ส่วนที่ 5 ตอนที่ 21-1 ชอบมาสี่ปี

จารใจรัก [ส่วนที่ 5]

ฮูหยินหมิงมองฉินชิง สีหน้าแปรเปลี่ยน มิอาจเรียกได้ว่าดูดี แต่ก็มิอาจเรียกได้ว่าดูแย่เช่นกัน 

 

           ต่างเป็นบุตรีของนางเหมือนกัน ฝ่ามือหลังมือล้วนคือเนื้อ*[1] 

 

           ฉินชิงมองฮูหยินหมิง พบว่านางไม่เอ่ยคำใดเนิ่นนาน เขาจึงคุกเข่าข้างหนึ่งต่อหน้านางทันใด กล่าวด้วยความสัตย์จริง “ข้ารักเลื่อมใสในตัวเซี่ยอีจากใจจริง ขอให้ฮูหยินอนุญาตด้วยเถิด” 

 

           ฮูหยินหมิงสะดุ้งโหยง ผละกายหลบทันที “องค์ชายแปดลุกขึ้นเถิด ข้ารับความเคารพจากเจ้ามิได้” 

 

           “หากฮูหยินไม่อนุญาต ข้าก็จะไม่ลุก” ฉินชิงส่ายหน้า  

 

           ฮูหยินหมิงมองเขา ยิ่งหมดคำพูดไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าควรแสดงสีหน้าอย่างไรถึงจะดี ภายใต้สายตาของ 

 

ฮูหยินทุกคน นางจึงได้แต่มองไปยังพระชายาอิงชินอ๋อง 

 

           พระชายาอิงชินอ๋องยิ้มทันใด “เด็กคนนี้ ที่แท้มาเพื่อขอแต่งงาน” 

 

           ฉินชิงหน้าแดงจัด ทว่ายังคงคุกเข่าข้างเดียวหลังตรง 

 

           “วันนี้เป็นงานชมบุปผา หากบรรลุงานสมรสได้ ย่อมเป็นเรื่องมงคลเช่นกัน” พระชายาอิงชินอ๋องยิ้มพลางกุมมือฮูหยินหมิง รู้สึกได้ถึงปลายนิ้วเย็นเยียบของอีกฝ่าย นางจึงเปลี่ยนน้ำเสียง “แต่ว่า การสู่ขอเป็นเรื่องใหญ่ ต้องให้สองฝ่ายยินยอมพร้อมใจ” พูดจบ นางก็หันไปมองฉินชิง “เจ้าชอบเซี่ยอี แล้วเซี่ยอีชอบเจ้าด้วยหรือไม่” 

 

           ฉินชิงก้มหน้างุด ตอบเสียงเบาว่า “เมื่อครู่ข้าเพิ่งสารภาพกับนาง แต่ทำให้นางโกรธแล้ว ข้าชอบนางมานานมาก ดังนั้น…” 

 

           เขาพูดถึงตรงนี้ คำพูดก็สะดุดลง ความหมายครึ่งหลังไม่ต้องพูดก็เป็นอันเข้าใจ มาขอร้องฮูหยินหมิงได้ แสดงว่าพูดเรื่องนี้ออกมาต่อหน้าแล้วเช่นกัน 

 

           พระชายาอิงชินอ๋องยิ้มขำ “แม่นางน้อยหน้าบาง เจ้ามาสู่ขอต่อหน้าคนอื่นแบบนี้ คงจะยิ่งโกรธ” พูดจบ นางก็แก้หน้าให้แทนฮูหยินหมิง “เจ้าลุกขึ้นก่อน เจ้าเป็นองค์ชาย แม้อดีตฮ่องเต้ไม่อยู่แล้ว แต่ยังมีไท่เฟยตัดสินใจให้เจ้า ยังมีฝ่าบาทกับไทเฮาด้วย เรื่องนี้มิใช่คิดจะตอบตกลงก็ตอบตกลงได้เลย ความรู้สึกของเจ้า เซี่ยอีกับฮูหยินหมิงรับรู้แล้ว กลับไปค่อยหารือกันอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง” 

 

           ฉินชิงได้ยินเช่นนั้นก็ลุกขึ้นทันที หากแต่ยังมองฮูหยินหมิงด้วยความดื้อรั้นอยู่บ้าง แสดงเจตจำนงชัดเจน “ฮูหยิน ข้าชอบเซี่ยอีจากใจจริง ชอบเพียงแค่นาง มิเคยชอบผู้ใดมาก่อน ในเมื่อป้าสะใภ้ใหญ่พูดถึงขนาดนี้แล้ว ข้าก็จะกลับไปบอกไท่เฟย ขอให้นางมาหารือกับท่าน” 

 

           ฮูหยินหมิงมองฉินชิงอย่างหมดคำพูดอยู่บ้าง คิดในใจว่าหลินไท่เฟยเป็นคนฉลาด ฉินชิงที่นางอบรมสั่งสอนมาย่อมมิใช่คนโง่เขลาเช่นกัน เรื่องนี้หากกระทำอย่างลับๆ จวนเรือนหกยังพอจะปฏิเสธเขาได้ หากแต่ยามนี้เขากลับสู่ขอต่อหน้าสาธารณชน นางมิอาจปฏิเสธความตั้งใจของเขาได้ในทันที จึงได้แต่พยักหน้า “เรื่องงานสมรสเป็นเรื่องใหญ่ มิอาจบุ่มบ่ามตัดสินใจได้” 

 

           ฉินชิงพยักหน้า ลุกขึ้นยืน ทำความเคารพขอตัวลาต่อพระชายาอิงชินอ๋องกับฮูหยินหมิง ก่อนหมุนตัวเดินออกไปนอกจวนด้วยความว่องไว ดูท่าคงกลับไปเชิญหลินไท่เฟยมาจริงๆ 

 

           “เด็กคนนี้ ไม่รู้ว่าควรชมหรือควรตำหนิเขากันแน่” พระชายาอิงชินอ๋องเห็นเขาไปแล้วก็ตำหนิติดตลก 

 

           ฮูหยินหมิงถอนหายใจ มิเอ่ยคำใดแล้ว 

 

           ฮูหยินท่านหนึ่งยิ้มพลางก้าวขึ้นหน้า “ฮูหยินหมิงวาสนาดีนัก ข้าว่าองค์ชายแปดชอบเซี่ยอีจากใจจริง มาเพื่อสู่ขอด้วยความจริงใจ ถึงกระทำเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ แม่นางรองตระกูลเจ้าทั้งฉลาดและมีไหวพริบ เหมาะสมกับองค์ชายแปด” 

 

           ฮูหยินท่านอื่นก็คล้อยตามกัน 

 

           ฮูหยินหมิงมองทุกคน แย้งกลับมิได้ เรื่องฉินชิงกับเซี่ยอียิ่งมิอาจพูดตามอำเภอใจได้ จึงได้แต่ยิ้มเจื่อน 

 

           ระหว่างทุกคนสนทนากัน ภายนอกก็มีเสียงตะโกนดังขึ้น “ฝ่าบาทและไทเฮาเสด็จแล้ว” 

 

           ทุกคนพากันออกไปรับเสด็จทันใด 

 

           เดินออกไปได้ครึ่งทาง ฉินอวี้กับไทเฮาก็เสด็จมาถึงแล้ว ไทเฮาทรงถอดเครื่องทรงไทเฮาอันจุกจิกมีรายละเอียดมาก เปลี่ยนมาแต่งกายด้วยอาภรณ์คล่องตัว พินิจจากการแต่งตัวแล้ว แลดูเยาว์วัยขึ้นกว่าเมื่อก่อนหลายปี  

 

           เหล่าฮูหยินและคุณหนูพากันถวายบังคม 

 

           “วันนี้ท่านป้าใหญ่เป็นแม่งาน เรามาชมดอกไม้ผ่อนคลายจิตใจกับไทเฮา ไม่ต้องพะวงเรื่องพิธีหรอก ทำตัวตามสบายเถอะ” ฉินอวี้ยิ้มพลางโบกมือ 

 

           ทุกคนล้วนลุกขึ้นกล่าวขอบพระทัย 

 

           “ข้ามิได้ออกจากวังนานแล้ว แทบขนลุกไปทั้งตัว” ไทเฮาแย้มสรวลพลางตรัสกับพระชายาอิงชินอ๋อง “พี่สะใภ้ วันนี้ข้ามิได้มารบกวนหรอกกระมัง อย่าเป็นเพราะข้า ทำให้ทุกคนพลอยหมดความสนุก” 

 

           “ไหนเลยเป็นเช่นนั้น เจ้ากับฝ่าบาทมา ทุกคนย่อมดีใจ” พระชายาอิงชินอ๋องยิ้มพลางโบกมือ  

 

           ฮูหยินทุกท่านพากันคล้อยตามทันที 

 

           มีคนเอ่ยขึ้นว่าไทเฮาทรงแลดูเยาว์วัย บ้างกล่าวว่าไทเฮามีพระพักตร์ยอดเยี่ยม บ้างกล่าวว่าไทเฮาควรเสด็จออกมาผ่อนคลายจิตใจให้มาก ทุกคนผลัดกันกล่าวถ้อยคำสรรเสริญเยินยอ ไทเฮาแย้มสรวลสว่างไสว โบกพระหัตถ์พัลวัน 

 

           หลังทักทายกันจบแล้ว พระชายาอิงชินอ๋องก็นำทางทุกคนไปที่ศาลาริมน้ำอีกหน 

 

           ฉินอวี้เดินอยู่เบื้องหน้า กวาดสายตามองไม่พบเซี่ยฟางหวา ทว่าก็มิได้ถามถึง 

 

           “ไฉนถึงไม่เห็นพระชายาน้อย” ไทเฮาแย้มสรวลตรัสถามพระชายาอิงชินอ๋อง  

 

           “ถูกแม่นางรองของเรือนหกลากไปห้องน้ำแล้ว ประเดี๋ยวก็คงกลับมา” พระชายาอิงชินอ๋องยิ้มตอบ  

 

           ไทเฮาได้ยินเช่นนั้นก็หันไปถามฮูหยินหมิง “แม่นางรองบ้านเจ้าใช่เซี่ยอีหรือไม่” 

 

           “ใช่แล้วเพคะ” ฮูหยินหมิงยิ้มตอบ 

 

           “เมื่อครู่ที่หน้าจวน พบฉินชิงกุลีกุจอออกมาพอดี เขาบอกว่าได้สู่ขอแม่นางรองของเรือนหกแล้ว จึงจะกลับไปขอให้ไท่เฟยช่วยตัดสินใจให้ หมายถึงเซี่ยอีคนนี้หรือไม่” ไทเฮาหันกลับไปถามฉินอวี้  

 

           ฉินอวี้ยิ้มพลางพยักพระพักตร์ “ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้เขาเคยเอ่ยถึงเรื่องนี้กับข้า ข้าบอกว่างานสมรสของเขาต้องให้ไท่เฟยตัดสินใจ” หยุดชั่วครู่แล้วยิ้มตรัสว่า “ไม่นึกเลยว่าเขาจะกล้าหาญไม่น้อย คาดไม่ถึงว่าจะสู่ขอที่นี่ด้วยตัวเอง” หยุดชั่วครู่แล้วตรัสต่อ “สู่ขอมือเปล่า ถามว่าที่แม่ยายต่อหน้า ข้าเพิ่งจะเคยเห็นครั้งแรก” 

 

           ฮูหยินหมิงได้ยินฉินอวี้ตรัสคำว่าว่าที่แม่ยาย ชั่วเวลานั้นก็หน้าแดงทำตัวไม่ถูก ทว่าในใจนางกลับเข้าใจได้ในชั่วพริบตาว่าฉินอวี้กำลังสนับสนุน ช่วยเหลือฉินชิงอีกแรง 

 

           “ตระกูลฉินของเราเมื่อเริ่มหลงรักผู้ใดแล้ว ทุกคนล้วนสู่ขอภรรยาอย่างสะเทือนเลื่อนลั่น” ไทเฮาแย้มสรวลกว้าง  

 

           พระพักตร์ฉินอวี้มืดครึ้มเล็กน้อย มิตรัสคำใด 

 

           หลังไทเฮาตรัสจบก็เพิ่งคิดได้ รู้สึกเสียใจไม่น้อย ทว่าถ้อยคำที่พูดออกไปแล้วย่อมเรียกคืนมาไม่ทัน นางจึงได้แต่เปลี่ยนน้ำเสียงตรัสกับฮูหยินหมิงว่า “องค์ชายแปดใฝ่รู้ ขยันหมั่นเพียร มีความรู้และมีมารยาท ขวนขวายเพื่อพัฒนาตัวเองเสมอ ตอนนี้แม้จะยังอายุน้อย แม้ยังกระทำบางสิ่งด้วยความบุ่มบ่าม ออกนอกกรอบอยู่บ้าง แต่อนาคตย่อมต้องฝึกฝนจนกลายเป็นคนมีความสามารถได้แน่” 

 

           ฮูหยินหมิงพยักหน้า “องค์ชายแปดย่อมดีมาก เพียงแต่เรื่องนี้ ยังต้องหารือกันอีกมาก” 

 

           “ก็จริง” ไทเฮาพยักพระพักตร์ “งานสมรสเป็นเรื่องใหญ่ มิอาจบุ่มบ่ามตัดสินใจได้” ตรัสจบ นางก็เปลี่ยนเรื่อง หันไปตรัสกับพระชายาอิงชินอ๋อง “ข้าได้ยินว่าดอกสิบแปดบัณฑิตในจวนบานหมดแล้ว ในนั้นมีสองพันธุ์หายาก รีบพาข้าไปชมเถอะ” 

 

           “ได้เพคะ” พระชายาอิงชินอ๋องยิ้มพลางพยักหน้า     

 

           ทุกคนเดินไปชมดอกไม้ที่ศาลาริมน้ำด้วยกัน 

 

           หลังจากเซี่ยฟางหวากับเซี่ยอีเดินมาถึงจุดร้างผู้คนแล้ว ตั้งแต่เซี่ยอีพบฉินชิง เอ่ยเตือนประโยคหนึ่งกับเขา ก็ปั้นหน้าบึ้งตึงมาตลอดทาง 

 

           “เป็นอะไรไป” เซี่ยฟางหวามองนางด้วยความขำขัน  

 

           เซี่ยอีดึงแขนเสื้อนาง กำไว้แน่น กล่าวด้วยความขุ่นเคืองว่า “ฉินชิงบอกชอบข้า” 

 

           “ชอบเจ้าก็คือชอบเจ้า เหตุใดเจ้าถึงต้องโกรธขนาดนี้ด้วย” เซี่ยฟางหวาอมยิ้มมองนาง 

 

           “พี่ฟางหวา ท่านมิทราบ นึกไม่ถึงว่าฉินชิงบอกว่าจะไปสู่ขอข้ากับท่านแม่วันนี้” เซี่ยอีทวีความขุ่นเคือง  

 

           “หืม” เซี่ยฟางหวาชะงักไปครู่หนึ่ง “วันนี้ ตอนนี้ ที่จวนอิงชินอ๋อง” 

 

           เซี่ยอีพยักหน้าด้วยความโกรธแค้น 

 

           เซี่ยฟางหวาค่อนข้างหมดคำพูด “ข้าเห็นว่าเขามิได้นำเงินทองของหมั้นมาด้วย และไท่เฟยมิได้มาด้วยเช่นกัน แล้วจะสู่ขอได้อย่างไร” 

 

           “ใครจะรู้เล่า” เซี่ยอีไม่สบอารมณ์ “ข้าได้ยินว่าเขานำจิ้งหรีดมาคู่หนึ่ง แต่ถูกเยี่ยนถิงแย่งไปแล้ว” 

 

           เซี่ยฟางหวาหัวเราะ 

 

           “ท่านยังหัวเราะอีก” เซี่ยอีร้อนรน “เมื่อครู่ข้าเตือนเขาไปแล้ว ท่านว่าเขาจะยังพูดจาเหลวไหลอีกหรือไม่ หากเขาทำจริงขึ้นมาจะทำอย่างไร พี่ฟางหวา ท่านช่วยข้าคิดหาวิธีหน่อยสิ” 

 

           เซี่ยฟางหวามองนาง ดวงหน้าเล็กของอีกฝ่ายทั้งเขียวคล้ำทั้งขาวซีด ดูท่าทางคงรู้สึกแย่มาก นางครุ่นคิดแล้วเอ่ยถาม “แล้วเจ้าชอบฉินชิงหรือไม่” 

 

           “ไม่ชอบ” เซี่ยอีตอบทันที 

 

           “เพราะเซี่ยซีพี่สาวเจ้าจึงไม่ชอบเขา หรือเพราะว่าตัวเจ้ามิได้ชอบเขาอยู่แล้ว” เซี่ยฟางหวามองนาง  

 

           เซี่ยอีกัดริมฝีปาก กล่าวว่า “ข้าไม่ได้ชอบเขา” 

 

           “จริงหรือ” เซี่ยฟางหวามองนาง “ความจริงฉินชิงก็ไม่เลว ตอนนี้เขายังอายุน้อยไปหน่อย เวลาทำงานจึงยังมีผิดพลาดอยู่บ้าง แต่ฝึกฝนขัดเกลาไปสักสองสามปี ในหมู่คุณชายเยาว์วัยของเมืองหลวงหนานฉินด้วยกัน ทั้งพรสวรรค์ รูปลักษณ์ และความสามารถต้องจัดว่ายอดเยี่ยมแน่นอน อีกทั้งยังเป็นองค์ชาย ในบรรดาองค์ชายของอดีตฮ่องเต้มีเพียงเขาที่ครอบคลุมครบทุกด้าน ทั้งยังมีความสัมพันธ์อันดีงามกับฉินอวี้และพวก 

 

ฉินเจิง ตอนนี้ได้รับบทบาทสำคัญจากฉินอวี้ อนาคตยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย เขามาสารภาพความรู้สึกที่แท้จริงต่อหน้าเจ้า และตั้งใจสู่ขอต่อหน้าอาสะใภ้หก ดูท่าคงชอบเจ้าจากใจจริง” 

 

           เซี่ยอีไม่เอ่ยคำใด 

 

 

 

[1] *ฝ่ามือหลังมือล้วนคือเนื้อ หมายถึง พ่อแม่ย่อมรักลูกที่ตนให้กำเนิดไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง