บทที่ 355.1 ลมคาวฝนเลือดของบนภูเขา

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ลมพัดแรงฝนตกกระหน่ำ ตรงตีนเขา เซินกั๋วกงเกาซื่อเจินปฏิเสธร่มจากผู้ติดตามของจวน เขายืนอยู่ท่ามกลางสายฝน ปล่อยให้ฝนเม็ดใหญ่เท่าเมล็ดถั่วเหลืองตกกระทบลงบนร่าง

อย่าพูดถึงความจงรักภักดีต่อแคว้น พูดถึงแผ่นดินอะไรกับเขาเกาซื่อเจิน จวนเซินกั๋วกงอันใหญ่โตโอ่อ่า กลับมีบุตรชายอย่างเกาซู่อี้ที่ช่วยต่อควันธูปเพียงคนเดียว อยู่ดีๆ กลับต้องมาตายไปทั้งอย่างนี้ แล้วนับประสาอะไรกับที่เขายังทุ่มเทแรงกาย ทุ่มเทชีวิตและจิตใจอบรมปลูกฝังบุตรชายคนนี้ในทุกด้านมานานยี่สิบกว่าปี ในฐานะบิดา เกาซื่อเจินมองไม่เห็นตำหนิของเกาซู่อี้เลยแม้แต่น้อย ก่อนหน้าที่เขาจะได้รับจดหมายลับฉบับนั้นจากองค์ชายสามก็เชื่อมั่นมาโดยตลอดว่า ในอนาคตเกาซู่อี้จะกลายมาเป็นเสาคานค้ำจุนราชสำนักของต้าเฉวียน ไม่ว่าใครจะนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร จวนเซินกั๋วกงก็จะรุ่งโรจน์สืบไป มีอำนาจใหญ่ในราชสำนัก ได้เลื่อนขั้นเป็นจวนจวิ้นอ๋อง กลายเป็นคนรู้ใจของฮ่องเต้พระองค์ใหม่ ฮุบกลืนแคว้นใหญ่ที่แข็งแกร่งทั้งสองแคว้นอย่างเป่ยจิ้นและหนันฉี นำพาให้ต้าเฉวียนกลายมาเป็นราชวงศ์ที่ใหญ่ที่สุดในภาคกลางของใบถงทวีป

ฮ่องเต้บอกว่าจะชดเชยให้กับจวนเซินกั๋วกง องค์ชายสามบอกว่าจะชดเชยให้แก่เขาเกาซื่อเจิน เหล่าข้ารับใช้ส่วนตัวของเชื้อพระวงศ์ เหล่ากุนซือผู้วางแผนทั้งหลายต่างก็เกลี้ยกล่อมให้เขาอดทน

สีหน้าของเกาซื่อเจินช่วงที่ผ่านมานี้มีเพียงความเย็นชานิ่งสงบ ใครก็มองไม่ออกว่าบุรุษที่สูญเสียบุตรชายเพียงคนเดียวไปผู้นี้ ก่อนหน้านั้นได้ออกมาจากวังหลวง แล้วค่อยออกมาจากจวนองค์ชาย สุดท้ายออกจากเมืองหลวงมาอย่างลับๆ ทำหน้าที่เป็นทูตลับของฮ่องเต้เดินทางไปพบเหยาเจิ้นที่จุดพักม้าเมืองฉีเฮ้อ ทุกอย่างผ่านไปอย่างราบรื่นไร้คลื่นลม จวนเซินกั๋วกงยังคงเป็นจวนกั๋วกงที่มีมนุษยธรรมสูงส่งแห่งแคว้นต้าเฉวียน เกาซื่อเจินไม่เคยผิดหวังในตัวของฮ่องเต้หลิวเจินที่แก่หง่อมใกล้ตายคนนั้น

หากไม่มีโอกาสนั้นหล่นลงมาจากฟ้า เกาซื่อเจินก็ไม่อาจสร้างคลื่นมรสุมได้จริงๆ ถึงอย่างไรเมืองหลวงก็เป็นของฮ่องเต้ เป็นของสกุลหลิวราชวงศ์ต้าเฉวียน

แต่ตอนนี้กลับไม่เหมือนกันแล้ว

มีคนมาหาเขาเกาซื่อเจิน แล้วเขาก็ไปหาองค์ชายใหญ่หลิวจง หลิวจงจึงพาทหารสวมเกราะห้าพันนายเดินทางมา ส่วนเรื่องที่ว่าหลิวจงได้รวบรวมกองกำลังบนภูเขาไว้อย่างลับๆ มากน้อยแค่ไหน เกาซื่อเจินไม่สนใจ

สิงโตจับกระต่ายยังใช้แรงเต็มที่ (เปรียบเปรยว่าแม้จะเป็นเรื่องเล็กก็ยังต้องใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีมารับมืออย่างตั้งใจ) อย่าได้สร้างปัญหาให้คนอื่นเด็ดขาด นี่ก็คือข้อห้ามใหญ่ของสำนักการทหาร

แม้แต่คนในเมืองหลวงที่กินอยู่สุขสบายอย่างเขาเกาซื่อเจินยังเข้าใจหลักการตื้นเขินนี้ เชื่อว่าองค์ชายใหญ่หลิวจงก็ยิ่งต้องทะลุปรุโปร่งมากกว่า

เกาซื่อเจินกำลังรอ รอให้หลิวจงถือศีรษะนั้นมาส่งให้เขาตอนลงจากภูเขา เขาจะได้เอากลับไปไว้หน้าหลุมศพใหม่ของเกาซู่อี้ผู้เป็นบุตรชาย

หน้าวัดร้าง เฉินผิงอันมองคนสองคนหลังสุดที่อำพรางตัวอยู่ท่ามกลางกลุ่มผู้ติดตามของหลิวจง

หลังจากสัมผัสได้ถึงสายตาของเฉินผิงอัน คนทั้งสองก็สบตากัน ก่อนเดินออกไปข้างหน้าหลายก้าว พวกเขาก็คือสวี่ชิงโจวแม่ทัพบู๊และเซียนซือสวีถง เป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตากันดี เพราะตอนอยู่ในโรงเตี๊ยมริมชายแดน พวกเขาก็คือคนที่ประมือกับหลูป๋ายเซี่ยงและสุยโย่วเปียน

สวี่ชิงโจวถอดเสื้อกันฝนแล้วโยนทิ้งไปด้านข้าง เผยให้เห็นชุดเกราะที่อยู่ด้านใน นอกจากจะแสร้งทำเป็นพกดาบซึ่งเป็นดาบในกองทัพชายแดนของต้าเฉวียนไว้ที่เอวแล้ว ยังพก ‘ต้าเฉี่ยว’ อาวุธสำคัญชิ้นหนึ่งของสำนักการทหารไว้ด้วย

สวี่ชิงโจวไม่เอ่ยคำใด แต่สวีถงเจ้าอารามฉ่าวมู่กลับเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “คุณชายเฉิน ได้พบกันอีกครั้งแล้ว คราวก่อนอยู่ที่ชายแดนทิศใต้ ครั้งนี้อยู่ที่ชายแดนทางเหนือ ก็เหมือนกับชื่อ ‘ต้าเฉี่ยว’ (ความบังเอิญที่ยิ่งใหญ่) ดาบประจำกายที่แม่ทัพสวี่รักมากเล่มนี้ ช่างเป็นเรื่องที่บังเอิญมากจริงๆ”

ผู้ติดตามสิบคนที่อยู่ด้านหลังหลิวจง นอกจากสวี่ชิงโจวและสวีถงแล้ว คนที่เหลืออีกแปดคนล้วนเป็นผู้ฝึกตนติดตามกองทัพที่มีประสบการณ์บนสนามรบในชายแดนทางเหนือมาอย่างโชกโชน สงครามชายแดนของราชวงศ์ต้าเฉวียน อันที่จริงแล้วมีแค่สองสถานที่อย่างเหนือและใต้ซึ่งเป็นเขตชายแดนเชื่อมต่อกับเป่ยจิ้นและหนันฉีเท่านั้น ทางทิศใต้มีกองทัพม้าเหล็กตระกูลเหยาช่วยปกป้องบ้านเมืองให้แก่สกุลหลิว ส่วนทางเหนือก็เป็นกองทัพชายแดนหนึ่งแสนสองหมื่นนายภายใต้การนำขององค์ชายใหญ่ พวกเขาทำศึกกับหนันฉีตลอดทั้งปี สงครามปะทุขึ้นบ่อยครั้ง มักจะกรีฑาทัพขึ้นเหนือไปบุกหน้าด่านศัตรู ยังไม่ต้องพูดถึงพลังการต่อสู้ว่าสูงหรือต่ำ ลำพังเพียงแค่จำนวนครั้งที่ชักดาบก็มากกว่ากองทัพม้าเหล็กตระกูลเหยามากแล้ว

แม่ทัพบู๊สวี่ชิงโจวเดินทางขึ้นเขามาล้อมปราบกลุ่มของเฉินผิงอันในครั้งนี้ เป้าหมายของเขาชัดเจนยิ่ง เขาต้องการเสื้อเกราะน้ำค้างหวานที่ไม่ธรรมดาชิ้นนั้น ทางที่ดีที่สุดคือได้ดาบเล่มนั้นมาอยู่ในกระเป๋าไปพร้อมกันด้วย

ทว่าหลิวจงแค่รับปากว่าจะมอบเสื้อเกราะให้เขา ส่วนดาบแคบต้องซื้อเท่านั้น ถึงเวลานั้นก็ค่อยมาดูกันว่าสวี่ชิงโจวและตระกูลแม่ทัพของเขาจะสามารถเอาความจริงใจออกมา ‘ซื้อ’ ได้มากแค่ไหน

เซียนซือสวีถงผู้สวมกวานสูง เจ้าอารามฉ่าวมู่ตระกูลเซียนอันดับหนึ่งในขอบเขตของต้าเฉวียน เชี่ยวชาญวิชาอสนี ถนัดด้านการหลอมยาที่สามารถต่ออายุขัยให้ยืนยาว จึงใช้สิ่งนี้มาผูกสัมพันธ์กับขุนนางและชนชั้นสูงจำนวนนับไม่ถ้วน ชุดคลุมอาคมที่เขาสวมอยู่ใต้เสื้อกันฝนตัวนั้น ยามที่ปราณวิญญาณไหลรินจะฉายภาพเมฆหมอกห้าสีทอประกาย ราวกับม้วนภาพวาดภูเขาและแม่น้ำที่ลงสีสันงดงามภาพหนึ่ง และในความเป็นจริงแล้วชุดคลุมอาคมซึ่งเป็นของวิเศษตัวนี้ก็มีชื่อว่า ‘ยอดเขาห้าสี’ คือสมบัติสืบทอดมาจากบรรพบุรุษของอารามฉ่าวมู่ มีระดับขั้นใกล้เคียงกับสมบัติอาคมมากแล้ว

เซียนซือสวีถงต้องการชุดคลุมอาคมจินหลี่ที่เมื่อกลับคืนสู่สภาพเดิมจะเป็นเหมือนมังกรสีทองตัวหนึ่งที่อยู่บนร่างของเฉินผิงอัน

น้ำลายไหลยืดสามฉื่อ ปรารถนาอยากจะครอบครองแม้ในยามหลับฝัน!

เฉินผิงอันมองหลิวจง ถามว่า “เพื่อเก้าอี้ตัวนั้นน่ะหรือ?”

หลิวจงพูดเสียงกร้าว “ถ้าไม่ใช่เพื่อสิ่งนั้นแล้วจะเป็นอะไรได้อีกล่ะ? เจ้าคิดว่าชีวิตของเหล่าทหารชายแดนห้าพันนายของข้าไม่มีค่างั้นรึ?!”

กล่าวมาถึงตรงนี้ องค์ชายใหญ่ท่านนี้ก็พูดเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “หากวันนี้ข้าเดินมาไม่ถึงหน้าประตูวัดร้างแห่งนี้ ไม่ได้เห็นเจ้าเฉินผิงอันกับตาตัวเอง ในใจของข้า…”

เขาชี้ไปที่หัวใจของตัวเอง “รู้สึกไม่สาแก่ใจ!”

เฉินผิงอันกล่าว “ไม่สาแก่ใจ? เจ้ารนหาที่เองไม่ใช่หรือ? ทหารชายแดนห้าพันนายของต้าเฉวียนต้องมาตายอยู่บนภูเขาเล็กๆ ลูกนี้…ช่างเถอะ อันที่จริงเจ้าเข้าใจเหตุผลดี แต่เจ้าคงจะบอกกับตัวเองว่า ผู้ที่จะทำเรื่องใหญ่ให้ประสบความสำเร็จได้ต้องไม่สนเรื่องเล็กน้อย รอให้เจ้าได้เป็นฮ่องเต้แล้ว ทหารห้าพันนายนี้ก็คือคนที่พลีชีพเพื่อบ้านเมือง ตายอย่างคุ้มค่า”

เฉินผิงอันแกว่งกิ่งไม้ที่อยู่ในมือเบาๆ “คำถามสุดท้าย ทำไมเจ้าถึงได้คิดว่าแผ่นป้ายตรงเอวของข้าเป็นของปลอม?”

หลิวจงพูดคุยมากมายขนาดนี้อาจเพราะต้องการเพิ่มความกล้าให้ตัวเอง แล้วก็อาจเพราะต้องการข้ามผ่านหลุมในใจของตัวเองไปให้ได้

เฉินผิงอันยินดีพูดคุยเรื่องพวกนี้กับหลิวจงก็เพื่อถามคำถามข้อสุดท้าย

เป็นคำถามที่สำคัญมากที่สุด

คนที่ต้องการศีรษะของเขาย่อมต้องเป็นเซินกั๋วกงเกาซื่อเจิน คนที่ต้องการของชิ้นนั้นจากจวนปี้โหยว เฉินผิงอันคาดเดาไว้ในใจได้นานแล้ว แต่ใครกันแน่ที่ต้องการน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่?

ตั้งแต่ออกจากจุดพักม้าเมืองฉีเฮ้อ เฉินผิงอันก็แขวนป้ายหยกแล้ว

พอมาถึงท่าเรือเถาเย่ ขณะที่กำลังจะจากลากับขบวนเดินทางตระกูลเหยา วันนั้นเฉินผิงอันก็หันป้ายด้านคำว่า ‘ภูเขาไท่ผิงข้าคือผู้ฝึกตนที่แท้จริง’ ให้คนใต้หล้าได้เห็น นี่เท่ากับเป็นการบอกให้รู้ถึงสถานะ ‘ผู้สืบทอดสายตรงของศาลบรรพจารย์ภูเขาไท่ผิง’ เพราะหวังว่าจะสามารถช่วยลดแรงกดดันให้กับเหยาเจิ้นที่อยู่ในเมืองหลวงต้าเฉวียน หากแม้แต่ป้ายหยกชิ้นนี้ ศัตรูในเมืองเซิ่นจิ่งที่หมายมั่นปั้นมืออยากจะเล่นงานเหยาเจิ้นก็ยังไม่รู้จัก ถ้าอย่างนั้นตระกูลเหยาก็ไม่มีอะไรให้ต้องเป็นกังวล

เพราะคนที่รู้จักป้ายหยกส่วนใหญ่ล้วนเป็นยอดฝีมือที่มิอาจดูแคลน และเมื่อเห็นป้ายหยกนี้แล้วพวกเขาจะรู้ถึงความยากลำบากแล้วถอยออกไปเอง ในความเป็นจริงแล้ว ตอนนั้นในเรืออูเผิงลำเล็กตรงท่าเรือเถาเย่ ตู้หันหลิงเจ้าอารามจินติ่งที่ใช้วิชาอภินิหารมองแม่น้ำภูเขาผ่านฝ่ามือก็เป็นคนหนึ่งในจำนวนนี้ พอเขาเห็นป้ายหยกแผ่นนั้น ต่อให้จะทำให้หลายฝ่ายในเมืองเซิ่นจิ่งไม่สบอารมณ์ แต่เขากลับยังยืนกรานจะพาตัวออกไปจากสถานการณ์ในครั้งนี้

สายตาของหลิวจงฉายแววประหลาด เขาให้คำตอบเฉินผิงอันแค่ครึ่งเดียว

“แผ่นป้ายศาลบรรพจารย์ภูเขาไท่ผิงชิ้นนี้เป็นของจริง จริงแท้แน่นอน เพียงแต่ว่าขณะเดียวกันก็เป็นของปลอม อันที่จริงหากเจ้าไม่ห้อยมันไว้อาจดีกว่า พอเอามาห้อยไว้บนเอว ข้าก็ขอคืนสองคำนั้นกลับไปให้เจ้า ‘รนหาที่ตาย’!”

เฉินผิงอันมององค์ชายใหญ่ที่ยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองมีเหตุผล

พวกคนที่เกิดมาในตระกูลเชื้อพระวงศ์นี่คุยด้วยยากจริงๆ

คนแรกสุดที่เขาเจอมาก็คือเพื่อนบ้านซ่งจี๋ซิน

ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีเหตุผล แม้ว่าจะมีถูกผิด มีก่อนหลังและมีเล็กใหญ่ แต่หลิวจงกับทหารสวมเกราะห้าพันนาย รวมถึงผู้ฝึกลมปราณและปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ที่ซ่อนตัวอยู่ล้วนเป็นดั่งลูกธนูขึ้นสายที่ไม่ยิงออกไปไม่ได้แล้ว อีกอย่างคือยังมีสถานการณ์ใหญ่บางอย่างผลักดันหลิวจงอยู่เบื้องหลัง จะให้เฉินผิงอันพูดกับทุกคนด้วยความปรองดองว่าเชิญเข้าไปกินข้าวในวัดก่อนแล้วค่อยแยกย้ายกันไป การช่วงชิงบัลลังก์มังกรต้องใช้วิธีที่เปิดเผยตรงไปตรงมาอะไรทำนองนั้น ก็คงไม่ได้ เฉินผิงอันไม่อยากเปลืองน้ำลายพูดเรื่องพวกนี้ หากได้ผลเขาก็เต็มใจที่จะพูด แต่คนเขาไม่ยินดีจะฟังก็ทำอะไรไม่อยู่ดี

เฉินผิงอันใช้กิ่งไม้จิ้มไปที่หลิวจงสองที

ผู้เฒ่าหลังค่อมที่อยู่ข้างกายกระโจนออกไปก่อนใคร จะจับโจรต้องจับหัวหน้าโจรให้ได้ก่อน ต่อให้เป็นหลุมพรางแล้วจะอย่างไร เขาจูเหลี่ยนก็อยากจะขอความรู้ด้านแผนการร้ายบนภูเขาของฟ้าดินแถบนี้บ้างเหมือนกัน!

สุยโย่วเปียนที่ยืนอยู่ทางขวา หลูป๋ายเซี่ยงที่ยืนอยู่ทางซ้ายก็พากันพุ่งออกไป

เว่ยเซี่ยนสวมเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้าง ก้าวยาวๆ ตามคนบ้าคลั่งวรยุทธ์ที่ชิงพุ่งตัวตัดหน้าคนอื่นไปก่อน ตอนนี้เขาจะยังไม่ทะลวงขบวนรบก่อนชั่วคราว หลักๆ คือต้องปกป้องวัดร้างแห่งนี้ไว้ให้ได้

ส่วนเฉินผิงอันทำใจเย็นรอให้อีกฝ่ายปล่อยท่าไม้ตายออกมา

……

บนยอดเขาแห่งหนึ่งที่อยู่สูงกว่ายอดเขาซึ่งมีวัดร้างตั้งอยู่กึ่งกลางภูเขา

บนนั้นมีคนยืนอยู่สองคน จะใช่ยอดฝีมือนอกโลกหรือไม่ ยังไม่อาจบอกได้ แต่อย่างน้อยตำแหน่งที่พวกเขายืนอยู่ตอนนี้ก็ถือว่าสูงมากพอแล้ว

ผู้เฒ่าสวมชุดขงจื๊อคนหนึ่ง ตรงเอวไม่ได้ห้อยป้ายหยกที่สำนักศึกษามอบให้ เมื่ออยู่ในราชสำนักต้าเฉวียน เขายืนอยู่ตรงไหนก็ไม่มีใครกล้าสงสัยในตัวเขา ต่อให้ผู้เฒ่าจะยืนอยู่บนหลังคาของตำหนักจินหลวน (ท้องพระโรงที่ฮ่องเต้ใช้ออกว่าราชการ พบปะกับขุนนางในราชสำนัก) ในเมืองเซิ่นจิ่งก็ตาม

ข้างกายผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อมีชายฉกรรจ์ที่กล้ามเนื้อปูดนูนเป็นมัดๆ คนหนึ่งยืนอยู่ กลิ่นอายป่าเถื่อนทั่วร่างของเขาราวกับไม่ใช่กลิ่นอายของมนุษย์

เรื่องคราวนี้สำคัญมาก ผู้เฒ่าจึงยังต้องถามคำถามที่ฟังดูแล้วไม่ค่อยมีความเคารพสักเท่าไหร่ “นายท่านของเจ้าคงจะรักษาคำพูดกระมัง?”

คำตอบของชายฉกรรจ์ตรงไปตรงมาและไร้มารยาทยิ่งกว่า “นายท่านของข้าจะทำอย่างไร ข้าหรือจะกล้าเอามาพูดส่งเดช หากเจ้าแน่จริงก็ไปถามนายท่านเอาเอง แต่ก่อนจะทำเช่นนั้นได้เจ้าต้องมีความกล้านี้เสียก่อน”

ผู้เฒ่าพูดพึมพำกับตัวเอง “ข้าทำอะไรโดยยึดถือคุณธรรมเป็นหลัก ถือว่าชอบด้วยเหตุผล ต่อให้หลังจบเรื่องสำนักศึกษาจะถูกภูเขาไท่ผิงพาลโกรธ ลงโทษให้ปลดบรรดาศักดิ์ของข้า…ก็ไม่เป็นไร”

ชายฉกรรจ์พูดเสียดสี “แสร้งวางท่าให้ดูภูมิฐาน ประโยคนี้คงหมายถึงบัณฑิตอย่างเจ้ากระมัง?”

ผู้เฒ่ายิ้มขื่น “รู้จักแก้ไขเมื่อทำผิดนับว่าประเสริฐ ข้าอ่านตำรามาไม่ใช่แค่หมื่นเล่ม ความรู้ของร้อยสำนักก็ล้วนอ่านผ่านๆ ตามาหมด มีเพียงคำสอนของอริยะฝ่ายตัวเองประโยคนี้ที่ข้ามไป”

ชายฉกรรจ์ไม่คิดได้คืบจะเอาศอก ทำให้ตาแก่ที่อยู่ข้างกายผู้นี้ลำบากใจ หากอีกฝ่ายเกิดเปลี่ยนใจกะทันหัน ตาสว่างขึ้นมา จะไม่ทำลายแผนการที่คิดขึ้นได้ฉับพลันของนายท่านหรอกหรือ ดังนั้นจึงพูดปลอบใจด้วยถ้อยคำน่าฟัง “สมบัติชิ้นนั้นมีค่ามากแค่ไหน อย่าว่าแต่เจ้าที่หวั่นไหว ต้องทุ่มเทคิดแผนการยากลำบากนี้มาตั้งนานเลย อันที่จริงแม้แต่ข้าก็ยังอยากได้ รอให้เจ้าได้มาครองแล้ว ข้าจะทำการแลกเปลี่ยนกับเจ้า สมบัติอาคมที่นายท่านมอบให้ข้าชิ้นนั้น ข้าจะยกให้เจ้า เจ้าแค่ถ่ายทอดมาให้ข้าครึ่งบท ต่อชีวิตให้เจ้าอีกหกสิบปี หลังจากนั้นเจ้าค่อยถ่ายทอดอีกครึ่งบทที่เหลือให้ข้า เป็นไง?”

ผู้เฒ่าใคร่ครวญอยู่ชั่วขณะก็พยักหน้าตอบรับ “ตกลงตามนี้!”

ชายฉกรรจ์เอ่ยเตือน “ก่อนที่นายท่านของข้าจะออกเดินทางได้กำชับข้าไว้ว่า เว้นเสียจากช่วยชีวิตของเจ้าแล้วก็ห้ามลงมือเด็ดขาด ทางที่ดีที่สุดเจ้าเองก็อย่าลงมือง่ายๆ เหมือนกัน ต่อให้ลงมือก็ต้องช้าหน่อย ไม่อย่างนั้นก็ง่ายที่จะดึงดูดความสนใจจากอริยะศาลบุ๋นท่านนั้น แม้จะบอกว่าตอนนี้อริยะท่านนั้นยุ่งอยู่กับการตามหาวานรเฒ่าของภูเขาไท่ผิง แต่หากเขาย้อนกลับมาเร็วแล้วเดินทางมาที่นี่ พวกมดตัวเล็กๆ อย่างหลิวจงยังพูดง่าย แต่พวกเราสองคนย่อมไม่อาจแบกรับผลที่ตามมาได้ไหวแน่”

พอชายฉกรรจ์พูดถึงอริยะท่านนั้น โดยเฉพาะอริยะที่มีคำว่า ‘ศาลบุ๋น’ ต่อท้าย ก็ทำให้อารมณ์ที่เดิมทีก็เคร่งเครียดอยู่แล้วของผู้เฒ่าดิ่งลงเหวเข้าไปใหญ่ อริยะเจ็ดสิบสองท่านที่ตั้งบูชาไว้ใน ‘สำนักดั้งเดิมอันสง่างาม’ ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง มีใครบ้างที่ควรไปมีเรื่องด้วย พวกเขาไม่ใช่พวกเจ้าขุนเขาแห่งสำนักศึกษาทั้งเจ็ดสิบสองแห่ง ไม่ใช่ ‘อริยะ’ แห่งสำนักศึกษาที่ราชวงศ์ในโลกมนุษย์เรียกอย่างประจบยกยอ แต่เป็นอริยะลัทธิขงจื๊อตัวจริงเสียงจริง! สีหน้าผู้เฒ่ามืดทะมึน พยักหน้ารับ “เรื่องนี้เกี่ยวพันกับชีวิต ข้าย่อมเข้าใจ”

ลมฝนบนภูเขายิ่งรุนแรงมากขึ้น เพียงแต่ว่าเม็ดฝนคล้ายตกลงบนร่มน้ำมันที่มองไม่เห็นคันหนึ่งจึงแตกกระเซ็นออกไปสี่ทิศเหนือศีรษะของคนทั้งสอง

ชายฉกรรจ์อ้าปากหาว อันที่จริงเขาไม่ค่อยเข้าใจเท่าใดนัก ด้วยสถานะและความสามารถของนายท่าน เหตุใดถึงต้องรู้สึกกระวนกระวายใจเพราะคนหนุ่มผู้หนึ่งด้วย

หากเปลี่ยนไปเป็นยอดฝีมือหลายคนก่อนหน้านี้ของสำนักใบถงและสำนักกุยหยกที่อยู่ทางใต้สุดและเหนือสุดของทวีปก็ยังพอจะเข้าใจได้ หรือไม่ก็น่าจะเหมือนจงขุยวิญญูชนใหญ่แห่งต้าฝู ว่าที่ผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษาบางแห่งในลัทธิขงจื๊อที่ถูกวานรเฒ่าสะพายกระบี่สังหารอย่างว่องไวที่ถึงจะมีคุณสมบัติมากพอ

น่าเสียดายก็แต่นายท่านวางแผนมาอย่างรัดกุมรอบคอบ แทบจะกวาดเอาตลอดทั้งใบถงทวีปเข้ามารวมในแผนการด้วย ทว่าอยู่ดีๆ ทางฝ่ายของสำนักฝูจีกลับมีเด็กหนุ่มนักการฝ่ายนอกคนหนึ่งโผล่ออกมา จับผลัดจับผลูไปค้นพบการดำรงอยู่ของผู้อาวุโสขอบเขตสิบสองท่านนั้น กระตุกผมเส้นเดียวก็สะเทือนไปทั้งร่าง ก่อกวนให้แผนการอันยิ่งใหญ่ตระการตาที่นายท่านวางแผนมานานครั้งนี้ยุ่งเหยิงไปอย่างสิ้นเชิง

หรือว่าโชคชะตาของใบถงทวีปจะหนาข้นถึงเพียงนั้น? แม้แต่นาตยทวีปที่อยู่ใกล้กับภูเขาห้อยหัวมากที่สุดก็ยังเทียบไม่ได้?

ต้องรู้ว่าผู้เฒ่าเฉินของทักษินาตยทวีปที่บนไหล่มีทั้งดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ผู้นั้น หากว่ากันตามคำพูดของนายท่านแล้ว แม้แต่ที่บ้านเกิดของเขา อีกฝ่ายก็ยังมีชื่อเสียงที่ยิ่งใหญ่มาก ถูกมองเป็นคนที่ต่อกรด้วยยากอันดับต้นๆ ขนาดนายท่านเองก็ยังบอกว่า ขอแค่ตัวเขาอยู่ในใต้หล้าไพศาลย่อมไม่ทางเอาชนะเฉินชุนอันลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อผู้รอบรู้ได้แน่นอน

—–