ตอนที่ 639 จับคู่

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 639 จับคู่

หนานกงหลิงเยว่หวังว่าอันหลิงเกอจะมิกลับไปที่จวนอ๋องมู่อีก เช่นนี้ก็จะได้กลับหอพิษกู่เพื่อไปอยู่กับพวกตน พี่ชายต้องดีใจมากแน่

นางมองออกว่าฟางหลิงซู่ใส่ใจเรื่องของอันหลิงเกอมากเพียงใด ความรักที่พี่ชายมีต่ออันหลิงเกอนั้นผู้ใดก็มองออก

หนานกงหลิงเยว่เชื่อว่าหากอันหลิงเกออยู่กับพี่ชายจะต้องมีความสุขกว่าอดีตมากเป็นแน่

เพราะพี่ชายของนางไม่มีอันใดที่ด้อยกว่ามู่จวินฮาน !

“ครั้งนี้ข้าคงมิกลับไปแล้ว ต่อไปต้องให้หอพิษกู่ของพวกเจ้าช่วยเหลือ ข้าจะมิเกรงใจอีกแล้ว”

อันหลิงเกอกล่าวพร้อมยิ้มออกมาแต่ดูอ่อนแอยิ่งนัก ริมฝีปากของนางซีดขาวแทบไม่มีเลือดฝาดให้เห็น

“เอาล่ะ เอาล่ะ เจ้ารีบพักผ่อนเถิด” หนานกงหลิงเยว่เห็นนางเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งรู้สึกปวดใจ

พลันนึกถึงยามที่ตนเจ็บปวดก็มีอันหลิงเกอก็คอยอยู่เคียงข้าง แต่อันหลิงเกอชอบแบกรับทุกอย่างไว้เพียงผู้เดียวและร่างกายก็มิรู้ว่าจะกลับมาแข็งแรงได้อีกหรือไม่

ทำให้หนานกงหลิงเยว่รู้สึกแค้นใจที่ตนเป็นเพียงนักฆ่า มิได้มีความรู้ด้านการแพทย์จึงไม่สามารถช่วยอันใดได้เลย

“เอาล่ะ ข้าต้องไปแล้ว”

ในขณะนั้นซูโจวก็เดินเข้ามาพอดี เมื่อเห็นเขากลับมาแล้ว หนานกงหลิงเยว่ก็ขอตัวลา

“ข้าซื้ออาหารมาเผื่อเจ้าด้วย อยู่ทานข้าวด้วยกันก่อนเถิด”

ซูโจวกล่าวออกมาเสียงเรียบราวกับเป็นการเชื้อเชิญตามปกติ แต่ทำให้หนานกงหลิงเยว่รู้สึกใจสั่นขึ้นมา

“อยู่ทานข้าวด้วยกันก่อนสิ”

อันหลิงเกอเอ่ยปากเชิญอีกครั้งพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะยันกายลุกขึ้นมานั่งที่โต๊ะ

นางหันไปมองอาหารที่ซูโจวซื้อมาก็มีแต่ของที่นางชอบทานจึงทำให้รู้สึกอยากอาหารขึ้นมามิน้อย

“เช่นนั้น ก็มิเกรงใจแล้ว”

หนานกงหลิงเยว่ตอบรับพร้อมเหลือบมองสีหน้าของซูโจว เมื่อเห็นเขามิได้มีท่าทีต่อต้าน นางจึงนั่งลงด้านข้างอันหลิงเกอ

ซูโจวผู้นี้ช่างใส่ใจยิ่งนัก เขาแบ่งอาหารใส่จานขนาดเล็กให้พวกนาง ดูพิถีพิถันและใจเย็นมิน้อย

ทำให้หนานกงหลิงเยว่อดที่จะแอบมองเขามิได้ นางเพิ่งรู้สึกว่าซูโจวหล่อเหลามิน้อย ผิวก็ขาวและดูคล้ายพวกบัณฑิตมากกว่าหมอเสียอีก

“กู่เหนียงมองข้าด้วยเหตุใด ? ”

ซูโจวดูเหมือนรับรู้ได้ถึงแววตาของหนานกงหลิงเยว่จึงหันมองนางด้วยรอยยิ้ม

“โอ้ ไม่มีอันใดหรอก” หนานกงหลิงเยว่ยกมือขึ้นพลางกล่าวปฏิเสธแล้วรีบก้มหน้าลงทันที

ในขณะเดียวกันนั้นอันหลิงเกอก็สังเกตเห็นรอยแดงระเรื่อบนแก้มของนาง ก็ทำให้สามารถเข้าใจขึ้นมาทันที

ก่อนหน้านี้หนานกงหลิงเยว่เคยมีความรักแค่ครั้งเดียวแต่โดนทรยศ ถึงตอนนี้หากนางได้อยู่ร่วมกับซูโจวก็คงจะดีมิน้อย

“ซูโจว เจ้าช่วยไปส่งหลิงเยว่แทนข้าที ตอนนี้ฟ้ามืดแล้วพวกเรารั้งนางให้อยู่ทานข้าวด้วยกันก็ควรรับผิดชอบความปลอดภัยของนางด้วย”

“ไม่ ไม่ต้อง…”

“ได้”

หนานกงหลิงเยว่ยังมิทันได้ปฏิเสธจบคำ ซูโจวก็ชิงรับปากเสียก่อน

เมื่อเห็นท่าทีเยี่ยงนี้ของหนานกงหลิงเยว่ก็ทำให้อันหลิงเกอเพิ่งรู้ว่าสตรีที่ชอบล้อเล่นกับความรู้สึก เวลาได้พบคนที่พึงพอใจก็ดูเขินอายมิน้อย

ก่อนหน้านี้เรื่องของนางกับกูซูเฉี่ยอวี่ นางก็ทุ่มเทไปทั้งใจ

บัดนี้เมื่อได้พบกับซูโจว นางดูราวกับเป็นเพียงสาวน้อยก็มิปาน

หลังจากนั้นซูโจวก็ไปส่งหนานกงหลิงเยว่และมินานก็กลับมา เมื่ออันหลิงเกอเห็นเขากลับมาจึงเรียกมาหา

“ซูโจว เจ้ามีสตรีในดวงใจหรือไม่ ? ”

คำถามนี้ของอันหลิงเกอทำให้ซูโจวเงยหน้ามองนางทันที เหตุใดอันหลิงเกอจึงถามคำถามเช่นนี้

“ตอนนี้…ไม่มีแล้ว”

ซูโจวส่ายหน้าด้วยท่าทีจริงจัง

“เช่นนั้น เจ้าว่าหลิงเยว่เป็นเช่นไรบ้าง ? ”

เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของอันหลิงเกอแล้ว ซูโจวจึงได้เข้าใจความหมาย แต่ตัวเขาก็มิรู้จะตอบนางเช่นไรดี

เพราะหนานกงหลิงเยว่เป็นคนของหอพิษกู่และฟางหลิงซู่ก็เป็นพี่ชายของนาง พวกเขามิถูกกันเช่นนี้ก็คงไปข้องแวะกับสตรีของหอพิษกู่มิได้

“มันเป็นไปมิได้” ซูโจวปฎิเสธอย่างไร้เยื่อใย

“หากนางมิใช่คนของหอพิษกู่ก็เป็นไปมิได้หรือ ? ” อันหลิงเกอเข้าใจซูโจวดี เขาเป็นคนจริงจังมาแต่ไหนแต่ไรและคงเพราะเหตุผลนี้ที่ทำให้เขาปฏิเสธอย่างหนักแน่น

นางสังเกตเห็นแววตาที่เขามองหนานกงหลิงเยว่เมื่อครู่ ดูก็รู้แล้วว่าเขาเองก็พึงพอใจนางมิน้อย

“ไม่มีคำว่า ‘หาก’ หรอก เนื่องจากชาติกำเนิดหาใช่สิ่งที่จะเลือกได้ไม่” ซูโจวกล่าวจบ อันหลิงเกอก็พูดต่อทันที

“เจ้าก็รู้ว่าชาติกำเนิดเป็นสิ่งที่เลือกมิได้ นางไม่เคยสังหารคนบริสุทธิ์มาก่อน หากพวกเจ้าได้ลองอยู่ด้วยกัน บางทีเจ้าอาจกลายเป็นวีรบุรุษที่ช่วยใต้หล้าไว้ก็ได้” อันหลิงเกอพยายามเกลี้ยกล่อม

“วีรบุรุษหรือ ? ” ซูโจวยิ้มออกมา

“ใช่แล้ว เจ้าเป็นหมอได้แม้ว่าเคยเป็นนักฆ่ามาก่อน ดังนั้นพวกเขาต้องเป็นคนดีขึ้นหากได้อยู่ใกล้เจ้า”

อันหลิงเกอจริงจังกับเรื่องนี้มาก แต่ซูโจวก็ปฏิเสธความคิดของนางเช่นกัน

“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าจักมิพากันไปสู่ทางที่ผิดแทน ? ” ซูโจวเอ่ยออกมาอย่างขมขื่น

เพราะเขามิสามารถควบคุมตนเองได้ด้วยซ้ำ อันหลิงเกอเชื่อในตัวเขาถึงเพียงนี้เชียวหรือ ?

“ช่างเถิด เรื่องนี้เจ้าตัดสินใจเองแล้วกัน ข้าเพียงเข้าใจนางและข้ารู้ว่านางเป็นสตรีที่ดีคนหนึ่ง” อันหลิงเกอพูดแนะนำ

“เจ้าชอบยุ่งเรื่องการจับคู่เช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด” ซูโจวเอ่ยขึ้นอย่างหยอกเย้า

“เอาล่ะ เอาล่ะ ข้ามิพูดแล้ว เจ้ารีบพักผ่อนเถิด” แท้จริงแล้วซูโจวก็คิดตามที่อันหลิงเกอพูดอยู่เหมือนกัน

เขาก็รู้สึกดีกับหนานกงหลิงเยว่มิน้อย ทว่าฐานะของพวกตนทำให้เรื่องนี้ไม่มีทางเป็นไปได้

เมื่อคิดได้เช่นนั้นซูโจวก็ทำได้เพียงลอบถอนหายใจก่อนจะเดินออกไป และพอเขาเดินออกไปแล้ว อันหลิงเกอจึงได้ไตร่ตรองถึงเรื่องบางอย่าง

การที่ตอนนี้นางอยู่กับซูโจวก็ถือเป็นภาระให้เขามิน้อย ทำให้เขามิได้ใช้ชีวิตของตน อีกทั้งยังต้องมาคอยเป็นห่วงนางด้วย

ทำให้อันหลิงเกออดรู้สึกผิดมิได้และหวังว่านางจะได้ชดเชยให้เขาบ้าง

เมื่อเห็นท่าทางของเขาและหนานกงหลิงเยว่วันนี้ก็ทำให้รู้สึกว่านี่เป็นโอกาสดีที่ซูโจวจะได้ใช้ชีวิตอย่างแท้จริงเสียที นางเองก็จะได้รู้สึกผิดต่อเขาน้อยลง

“มอบให้นางหรือยัง ? ” ฟางหลิงซู่เห็นหนานกงหลิงเยว่กลับมาก็เอ่ยถามด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวัง

“เจ้าค่ะ”

นางตอบอย่างมิใส่ใจเพราะตอนนี้สิ่งที่หนานกงหลิงเยว่กำลังคิดถึงมีเพียงซูโจวจึงมิได้ใส่ใจจะตอบคำถามพี่ชายมากนัก

“นาง…ฝากบอกอันใดถึงข้าหรือไม่ ? ” ฟางหลิงซู่ถามต่ออย่างมีความหวัง

“บอกว่าขอบใจมากเจ้าค่ะ”

เป็นคำพูดที่ฟางหลิงซู่มิชอบใจยิ่งนักเพราะอันหลิงเกอมักเกรงใจเขาอยู่เสมอ

“เอาล่ะ เจ้าไปพักผ่อนเถิด ข้าจักนั่งตรงนี้อีกสักพัก”

เมื่อหนานกงหลิงเยว่เห็นท่าทีของฟางหลิงซู่แล้ว นางก็มองออกว่าพี่ชายแปลกไปจึงรู้สึกเศร้าไปกับเขาด้วย ทั้งที่พี่ชายและอันหลิงเกอเหมาะสมกันถึงเพียงนี้ แต่อันหลิงเกอกลับถูกมู่จวินฮานคว้าไปได้ก่อน แม้แต่ตอนนี้ก็ยังไม่รักพี่ชายบ้างเลย

“ใช่สิ ท่านพี่”

“หืม ? ”

ฟางหลิงซู่มิรู้ว่านางต้องการกล่าวอันใดจึงหันหน้าไปทางนาง

เดิมทีเขาคิดว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับอันหลิงเกอ แต่คาดมิถึงว่าหนานกงหลิงเยว่จักกล่าวถึงซูโจวขึ้นมา

“ท่านคิดว่าซูโจวผู้นั้นเป็นเช่นไรบ้างเจ้าคะ ? ”

“ซูโจวน่ะหรือ ? ”

“อืม หมอที่อยู่กับอันหลิงเกอน่ะหรือ”

ฟางหลิงซู่รู้ว่าอีกฝ่ายคือใคร เพียงแต่คนที่ได้รับเกียรติจนหนานกงหลิงเยว่กล่าวถึงคงมิใช่ว่า…

“เหตุใดเจ้าจึงถามถึงเขาเช่นนี้ ? ”

“คือว่าตอนนี้เขาอยู่กับอันหลิงเกอ ข้าก็ลองถามเพราะอยากรู้ว่าเขาเป็นคนเช่นไร ข้าแค่เป็นห่วงอันหลิงเกอเจ้าค่ะ”