ตอนที่ 641 กระโดดสุดแรง
เมื่อรู้ว่าสิ่งใดกำลังรออยู่ อันหลิงเกอจึงขบกรามแน่น หากกระโดดลงไปอาจยังพอมีโอกาสรอดอยู่บ้าง แต่ถ้าอยู่บนนี้นางคงตายสถานเดียว
“เจ้าโดดลงไปเลยสิ พวกข้าจักได้มิต้องลงมือให้เปลืองแรง ! พวกข้ายังต้องรีบกลับไปรับรางวัลอีก ! ”
คนพวกนั้นเห็นท่าทางอ่อนแรงของอันหลิงเกอแล้วคิดว่าหากเป็นคนที่ฝึกวรยุทธตกลงไปอาจมีโอกาสรอดบ้าง ทว่าสภาพตอนนี้ของอันหลิงเกอเป็นเพียงสตรีที่อ่อนแอคนหนึ่งเท่านั้น อีกทั้งอากาศหนาวเหน็บหากตกลงไปมีแต่ตายกับตาย หากมิตายเพราะตกจากหน้าผาก็อาจจมน้ำหรือหนาวตายอย่างแน่นอน
ส่วนอันหลิงเกอก็รู้สึกลังเลแต่ไม่มีทางอื่นให้เลือกแล้ว
เมื่อเห็นพวกเขาถือดาบเดินเข้ามาใกล้ อันหลิงเกอก็กระชับกระบี่ในมือแน่นเพราะยังอยากที่จะพยายามอีกสักครั้ง
ทว่าแววตาของคนพวกนั้นเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม ยามนี้อันหลิงเกอไร้ซึ่งเรี่ยวแรงจึงทำให้มือที่ถือกระบี่สั่นเทาอย่างห้ามมิได้
นางหันไปมองหน้าผาที่มีสายน้ำเชี่ยวกรากด้านล่างอีกครั้ง สุดท้ายก็ตัดสินใจกระโดดลงไปสุดแรง
กระบี่หลุดออกจากมือและปักอยู่บนพื้นดิน ส่วนตัวนางก็สวมใส่เพียงเสื้อผ้าเนื้อบางและถูกน้ำพัดจมหายไป
ตอนนี้อันหลิงเกอรู้สึกเพียงความเย็นที่กัดกินไปถึงกระดูกและรู้สึกว่าเลือดกำลังไหลวนปั่นป่วนไปหมด
มู่จวินฮาน สุดท้ายคนที่ท่านปกป้องก็มิใช่ข้า หลังจากนั้นดวงตาของอันหลิงเกอก็ปิดลงและนางนึกถึงแค่เพียงเรื่องนี้เท่านั้น
ทางด้านซูโจวที่กลับมายังที่พักก็เห็นเพียงสภาพห้องอันเละเทะรวมทั้งก้อนหินที่ตกเกลื่อนกราดไปทั่ว เขาจึงมองขึ้นไปบนภูเขา
ซูโจวแบกความหวังอันน้อยนิดขึ้นไปบนภูเขาเพราะหวังว่าจะพบนางนอนอยู่ตรงนั้น ! แม้นางได้รับบาดเจ็บเขาก็จะช่วยชีวิตให้ได้ ต้องทำได้แน่นอน !
ทว่าเมื่อซูโจววิ่งไปถึงหน้าผาก็มิพบผู้ใด มีเพียงรอยเท้ามากมายหลงเหลืออยู่ก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกกระวนกระวายใจมาก
“อันหลิงเกอ ! อันหลิงเกอ ! ” เขาตะโกนเรียกนางครั้งแล้วครั้งเล่า แต่สุดท้ายก็ไร้เสียงตอบกลับ
ยามที่ยืนอยู่บนหน้าผาแล้วมองลงไปด้านล่างก็เห็นเพียงสายน้ำและกระบี่เล่มนั้นปักอยู่บนพื้น ทำให้ในใจของเขารู้สึกสะท้านขึ้นมา
นางตกลงไป เป็นไปมิได้ !
นางคืออันหลิงเกอที่สามารถผ่านอันตรายมาได้ตั้งมากมาย นางจักมาตายเช่นนี้ได้อย่างไร !
“อันหลิงเกอ ออกมาเดี๋ยวนี้…”
ตอนนี้ซูโจวรู้สึกว่าตนไร้เรี่ยวแรงขึ้นมา เขามิรู้ว่านางอยู่ที่ใด
บางที บางทีนางอาจโดนหอพิษกู่พาตัวไปก็ได้เพราะหนานกงหลิงเยว่มาที่นี่ทุกวันมิใช่หรือ ? บางทีอาจช่วยอันหลิงเกอไปแล้วก็ได้ !
เมื่อคิดได้ดังนั้นซูโจวก็รีบไปหอพิษกู่ทันที ตอนนี้เขามิสนใจเรื่องนักฆ่าหรือเรื่องเผ่าหมอเทวดาอีกแล้ว เขารู้แค่ว่าหากอีกฝ่ายช่วยอันหลิงเกอไว้จะให้เขาเป็นสุนัขก็ยอม
“เจ้าบอกว่าอันหลิงเกอหายไปหรือ ? ” หนานกงหลิงเยว่ก็ตื่นตระหนกมากเช่นกัน
“วันนี้มู่จวินฮานเรียกเจ้ากลับไปที่จวน หรือว่า…” หากนี่คือแผนการที่วางเอาไว้อยู่แล้ว
เช่นนั้นอันหลิงเกอต้องตกอยู่ในอันตรายแน่
“ข้าจักไปถามที่จวนอ๋องมู่ ! ”
บางทีอันหลิงเกออาจถูกจับตัวไป บางทีนางอาจมิเป็นอันใดก็ได้
เมื่อกล่าวจบ ซูโจวก็มุ่งตรงไปที่จวนอ๋องมู่ทันที หนานกงหลิงเยว่ก็มิวางใจจึงตามไปห่าง ๆ
นางมิสามารถเข้าไปในจวนอ๋องมู่ได้ แต่นางก็มิอาจปล่อยให้เขาเผชิญอันตรายเพียงลำพังเช่นกัน
นางเกิดมาเป็นนักฆ่า ดังนั้นเรื่องการถือวิสาสะบุกเข้าไปถือเป็นงานถนัดอยู่แล้ว หลังตามซูโจวมาถึงเรือนของมู่จวินฮานแล้ว หนานกงหลิงเยว่ก็มิกล้าเดินเข้าไป
การยืนอยู่ตรงนี้นางก็สามารถได้ยินเสียงสนทนาด้านในได้ นางจึงรอซูโจวอยู่ที่หลังต้นไม้ของเรือน
“ท่านทำเช่นนี้เพราะเหตุใด ! ” ซูโจวกล่าวออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว
เดิมทีวันนี้มู่จวินฮานเรียกเขามา เขาคิดว่าความสัมพันธ์คงกลับเป็นเหมือนเดิมได้ แต่คาดมิถึงว่ามู่จวินฮานจักช่วยมู่เหล่าหวางเฟยเพื่อกำจัดอันหลิงเกอ !
“มีอันใดหรือ ? ” มู่จวินฮานมิรู้ว่าอีกฝ่ายโมโหอันใดมา
“ท่านเองก็รู้ว่าอันหลิงเกอเป็นคนของเผ่าพิษหนอนกู่ แต่นางช่วยพระชายาของท่านเอาไว้ เหตุใดต้องสังหารนางให้ได้ ตอนนี้นางอยู่ที่ใด นางอยู่ที่ใด บอกข้ามา ! ”
ซูโจวมีอาการคลุ้มคลั่งราวกับคนเสียสติ แม้แต่หนานกงหลิงเยว่ที่อยู่ด้านนอกก็ยังฟังออกว่าอันหลิงเกอสำคัญต่อซูโจวมากเพียงใด
มิว่าเพราะเหตุใดเขาก็มิอาจทนเห็นอันหลิงเกอเป็นอันตรายไปได้ !
“ข้ามิเข้าใจว่าเจ้ากำลังพูดถึงเรื่องใดอยู่ เจ้าเป็นคนนำตัวอันหลิงเกอไปแล้วยังมาถามหาจากข้าอีก”
มู่จวินฮานมิได้สนใจเรื่องของอันหลิงเกอ อย่างไรเขาก็ไม่มีความทรงจำอันใดต่ออันหลิงเกออีกแล้ว ก็แค่ซาบซึ้งใจที่นางช่วยรักษาเฝิงเยว่เอ๋อเท่านั้น
“ท่าน ! เหตุใดท่านต้องบังเอิญเรียกข้าเข้าจวนวันนี้ด้วย ! ” หากซูโจวมิถามให้กระจ่างก็ไม่มีทางไปจากที่นี่เด็ดขาด
“บังเอิญหรือ ? เกิดอันใดขึ้น ? ” มู่จวินฮานรับรู้ได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่ก็บอกมิได้ว่ามันคือสิ่งใด
วันนั้นหมู่เฟยอยากเอาชีวิตอันหลิงเกอ แม้จะมิรู้ว่าเหตุใดแต่วันนี้ก็เป็นหมู่เฟยที่แนะนำให้เขาหาทางคืนดีกับซูโจว ดังนั้นเขาจึงเรียกซูโจวกลับมา
เมื่อปะติดปะต่อเรื่องได้เช่นนี้แล้วหากเกิดเรื่องกับอันหลิงเกอจริงก็แสดงว่าต้องเป็นฝีมือของหมู่เฟย
แต่เพราะเหตุใดกัน ?
มู่จวินฮานมิอาจพูดถึงเรื่องของหมู่เฟยได้จึงมิได้กล่าวอันใดออกมาอีก
ซูโจวก็มองออกว่ามิใช่แผนการของมู่จวินฮาน หากอีกฝ่ายไม่โดนหลอกใช้ก็ต้องถูกปิดบังไว้แน่ เขาไม่มีอันใดจะพูดกับคนที่สูญเสียความทรงจำเช่นนี้อีก
“ช่างเถิด แต่ข้าก็ยังยืนยันคำเดิมว่าสักวันหนึ่งท่านจะต้องเสียใจ ! ”
เมื่อกล่าวจบ ซูโจวก็รีบวิ่งออกไปทันที เขาต้องไปตามหาอันหลิงเกอและจักปล่อยให้เกิดเรื่องกับนางมิได้
หนานกงหลิงเยว่ก็ไปกับซูโจวจนกระทั่งเห็นเขานั่งเงียบอยู่ริมแม่น้ำโดยมิรู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่
“หรืออันหลิงเกอตกลงในแม่น้ำนี้แล้ว”
แม่น้ำกว้างใหญ่เพียงนี้ หนานกงหลิงเยว่มิอาจเอ่ยคำปลอบโยนออกมาได้ มองแล้วคงเกิดเรื่องกับอันหลิงเกอ และนางก็มิรู้ว่าจะบอกเรื่องนี้กับพี่ชายเช่นไรด้วยซ้ำ หากวันนี้นางอยู่เป็นเพื่อนอันหลิงเกอก็คงไม่เกิดเรื่องขึ้นหรอก
“เป็นไปมิได้ ! ” หนานกงหลิงเยว่รีบมองไปที่แม่น้ำแต่ก็มิพบสิ่งใด
“เป็นไปได้อย่างไร เป็นไปมิได้หรอก นางคืออันหลิงเกอ นางไม่มีทางตกไปได้หรอก นางอาจซ่อนตัวอยู่ก็ได้ พวกเราต้องหานางพบแน่ ! ”
เมื่อกล่าวจบ หนานกงหลิงเยว่ก็เดินไปทางเบื้องล่างของหน้าผา นางเชื่อว่าต้องพบอันหลิงเกออยู่ตรงไหนสักแห่ง
อันหลิงเกอต้องมิเป็นอันใด
ซูโจวทำได้เพียงเดินตามนางไปอย่างเงียบ ๆ แม้พวกเขารู้อยู่เต็มอกว่าอันหลิงเกอไม่อาจหนีพ้นจากสายตาของเหล่าทหารที่ตามล่าตัวได้ก็ตาม
แต่พวกเขาก็ยังมีความหวัง แม้จะริบหรี่เพียงใดก็มิอาจละทิ้งความหวังนี้ไปได้
แม้หลายวันมานี้พวกเขาจะตามหาบริเวณใกล้ฝั่งจนทั่วแล้วก็ยังมิเห็นแม้แต่เงาของอันหลิงเกอ คำตอบในใจก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ
ตอนนี้หนานกงหลิงเยว่นั่งดื่มน้ำอยู่ริมทาง นางมิกล้ากลับไปบอกพี่ชายทั้งยังทำใจบอกมิได้ด้วย
พี่ชายรักอันหลิงเกอเพียงใดนางย่อมรู้ดีที่สุด หากอันหลิงเกอเป็นอันใดไปจริงก็เกรงว่าเขามิอาจรับเรื่องนี้ได้
“ข้าควรทำอย่างไรดี เป็นเพราะข้า…” สุดท้ายหนานกงหลิงเยว่ก็ได้แต่โทษตนเอง หากวันนั้นนางมิออกไปทำภารกิจและคอยอยู่ข้างกายอันหลิงเกอก็อาจมิเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น
“ช่างเถิด เรื่องนี้มิเกี่ยวกับเจ้า หากจะบอกว่าผู้ใดเป็นคนผิด คนผู้นั้นก็คงเป็นข้าเอง” ซูโจวกล่าวพร้อมถอนหายใจออกมา เพราะเขาถูกหลอกให้ไปที่จวนอ๋องมู่จึงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น
หากเขาเฉลียวใจให้มากกว่านี้ก็อาจมิเป็นเช่นนี้หรอก