้าครั้งนี้ พอหรือไม่?!”

เฉินผิงอันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “ในเมื่อเอาทหารม้ามากมายขนาดนี้มาล้อมไว้ เจ้าเป็นถึงองค์ชาย ยังจะต้องพาตัวมาเสี่ยงอันตรายทำไม? เจ้าและข้าอยู่ห่างกันแค่สิบก้าว ต่อให้เจ้าเองก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่ฝีมือไม่ธรรมดาคนหนึ่ง แต่ก็ไม่น่าจะประมาทขนาดนี้กระมัง?”

หลิวจงถามกลั้วหัวเราะเสียงดัง “เฉินผิงอัน ปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่? ยังไม่ถึงยี่สิบกระมัง รู้หรือไม่ว่าข้าอายุเท่าไหร่แล้ว? สามสิบปีเต็มแล้ว ไม่พูดถึงการขัดเกลาร่างกายและจิตใจตอนอยู่ในเมืองเซิ่นจิ่ง หลายปีมานี้ผ่านการเข่นฆ่าอยู่ที่ชายแดนมานับครั้งไม่ถ้วน ตอนนี้ก็เพิ่งจะได้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตหก! หากจะให้ข้าปะทะกับโส่วกงไหวของราชวงศ์ต้าเฉวียนเรา อย่าว่าแต่ต่อสู้ให้รู้เป็นรู้ตายเลย เกรงว่าแม้แต่จะออกหมัดชักดาบใส่ขันทีเฒ่า ข้าก็คงยังไม่กล้า เจ้าว่าคนเราเมื่อเอาตัวไปเปรียบเทียบกับคนอื่นมันน่าโมโหมากเลยใช่ไหมล่ะ?”

เฉินผิงอันถาม “ถ้าอย่างนั้นเจ้าเดินมาถึงที่นี่ก็เพราะ…มารนหาที่ตาย?”

มือข้างหนึ่งของหลิวจงจับด้ามดาบ มืออีกข้างหนึ่งใช้นิ้วโป้งชี้ไปที่ข้างหลังตัวเอง แสยะยิ้มพูดว่า “ทุกคนล้วนเป็นผู้ฝึกตนติดตามกองทัพที่โดดเด่นที่สุดในชายแดนเหนือของต้าเฉวียน เจ้าไม่เห็นอยู่ในสายตาเลยรึ?”

เห็นว่าคนหนุ่มที่ถือกิ่งไม้ไม่เต็มใจพูดคุยด้วย สายตาของหลิวจงก็ฉายแววมีเลศนัย “มีคนอยากจะได้ศีรษะบนบ่าของเจ้า มีคนอยากจะให้เจ้ามอบวัตถุที่ได้จากจวนปี้โหยวออกมา และมีคนอยากจะได้น้ำเต้าบรรจุเหล้าตรงเอวของเจ้า เฉินผิงอัน เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าวิญญูชนสำนักศึกษาคนหนึ่งที่ตายไปแล้ว กับแผ่นหยกศาลบรรพจารย์ของภูเขาไท่ผิงที่ไม่รู้ว่าจริงหรือปลอมแผ่นหนึ่ง จะสามารถทำให้เจ้าเดินทางไปถึงยอดเขาเทียนเชวียได้อย่างปลอดภัย? เดินอาดๆ ไปขึ้นเรือที่ท่าเรือตระกูลเซียนออกไปจากใบถงทวีปได้สำเร็จ?”

ในวัดร้าง จูเหลี่ยนถือถ้วยข้าวใบหนึ่งนั่งอยู่ริมกองไฟ หลังจากพุ้ยข้าวสองสามคำจนหมดเกลี้ยงก็ลุกขึ้นยืน

เว่ยเซี่ยนเคี้ยวข้าวอย่างละเอียด ก่อนจะพ่นประโยคหนึ่งออกมา “พูดมากขนาดนี้ มีชีวิตอยู่ได้ไม่นานหรอก”

ฝ่ามือของหลูป๋ายเซี่ยงกดด้ามดาบ เดินไปทางประตูของวัด สุยโย่วเปียนที่สะพายกระบี่เล่มยาวเดินตามหลังไปติดๆ

เว่ยเซี่ยนยกข้าวที่เหลือครึ่งถ้วยให้เผยเฉียนที่นั่งอยู่ข้างกาย “ให้เจ้าเป็นรางวัล”

เผยเฉียนรับข้าวมาเทใส่ถ้วยของตัวเอง จากนั้นก็เอาถ้วยข้าวซ้อนกัน เงยหน้าถามอย่างจริงจังว่า “เหล่าเว่ย หากเจ้าตาย ข้าจะต้องช่วยหาที่ฝังศพให้เจ้าแน่…ถึงเวลานั้นเงินบนร่างของเจ้า ข้าเอาไปเป็นค่าตอบแทนได้ไหม?”

เว่ยเซี่ยนกำเม็ดเสื้อเกราะไว้ในมือ พูดหน้าตึง “พวกเราสี่คน คิดจะตายยังยาก”

เขาเดินตรงไปหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน แล้วรวมเสียงให้เป็นเส้นเพื่อพูดเรื่องที่เดิมทีเขาไม่เต็มใจจะพูดสักเท่าไหร่

เฉินผิงอันได้ยินอย่างชัดเจน จูเหลี่ยนที่มีมือเปล่า หลูป๋ายเซี่ยงที่ถือดาบแคบและสุยโย่วเปียนที่สะพายกระบี่ต่างก็พอจะได้ยินเนื้อหานั้นแว่วๆ

แต่ละคนมีสีหน้าแตกต่างกันออกไป

ฝนตกกระหน่ำรุนแรง กลุ่มคนที่อยู่ด้านนอกจึงได้ยินไม่ชัดเจน

รอยยิ้มของจูเหลี่ยนเหี้ยมเกรียม “นายน้อย หลังผ่านศึกนี้ไปช่วยมอบของดีให้ข้าสักชิ้นได้ไหม? ตอนนี้ในบรรดาคนทั้งสี่เหลือแค่บ่าวเฒ่าเท่านั้นที่ยังไม่มีของติดกาย”

เฉินผิงอันตอบอย่างตรงไปตรงมา “ตอนนี้ยังไม่มีของจะมอบให้เจ้า”

จูเหลี่ยนรู้สึกเสียดายเล็กน้อย เขาหันหน้าไปมองกลุ่มคนที่ไม่ได้รับเชิญแล้วจุ๊ปากพูด “นายน้อย อีกเดี๋ยวหากบ่าวเฒ่าลงมือสังหารคน จะไม่เหมือนคืนนั้นที่โรงเตี๊ยมที่ยังต้องคิดเล็กคิดน้อยว่ากระบวนท่าหมัดจะสง่างามหรือไม่แล้วนะ”

สุยโย่วเปียนสีหน้าเย็นชา นางยืนอยู่ฝั่งขวาสุด “คุณชาย หากทลายทหารชุดเกราะได้หนึ่งพันนาย ท่านยกกระบี่ชือซินให้ข้าเลยได้หรือไม่?”

หลูป๋ายเซี่ยงยืนอยู่ฝั่งซ้ายสุด พูดพร้อมยิ้มบางๆ “นายท่าน หากข้าทลายทหารชุดเกราะหนึ่งพันนาย ให้ข้ายืมใช้หยุดหิมะแค่สิบปีก็พอแล้ว”

สุดท้ายเว่ยเซี่ยนเอ่ยว่า “สังหารพวกทหารชุดเกราะมาจนเอียนแล้ว พวกผู้ฝึกลมปราณยกให้เป็นหน้าที่ข้าทั้งหมดแล้วกัน”

เฉินผิงอันถามด้วยรอยยิ้ม “แล้วข้าต้องทำอะไร?”

เผยเฉียนที่ก้มหน้าก้มตาพุ้ยข้าวคำโตอยู่ในวัดร้างพูดขึ้นเสียงอู้อี้ “ท่านพ่อ ท่านมากินข้าวเป็นเพื่อนข้า!”

—–