ตอนที่ 640 ตกหน้าผา

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 640 ตกหน้าผา

ตอนนี้หนานกงหลิงเยว่ต้องการหยั่งเชิงพี่ชายดูก่อน ดังนั้นจึงมิอาจพูดออกไปตามตรงได้

“เขาไม่มีทางทำร้ายอันหลิงเกอหรอก เช่นนั้นข้าก็คงมิให้อันหลิงเกออยู่ข้างกายเช่นนี้ นิสัยก็คงมิเลวเช่นกัน ทว่าพวกเราหอพิษกู่แต่ไหนแต่ไรมาไม่ข้องแวะกับพวกเผ่าหมอเทวดา เจ้าก็รู้ดี”

เมื่อได้ยินพี่ชายบอกว่าเขาเป็นคนที่มิเลว หนานกงหลิงเยว่จึงวางใจ เช่นนี้ในอนาคตทั้งสองคนยังมีโอกาสเป็นไปได้เพราะอย่างน้อยก็คงจะมิโดนขัดขวางมากนัก

“เด็กคนนี้ เจ้ามีเรื่องปิดบังข้าอยู่ใช่หรือไม่ ? ” ฟางหลิงซู่เอ่ยถามขึ้นบ้าง

“ไม่มี ไม่มีเจ้าค่ะ ข้ากลับไปพักผ่อนก่อนดีกว่า ท่านลองคิดเรื่องของตนกับอันหลิงเกอให้ดีเถิดเจ้าค่ะ”

เมื่อเห็นหนานกงหลิงเยว่รีบหนีไป ฟางหลิงซู่ก็รู้ว่าต้องมีเรื่องบางอย่างแน่ เพียงแต่นับวันเขาก็ยิ่งคุมน้องสาวมิอยู่เข้าไปทุกที

การที่นางมีความคิดของตนก็เป็นเรื่องที่ดี เพียงแต่หวังว่านางคงมิต้องเจอกับคนเลวอีก เรื่องครั้งก่อนถือเป็นเครื่องเตือนใจและทำให้เขาอยากปกป้องนางให้มากกว่านี้

และซูโจวผู้นั้นต่อให้เป็นคนดี แต่ก็เป็นคนของมู่จวินฮาน หากอยู่ร่วมกับชาวยุทธเยี่ยงพวกตนแล้วอาจเกิดปัญหามากมายตามมาก็ได้

หนานกงหลิงเยว่จะพาปัญหาไปสู่ซูโจวได้ด้วย ฟางหลิงซู่รู้ว่าหนานกงหลิงเยว่คงมิได้นึกถึงเรื่องนี้ แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความจริงที่จะเกิดขึ้น

พวกตนมิใช่คนที่ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้ เขาเกรงว่าวันหนึ่งหากหนานกงหลิงเยว่รู้ว่าจักนำพาปัญหามาแก่ซูโจว นางอาจจะคิดสั้นขึ้นมาก็ได้

ตอนนี้ฟางหลิงซู่มีน้องสาวเป็นญาติเพียงคนเดียวและเขาหวังแค่นางจะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเท่านั้น

ทางด้านหนานกงหลิงเยว่เมื่อกลับถึงห้องก็ยังคิดถึงซูโจวที่ได้พบกันวันนี้ มิรู้ว่าเหตุใดนางจึงรู้สึกเหมือนรักแรกพบก็มิปาน

หนานกงหลิงเยว่เอ๋ยหนานกงหลิงเยว่ เจ้าพบเจอคนมากมายกลับมีความรู้สึกเช่นนี้เสียได้

ก่อนหน้านี้ตอนได้พบกูซูเฉี่ยอวี่ก็เป็นช่วงที่นางตกต่ำที่สุด ตอนนี้นางคิดและปล่อยวางได้แล้ว

สำหรับซูโจวแล้ว เมื่อนางได้พบเขา นางมิได้รู้สึกราวกับว่าเขาเป็นแสงสว่าง แต่เขามีแรงดึงดูดที่น่าประหลาดใจบางอย่าง

ความรู้สึกนั้นทำให้นางรู้ได้ว่านี่เองคือสิ่งที่เรียกว่ารักแรกพบ และตอนนี้นางเกิดความรู้สึกหวั่นไหวต่อบุรุษผู้นี้เสียแล้ว ทำเยี่ยงไรถึงจะปล่อยวางความรู้สึกนี้ได้ ?

เช้าวันต่อมา ซูโจวได้รับจดหมายจากจวนอ๋องมู่ซึ่งเรียกให้เขากลับไป

ทั้งยังมีตราประทับของมู่จวินฮานด้วย !

“ในเมื่อเขาเรียกเจ้ากลับไปก็กลับเถิด ข้ามิอยากให้พวกเจ้าต้องมาตัดขาดกันเช่นนี้”

อันหลิงเกอเอ่ยความในใจออกมา นางหวังแค่มู่จวินฮานจะได้รับมากขึ้น มิใช่สูญเสียสิ่งที่มีไป

“แล้วเจ้าอยู่คนเดียวได้หรือ ? ”

ตอนนี้ร่างกายของอันหลิงเกอแข็งแรงขึ้นมากแล้ว อย่างน้อยก็สามารถเคลื่อนไหวด้วยตนเองได้ เช่นนั้นซูโจวคงมิยอมทิ้งให้นางอยู่ที่นี่คนเดียวแน่นอน

“ข้าอยู่ได้ เจ้ามิต้องเป็นห่วงข้าหรอก รีบไปรีบกลับก็แล้วกัน”

อันหลิงเกอเอ่ยเพื่อให้เขาสบายใจ ความจริงแล้วนางก็มิได้ต้องการเร่งให้ซูโจวรีบกลับมาหรอก วันนี้มองแล้วหนานกงหลิงเยว่น่าจะมาหา นางจึงไม่มีอันใดน่าเป็นห่วง

“ก็ได้”

ซูโจวมิรู้ว่ามู่จวินฮานเรียกกลับไปด้วยเรื่องอันใด แต่ตอนนี้อีกฝ่ายเป็นถึงท่านอ๋องและลองไปที่จวนอ๋องสักครั้งคงมิเป็นไร จักได้เลี่ยงการเกิดปัญหาโดยมิจำเป็นด้วย

หลังจากซูโจวเดินทางไปจวนอ๋องมู่ได้มินาน หนานกงหลิงเยว่ก็มาหาอันหลิงเกอ

“นี่เป็นของว่างที่ข้าซื้อมาจากโรงสุรา เจ้าลองชิมสิ”

อันหลิงเกอที่กำลังหิวอยู่พอดีจึงจ้องไปที่ห่อกระดาษในมือของหนานกงหลิงเยว่ด้วยดวงตาเป็นประกาย

หนานกงหลิงเยว่ที่มิเคยเห็นท่าทางเช่นนี้ของอันหลิงเกอมาก่อนก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายดูน่ารักมิน้อยเลย

“เจ้ามองข้าด้วยเหตุใด เจ้ามิเคยเห็นคนตะกละหรือ?” เพราะอันหลิงเกอนอนบนเตียงมาหลายวันจึงทำให้รู้สึกอยากอาหารมิน้อย

“ได้ได้ได้ เจ้าทานได้ก็ดีแล้ว ทานได้นับเป็นบุญ”

หนานกงหลิงเยว่หยิบของว่างใส่จานตรงหน้าอันหลิงเกอ ก่อนจะรินชาที่นำมาด้วยให้นาง

“ดีที่ยังร้อนอยู่” หนานกงหลิงเยว่ลองจับถ้วยชาแล้วดีใจราวกับเด็ก

เห็นหนานกงหลิงเยว่ไร้เดียงสาถึงเพียงนี้ อันหลิงเกอจึงอดเอ่ยถามออกมามิได้

“เจ้าชอบซูโจวหรือไม่ ? มีความรู้สึกดีให้เขาบ้างหรือเปล่า ? ”

เมื่อได้ยินอันหลิงเกอถามออกมาตามตรงเช่นนี้ หนานกงหลิงเยว่ก็มิใช่คนอ้อมค้อมจึงยอมรับตามความจริง

“อืม” เห็นนางพยักหน้าแล้ว อันหลิงเกอก็อดดีใจมิได้

“ดีจริง ซูโจวเป็นคนดีมากเลย” ที่อันหลิงเกอกล่าวเช่นนี้เพราะหวังว่าพวกเขาจักมีความสุข แต่คาดมิถึงว่าภายภาคหน้ามันจะนำความเจ็บปวดที่ยาวนานมาสู่หนานกงหลิงเยว่

“อืม ข้าจะพยายาม” ขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนากันอยู่นั้น จู่ ๆ ด้านนอกก็มีคนมาเยือน

“คุณหนูขอรับ คนของหอพิษกู่มาแจ้งว่ามีภารกิจใหม่ขอรับ”

หนานกงหลิงเยว่รู้สึกเอือมระอา ทุกวันนี้เวลาว่างก็มีน้อยเสียเหลือเกิน

“ได้ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” นางมองอันหลิงเกออย่างรู้สึกผิดแต่อันหลิงเกอมองมาอย่างเข้าใจ

หลังจากที่หนานกงหลิงเยว่ออกไปได้มินาน ด้านนอกก็เกิดเสียงดังขึ้นอีก อันหลิงเกอรู้สึกถึงลางสังหรณ์มิดีเพราะตอนนี้ที่เรือนมีนางแค่คนเดียว ร่างกายของนางก็ยังมิแข็งแรงมากนัก หากผู้ที่มาต้องการหาเรื่องก็เกรงว่าไม่ดีแน่

เมื่อคิดได้ดังนั้น อันหลิงเกอจึงแอบมองไปนอกหน้าต่างและได้พบเข้ากับเหล่าทหาร

ดูท่าแล้ววันนี้ซูโจวถูกเรียกไปที่จวนอ๋องมู่ก็คงเป็นแผนของมู่เหล่าหวางเฟยที่ต้องการเอาชีวิตนาง

เมื่อเห็นเช่นนี้ อันหลิงเกอก็ค่อย ๆ พยุงตัวขึ้น จากนั้นก็คว้ากระบี่แล้ววิ่งออกไปทางด้านหลังเรือน

ตอนนี้เรี่ยวแรงของนางมีอยู่น้อยนิดจึงทำได้เพียงอาศัยช่วงที่เหล่าทหารมิสังเกตเพื่อรีบหนีไปก่อน เช่นนั้นหากตกอยู่ในเงื้อมมือของมู่เหล่าหวางเฟยก็เกรงว่านางคงไม่มีโอกาสรอดชีวิตแน่นอน

ทว่านางเพิ่งอ้อมมาด้านหลังได้มิเท่าไรก็มีผู้คนล้อมเข้ามา ครั้งนี้นางคงมิรอดไปได้โดยง่ายอีก

เพราะหนานกงหลิงเยว่เพิ่งจากไป คนของหอพิษกู่คงคิดว่าที่นางอยู่นั้นปลอดภัยดีแล้ว ส่วนซูโจวถูกเรียกกลับจวนอ๋องก็คงมิได้หวนคืนมาตอนนี้หรอก

มู่เหล่าหวางเฟยวางแผนรัดกุมเช่นนี้คงหมายเอาชีวิตนางให้ได้

ตอนนี้ข้อมือของนางรู้สึกปวดร้าวขึ้นมา อันหลิงเกอแทบถือกระบี่ไว้มิไหว ภาพตรงหน้าเริ่มเลือนรางและรู้สึกว่าอาการของตนกำลังแย่

“หยุด ! ”

“อย่าให้นางหนีไปได้ เร็วเข้า อย่าให้นางมีชีวิตรอด ! ”

อันหลิงเกอฟังออกว่าพวกเขาหมายเอาชีวิตนาง

แต่นางอุตส่าห์หนีรอดจากจวนอ๋องมู่มาแล้วจักเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่มิได้เด็ดขาด !

หากแค่คนหรือสองคน นางคงพอต้านไหว แต่นี่คือคนตามมากลุ่มใหญ่ ทั้งด้านหลังเรือนก็เป็นภูเขาจึงไม่มีทางให้หนีได้อีกแล้ว

ยังดีที่อันหลิงเกอเดินเร็วกว่าพวกเขาอยู่หลายก้าว ตอนนี้จึงขึ้นไปสูงมากและนางกัดฟันผลักหินก้อนใหญ่ลงจากเขาเพื่อขัดขวางการตามล่า

ทว่าบนเขามิได้มีก้อนหินมากมายนัก อันหลิงเกอเองก็เหนื่อยจนแทบหมดแรง

คนที่อยู่ด้านล่างก็หาได้รีบร้อนไม่ เนื่องจากพวกเขารู้ดีว่าหากวิ่งขึ้นไปจนถึงหน้าผาแล้วก็จะมีแค่แม่น้ำโอบล้อมไว้เบื้องล่างเท่านั้น นางไม่มีที่ให้หนีแล้ว

เมื่ออันหลิงเกอขึ้นไปถึงยอดเขา นางก็รู้ได้ทันทีว่าสิ่งที่รออยู่คือสิ่งใด