บทที่ 152 ความวุ่นวายในโรงอาหาร

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 152
ความวุ่นวายในโรงอาหาร

“น้องหก เธอกับน้องสี่อยู่หอเดียวกัน ฝากช่วยดูแลเธอหน่อยนะ” พี่ใหญ่พูดอย่างเป็นห่วง

“ไม่ต้องห่วงนะ ฉันจะดูแลอย่างดี” แน่นอนเธอไม่ปล่อยน้องสี่อยู่คนเดียวแน่ ท่าทางของน้องสี่ทำให้เธอเป็นห่วง

หลังจากที่รับอาหารเช้าเสร็จ ทั้งห้าก็กลับมาที่สนามฝึกและนั่งตรงหน้ากลุ่มนักศึกษาและกินอย่างเพลิดเพลิน ถึงแม้อาหารที่ค่ายฝึกจะไม่ได้อร่อยเท่าไร แต่หลังจากที่ฝึกมาอย่างยาวนานพวกเขาก็รู้สึกหิวอย่างมาก นี่ไม่ต้องพูดถึงข้าวต้มธรรมดาๆเลย แค่น้ำเปล่าเฉยๆก็ยังดูน่าอร่อยเลย

ครูฝึกโม่พูดออกมาอย่างเย็นชา “อยากกินอาหารเช้าเหมือนพวกเขาไหม?”

“อยาก” เสียงตอบดังชัด
“ยืนตรงในท่าเตรียมทหาร ถ้าทำได้ดีก็จะได้กินแต่ถ้าไม่ก็ทนหิวกันต่อไป! ได้ยินชัดเจนไหม?”

“ค่ะ/ครับ ครูฝึก!” เสียงตอบรับดังแผ่ว
สีหน้าของครูฝึกโม่เข้มขึ้น “อยากอดข้าวเที่ยงกับอาหารค่ำด้วยใช่ไหม?”

ทุกคนต่างก็ประหลาดใจมาก “ไม่อยาก”
“ทุกคนยืนขึ้น!” ครูฝึกโม่ตะโกน
เหล่านักศึกษาปีหนึ่งที่เหน็ดเหนื่อยต่างก็ยืนตรงพร้อมกันด้วยร่างกายที่เหนื่อยอ่อน ยังไงซะก็ไม่มีใครอยากที่จะหิว ไม่ว่าใจในพวกเขาจะรู้สึกอะไรมากขนาดไหน แต่พวกเขาต่างก็รีบยืนขึ้นตรงตามคำสั่งของครูฝึก พวกเขาเพียงแค่มองไปที่ มู่หรงเสวี่ยด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอิจฉา

แล้วครูฝึกโม่ก็เดินเข้าไปในกลุ่มพวกคนที่เมื่อเช้ามาสายและมองไปทางกลุ่มคนที่ยังทำท่ายืนอย่างขี้เกียจกันอยู่

“เรื่องการมาสายเป็นสิ่งที่ผิดกฎของกองทัพ การมาสายจะส่งผลต่อการเสียชีวิตของกองทัพได้ตลอดเวลา พวกเธอไม่มีคุณสมบัติในการฝึกทหาร!”

หลังจากที่เงียบไปสักพัก ครูฝึกโม่ก็พูดต่อ “ตั้งแต่นี้ไปพวกเธอไม่ต้องมาฝึกทหารแล้ว ในอีกสองสามวันข้างหน้า พวกเธอจะต้องรับผิดชอบเรื่องการล้างจาน, ถูพื้น, ทำความสะอาดพื้นที่ทหารและขัดห้องน้ำ”

พวกที่มาสายยังคงยืนอย่างเกียจคร้านและดูเหมือนจะไม่สนใจคำพูดของครูฝึก ถึงขนาดที่ว่าบางคนยังยืนคุยและหัวเราะกันด้วย

น้ำเสียงเย็นชาของครูฝึกโม่ดังขึ้นอีกครั้ง “ส่วนหน้าที่เฉพาะจะมีรองครูฝึกเข้ามาจัดให้ ถ้าทำไม่เสร็จก็จะไม่ได้กินข้าว”

หลังจากนั้นครูฝึกโม่ก็ไม่สนใจนักศึกษาที่มาสายที่กำลังหอนอยู่ข้างหลังเขา เขาเดินมาหามู่หรงเสวี่ยและพูดออกมาว่า “หลังจากที่กินเสร็จแล้วพวกเธอก็กลับไปพักได้ ตอนบ่ายค่อยลงมารายงานตัว! และเธอ มากับฉัน” เขาชี้มาที่มู่หรงเสวี่ย พร้อมทั้งทำท่าให้เธอเดินตามเขาไปที่ด้านข้าง

“ค่ะ/ครับ ครูฝึก!” ส่วนอีกสี่คนที่เหลือต่างก็ทำความเคารพและเดินออกไป

มู่หรงเสวี่ยเดินตามครูฝึกโม่ไปตรงต้นไม้เงียบๆ ห่างออกมาจากกลุ่มของคนที่กำลังยืนอยู่ในท่าเตรียมพร้อม เธอมองไปที่ครูฝึกโม่อย่างไม่เข้าใจว่ามีธุระอะไรกับเธอหรือเปล่า

โม่เจียวกวนเงียบไปนานก่อนที่จะพูดออกมาว่า “เธอเป็นไงบ้าง?”

มู่หรงเสวี่ยถามเมื่อเห็นท่าทางของครูฝึกโม่ที่กำลังถามถึงน้องสี่ “คุณคิดว่าไงล่ะคะ ครูฝึกโม่?” พร้อมมองไปที่ท่าทางของครูฝึกโม่ที่ดูจะเป็นห่วงน้องสี่ ถ้าเป็นแบบนี้ทำไมถึงทำให้น้องสี่ต้องเสียใจขนาดนั้น

ครูฝึกโม่ขมวดคิ้ว “ช่างมันเถอะ อย่าลืมเอาอาหารเช้ากลับไปให้เธอด้วยล่ะ! เธอไปได้แล้ว”
มู่หรงเสวี่ยทำความเคารพและเดินจากไป เธอเดินไปที่โรงอาหารและรับอาหารเช้าชุดใหม่ ถึงแม้ครูฝึกโม่จะไม่บอกเธอ เธอก็ไม่ลืมเรื่องนี้หรอก อย่างไรก็ตาม จากเรื่องนี้เธอก็เห็นได้ว่าครูฝึกโม่เองก็มีความรู้สึกเหมือนกัน

เมื่อมู่หรงเสวี่ยกลับมาที่หอพัก ก็เห็นว่าเธอยังอยู่ท่าเดิมกับที่เธอออกไปเมื่อเช้าเลย เธอยังคงนอนอยู่ที่เตียงของตัวเองโดยไม่ขยับไปไหนเลย เดาว่าเธอคงไม่ได้หลับเลยหลังจากที่กลับมาและสีหน้าเธอก็ดูซีดเซียวอย่างมาก

มู่หรงเสวี่ยวางถาดอาหารไว้ที่โต๊ะข้างเตียงแล้วจึงนั่งลงข้างๆเตียงของน้องสี่เธอแตะไปที่หน้าผากเพื่อดูว่ามีไข้หรือเปล่า แล้วจึงพูดอย่างอ่อนโยน “น้องสี่ลุกขึ้นมากินอะไรก่อนเถอะ…”

น้องสี่นิ่งเงียบ ยังคงนอนนิ่ง สายตาจ้องไปที่เพดานของเตียงด้านบน

มู่หรงเสวี่ยถอนหายใจ “ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอและจะไม่ถามด้วย แต่อย่างน้อยก็ดูแลตัวเองหน่อย กินอะไรซะหน่อย…”
หลังจากที่เงียบไปสักพัก เธอก็พูดต่อ “ฉันจะเล่าเรื่องอะไรให้เธอฟังนะ มีผู้หญิงคนหนึ่งที่ตกหลุมรักผู้ชายคนหนึ่ง เธอคิดว่าพวกเขาจะได้อยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิต อย่างไรก็ตามวันหนึ่ง ผู้หญิงคนนั้นเห็นผู้ชายอยู่กับผู้หญิงคนอื่นกอดกันตัวเปลือยเปล่า และเธอรู้สึกราวกับว่าท้องฟ้าล่มสลาย…”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ เธอเห็นว่าร่างกายของน้องสี่สั่นเทอม
แล้วมู่หรงเสวี่ยก็พูดต่อ “เธอเลิกกับเขาโดยไม่ลังเลและปฏิเสธที่จะรู้เรื่องใดๆของเขาอีก…เมื่อชายคนนั้นปรากฏตัวอีกครั้ง มันไม่ง่ายเลยที่จะทำใจให้สงบ…เขาพูดกับเธอว่าเขาผิดไปแล้ว มันเป็นเพียงความผิดพลาด…บางทีหัวใจของเธออาจจะยังรักเขาอยู่ พวกเขาก็เลยกลับมาอยู่ด้วยกันอีก”

“แต่ยังไงซะ พระเจ้าก็ไม่ยอมให้เธอมีความสุข จึงส่งฟ้าลงมาผ่ากลางใจเธออีกครั้ง…ผู้หญิงอีกคนตั้งท้อง…”

“ผู้หญิงที่เลิกกับผู้ชายคนนั้นคือฉันเอง…ฉันไม่ได้อยากที่จะเล่าเรื่องที่ฉันเพิ่งพูดไป ฉันแค่อยากที่จะบอกเธอว่าถ้าเธอไม่ปล่อยวาง เธอก็จะไม่เจอกับความกล้า ถ้าเธอมีเรื่องที่เข้าใจผิด ก็ไปถามให้ชัดเจน ถ้าไม่ถามบางทีเธออาจจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต ถ้าเธอคิดว่านี่ไม่จำเป็น ก็รักตัวเองหน่อย ทำไมต้องทรมานตัวเองเพื่อคนอื่นด้วย…”

“ฉันอยากจะบอกเธอด้วยว่าวันนี้ครูฝึกโม่เข้ามาถามฉันเรื่องเธอด้วย ดูเหมือนว่าเขาจะยังแคร์เธออยู่นะ…”

“ฉันเอาอาหารเช้ามาให้ ตอนนี้ก็ลุกขึ้นมากินได้แล้ว ถ้าเธอยังจะทำแบบนี้ต่อไป ฉันคงต้องให้ครูฝึกโม่เข้ามาบังคับเธอเองแล้วล่ะ…” มู่หรงเสวี่ยพูดเสียงเบา เธอไม่ได้ล้อเล่นเพราะเธอคงต้องการยารักษาหัวใจ

น้องสี่ตาเบิกกว้าง มองเธอด้วยความแปลกใจ ไม่นานเธอก็ค่อยๆลุกขึ้น “ฉันจะกิน…”

ตราบใดที่เธอยอมกิน มู่หรงเสวี่ยก็เผยรอยยิ้มอย่างโล่งอก

น้องสี่รับถาดอาหารมาจากมู่หรงเสวี่ยและค่อยๆเปิดกินช้าๆ เวลาผ่านไปนานเธอก็วางถาดอาหารแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมามองมู่หรงเสวี่ย “ขอบคุณนะน้องหก…แล้วเขาพูดอะไรกับเธอ…” ในดวงตามีประกายแห่งความหวัง

มู่หรงเสวี่ยมองไปที่เธอและพูดออกมาว่า “เธอเป็นไงบ้าง?! เขาพูดแบบนั้น อันที่จริงฉันคิดว่าเธอน่าจะไปหาครูฝึกโม่แล้วคุยกันให้เข้าใจนะ ว่าแต่ความสัมพันธ์ระหว่างพวกนี้นี่มันอะไรกันเหรอ?”

น้องสี่ตกใจแล้วก้มหน้าลง “เราไม่ได้เป็นอะไรกัน…ฉันชอบเขา…”

มู่หรงเสวี่ยกอดน้องสี่อย่างอ่อนโยน “ถ้าเธอชอบเขา เธอก็กล้าๆหน่อย ถ้าเขาชอบเธอ ก็ไม่ใช่อะไรที่เธอจะมองไม่ออกนิ…”

“แต่เขาไม่ได้ชอบฉัน…” น้องสี่พูดคอตก เธอไม่มีวันลืมวันนั้นเมื่อสามปีก่อน วันที่เธอไปหาเขาอย่างมีความสุข เธอไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นเขาอยู่กับผู้หญิงคนอื่น กำลังจูบกันอยู่ แต่เธอก็ไม่กล้าที่จะถามเขาเพราะเธอกับเขาไม่ใช่คนรักกัน เธอไปเผชิญหน้าเขาอย่างกล้าหาญแต่ไม่คิดว่าเขาจะพูดคำโหดร้ายด้วยสีหน้าที่เย็นชา…เธอเป็นคนแรกที่เขารู้จักและคุยด้วยใบหน้าที่เย็นชาแบบนี้

“เมื่อวาน ฉันทิ้งศักดิ์ศรีตัวเอง ฉันคิดว่าถึงแม้จะเป็นคนรักกันไม่ได้อย่างน้อยก็น่าจะเป็นเพื่อนกันได้ ฉันก็เลยไปหาเขาเพื่อบอกว่า “กลับมาเป็นเพื่อนกันเถอะ” แต่เขาบอกว่าเขาไม่ต้องการ…ฉันเลยถามไปว่า “ทำไมล่ะ?” น้องสี่อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมามากขึ้น

มู่หรงเสวี่ยตบไปที่หลังของน้องสี่เบาๆและขมวดคิ้ว ดูเหมือนว่าปัญหามันจะอยู่ที่ตัวของครูฝึกโม่เอง ทำไมล่ะ เธอสับสนนิดหน่อย วันนี้ท่าทางของครูฝึกก็เห็นได้อย่างชัดเจนนิว่ายังแคร์น้องสี่อยู่ ถ้าเธอเพียงแค่ขอเป็นเพื่อน แล้วทำไมครูฝึกถึงไม่ต้องการล่ะ

“น้องสี่ก่อนอื่นต้องร่าเริงหน่อย อยากให้ครูฝึกโม่เห็นสภาพเธอเป็นศพแบบนี้หรือไง?! เป็นสาวก็ต้องน่ารักเสมอสิ ทำให้เขารู้ไปเลยว่าถ้าเขาไม่ชอบเธอ เขานั่นแหละที่พลาดแล้ว…”

น้องสี่สะอื้นพร้อมพยักหน้า พยายามที่จะหยุดร้องไห้ อันที่จริงน้องสี่เป็นคนสวยมากๆ เป็นคนสวยที่มีเสน่ห์จนมู่หรงเสวี่ยยังชอบ แม้ขนาดตอนนี้หน้าจะซีดเซียว แห้งเหี่ยวไปหน่อยแต่ก็ยังมีเสน่ห์อยู่ดี แบบนี้จะไม่ชอบน้องสี่ได้ยังไง?!

“ฉันจะไปอาบน้ำก่อนนะ!” น้องหกพูดถูก ถึงแม้เธอจะเป็นคนที่ถูกทิ้งแต่เธอก็ต้องสวยไว้เสมอ ถึงแม้เขาจะไม่สนใจ เธอก็ไม่อยากที่จะเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของตัวเองไปมากกว่านี้อีกแล้ว

ในตอนบ่ายน้องสี่ก็อารมณ์ดีขึ้นมากแล้วถึงแม้สีหน้าจะยังซีดๆแต่ก็มีชีวิตชีวาขึ้นมามากแล้ว มู่หรงเสวี่ยและน้องสี่ไปที่สนามฝึกและทักทายเพื่อนทั้งสี่ที่ต่างก็เป็นห่วง ในระหว่างที่ฝึก มู่หรงเสวี่ยก็จะคอยสนใจอาการของน้องสี่เสมอและพบว่าเธอไม่ได้มองไปที่ครูฝึกโม่เลย เธอรู้สึกโล่งใจไม่มากก็น้อย

“หูหนวกกันหรือไง ใช่ไหม?! บอกให้หันซ้ายก็หันขวา บอกให้หันขวาก็หันซ้ายกัน”

“และเธอ มือกับเท้าอ่ะ เป็นซอมบี้หรือไง?”
ในช่วงบ่าย ครูฝึกโม่ดูไม่ค่อยจะปกติเท่าไรและอารมณ์เขาก็ดูจะแย่ยิ่งกว่าเมื่อเช้าอีก

มู่หรงเสวี่ยทนกับความเจ็บปวดที่ระบมไปทั่วร่างกาย ในหัวใจรู้ได้อย่างแน่ชัดว่าต้องเป็นเพราะน้องสี่ที่ไม่สนใจเขาแน่ๆ เขาถึงได้ไม่พอใจ ฮ่าฮ่าฮ่า!!!! เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ สีหน้าที่ไม่เปลี่ยนแปลงของครูฝึกโม่ทำให้ไม่สามารถที่จะเดาใจเขาได้เลย น้องสี่ไม่ใช่คู่แข่งของเขา

“เธออีกแล้ว เธอ ออกมาจากแถวเลย!” ครูฝึกโม่ชี้มาที่ ฮวงเสี่ยวเฟิงและพูดออกมา

สีหน้าของฮวงเสี่ยวเฟิงที่ยืนอยู่หน้าครูฝึกโม่เต็มไปด้วยความกลัว “เธอ ฟังคำสั่งแล้วถ้าทำผิดอีก คนที่เหลือจะต้องทำเพิ่มอีก 20 ครั้ง หันซ้าย”

ฮวงเสี่ยวเฟิงฟังคำสั่งอย่างกังวลและรีบทำอย่างรวดเร็ว
“หันขวา…”
ไม่รู้ว่าฮวงเสี่ยวเฟิงกังวลมากไปหรือเปล่า ถึงทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยิ่งเขาสั่งมากขึ้นเท่าไร เธอก็ยิ่งทำผิดมากขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายของเธอชุ่มไปด้วยเหงื่อ

“เธอไปยืนดูเพื่อนทำอยู่ข้างๆได้ เธอทำผิดไป 20 ครั้ง งั้นพวกเขาจะต้องกระโดดกบทั้งหมด 400 ครั้ง ก้มลงกระโดดไปข้างหน้า 400 ครั้ง อย่าหยุดจนกว่าจะทำเสร็จ…”

หลังจากการฝึกเมื่อวานและเมื่อเช้าก็ไม่มีใครกล้าที่จะขัดคำสั่งอีก พวกเขาก้มลงทำท่ากระโดดกบ อย่างไรก็ตามหลายคนต่างก็บ่นเรื่องฮวงเสี่ยวเฟิงอยู่ในใจ ทำไมเธอต้องทำพลาดจนทำให้พวกเขาต้องถูกลงโทษด้วย

ฮวงเสี่ยวเฟิงยืนอยู่ตรงนั้นจนเกือบจะร้องไห้ นี่ทำให้เธออายมากกว่าการทำโทษเธอซะอีก เมื่อเห็นว่าทุกคนถูกลงโทษเพราะเธอ มีเพียงเธอที่ต้องยืนรู้สึกแย่อยู่คนเดียว อย่างไรก็ตามเธอก็ไม่กล้าที่จะอ้าปากพูดอะไรกับครูฝึกโม่เพราะกลัวอย่างมาก

จนกระทั่งเวลาผ่านไปนานก็ถึงเวลาอาหารกลางวันแล้ว ในที่สุดครูฝึกโม่ก็เมตตาสั่งให้ทุกคนหยุดและออกไปกินข้าวได้
มู่หรงเสวี่ยลากร่างที่หนักอื้งพร้อมด้วยน้องสี่เดินไปที่โรงอาหาร เมื่อเดินผ่านครูฝึกโม่ น้องสี่ไม่ได้หันไปมองหรือส่งสายตาให้เขาเลยแม้แต่นิด

“เธอไม่สมควรจะได้กิน ทำไมต้องผิดจนทำให้พวกเราถูกลงโทษด้วยล่ะ?” มู่หรงเสวี่ยและน้องสี่เพิ่งเดินเข้ามาถึงทางเข้าของโรงอาหารตอนที่เห็นว่าพวกเด็กสาวหยิบกล่องอาหารออกจากมือของฮวงเสี่ยวเฟิง ทันทีที่พวกเธอเปิดกล่องข้าวแล้วก็คว่ำลงบนหัวของฮวงเสี่ยวเฟิง

เธอรีบเดินเข้าไปหาฮวงเสี่ยวเฟิงและพูดว่า “พวกเธอทำอะไรกัน?! นี่มันไม่มากเกินไปเหลือ?”

“ไม่ใช่เรื่องอะไรของเธอ ไปให้พ้น! วันนี้เธอก็ถูกลงโทษ แล้วจะทำยังไงกับเธอ? เป็นความผิดของเธอทั้งหมด” เด็กสาวหลายคนต่างก็ก้าวเข้ามาและชี้ไปที่ฮวงเสี่ยวเฟิงอย่างโกรธเกรี้ยว

“ก็จริง ก็เห็นๆอยู่ว่าเธอทำผิด แล้วทำไมต้องลงโทษเธอด้วยล่ะ?” มู่หรงเสวี่ยมองไปที่ฮวงเสี่ยวเฟิงที่ก้มหน้าและไม่ส่งเสียงอะไรเลย เธอหยิบทิชชูออกมาจากกระเป๋า “เสี่ยวเฟิง เป็นอะไรหรือเปล่า? ถ้าพวกเธอมีปัญหาอะไรก็ไปคุยกับครูฝึกโม่!”

“ฉันก็แค่ไม่ชอบเธอ เห็นอยู่ชัดๆว่าเป็นความผิดของเธอ เธอแกล้งทำเป็นใสซื่อ บ่ายนี้เธอได้พัก ได้นอนพักสบายแทนพวกเราแล้วยังหวังที่จะได้กินข้าวอีกเหรอ ฝันไปเถอะ!” เด็กสาวพูดด้วยความเกลียด

“ฉันบอกว่าถ้ามีปัญหาอะไรก็ให้ไปคุยกับครูฝึกไง พวกกลุ่มคนมารุมแกล้งเด็กสาวคนเดียวเนี่ยนะ?” มู่หรงเสวี่ยพูด

กลุ่มเพื่อนทั้งห้าต่างก็เดินเข้ามายืนข้างๆมู่หรงเสวี่ยด้วย
เด็กสาวจ้องมาที่มู่หรงเสวี่ยด้วยความเกลียดแต่เมื่อเห็นว่ารอบๆตัวมู่หรงเสวี่ยมีคนอยู่มากมายจึงไม่กล้าที่จะจ้องต่อ “มู่หรงเสวี่ย อย่าคิดว่าตัวเองเป็นเทพีของมหาลัยการแพทย์แล้วจะปกป้องอะไรเธอได้นะ ถ้าเธอไม่อยู่เธอโดนแน่!!” เด็กสาวมองด้วยสายตาเกลียดชัง เมื่อพูดจบก็หันกลับไปและเพื่อนร่วมชั้นของเธอต่างก็เดินไปด้วย

เมื่อฝูงชนรอบๆเห็นว่าไม่มีเรื่องอะไรน่าตื่นเต้นแล้ว ทุกคนต่างก็เริ่มหายไป

มู่หรงเสวี่ยค่อยๆช่วยฮวงเสี่ยวเฟิงเช็ดอาหารออกจากร่างกาย โชคดีที่อาหารไม่ร้อนเลยเพียงแค่เลอะเท่านั้น แค่เช็ดออกก็ได้ “เสี่ยงเฟิง โอเคหรือเปล่า?”

ฮวงเสี่ยวเฟิงสะอื้นและส่ายหัว “ฉันไม่เป็นไร…ขอบคุณนะ…”

“ขอบคุณทำไม เธอบอกเองว่าเราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ? ไปกินข้าวก่อนเถอะ กินเสร็จแล้วจะได้ไปอาบน้ำ…” มู่หรงเสวี่ยพูด

พวกเธอเดินไปกินข้าวและเมื่อเสร็จพวกเธอก็เดินกลับไปที่หอพักด้วยกัน

เดินมีมู่หรงเสวี่ยอยากที่จะไปถามเรื่องน้องสี่แต่ฮวงเสี่ยวเฟิงคอยอยู่ข้างเธอตลอด ยังไงซะน้องสี่กับฮวงเสี่ยวเฟิงก็ไม่ใช่เพื่อนกันด้วย