ตอนที่ 131 รักเจ้า ชาตินี้และตลอดไป

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ฉางซุนซิ่ว “หืม? “ 

 

 

เขาคิดไม่ถึงจริงๆ สำหรับอี้อ๋องแล้ว ยังจะมีสิ่งใดสำคัญยิ่งกว่านี้อยู่อีก 

 

 

จีเฉวียน ” ชีวิตของเขา “ 

 

 

” เขาคิดจะใช้ชีวิตของตนเอง มาแลกชีวิตเสียนไท่เฟยกับเรา” 

 

 

ฉางซุนซิ่วเอ๋อร์ทอดถอนหายใจ 

 

 

” เขาไม่อาจเลือกชาติกำเนิดของตนเองได้ ไม่อาจเลือกมารดาของตนเองได้ อีกทั้งเรื่องที่เสียนไท่เฟยได้ทำลงไป จะอย่างไรก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่าเสียนไท่เฟยคือมารดาของเขาได้ เขาที่เป็นบุตร ไม่อาจลืมตามองดูนางไปตาย จึงได้แต่ตายแทนนาง” 

 

 

” เพราะฉะนั้น เขาจึงใช้ทุกสิ่งที่เขามี รวมทั้งชีวิตของเขาเอง ขอร้องเราละเว้นชีวิตเสียนไท่เฟย “ 

 

 

ในที่สุดคราวนี้สีหน้าของฉางซุนซิ่วเอ่อร์ก็เปลี่ยนไปบ้างแล้ว “เขายอมจริงหรือ? ฝ่าบาทอย่าทรงลืมนะ ที่ผ่านมาอี้อ๋องหมายปองในบัลลังก์ดุจพยัคฆ์จ้องตระครุบเหยื่อ และเพราะพวกเขาแม่ลูก ตอนนั้นพระองค์ถึงได้ทรงตกที่นั่งลำบาก…..คำพูดของเขา พระองค์จะทรงเชื่อถือไม่ได้เด็จขาดนะพะยะคะ” 

 

 

” ไม่แน่ว่านี่อาจจะเป็นกลลวงแสร้งเจ็บตัวก็เป็นได้ เพียงหวังให้พระองค์พระทัยอ่อนเท่านั้น “ 

 

 

จีเฉวียนแย้มสรวลเสียงเย็น “อาซิ่ว ตั้งแต่เมื่อไรกัน ที่เจ้าคิดว่าเราคือคนที่ใจอ่อนผู้หนึ่ง? “ 

 

 

ฉางซุนซิ่วชะงักค้างไปครู่หนึ่ง……จริงสิ ไยเขาจึงคิดไปว่าฝ่าบาทจะใจอ่อนได้?  

 

 

หรืออาจเป็นเพราะเห็นว่า ฝ่าบาทใกล้ชิดตู๋กูซิงหลันมากไป เริ่มมีอารมณ์คุกรุ่นเช่นคนธรรมดา เขาจึงได้รู้สึกเช่นนี้ขึ้นมาได้?  

 

 

เพราะที่ผ่านมาฝ่าบาท คือผู้ที่ไร้น้ำพระทัยที่สุด 

 

 

จีเฉวียนนำตราหยกของแดนเหนือวางลงบนโต๊ะ “หากว่าอี้อ๋องตายไป ความแค้นระหว่างเราและพวกเขาแม่ลูกก็ถือว่าสิ้นสุดลงแล้ว เราคิดว่า หากว่าในปีนั้นเราสามารถใช้ชีวิตตนเองแลกกับชีวิตของพระมารดาได้ละก็ เราคงจะต้องทำเช่นที่อี้อ๋องพูดเอาไว้แน่ “ 

 

 

” น่าเสียดาย…..เราไม่มีโอกาสแม้แต่น้อย” 

 

 

แววตาของฉางซุนซิ่วเอ๋อร์เบิกกว้าง ครู่หนึ่งเขาถึงได้ทูลตอบว่า “ฝ่าบาท คนตายไม่อาจฟื้นคืน ยามนี้อันหร่วนกูกูกลับเข้ามาในวังแล้ว นางเป็นคนเก่าคนแก่ของเสด็จน้า นับว่าสามารถช่วยคลายความระลึกถึงของพระองค์ได้บ้าง “ 

 

 

จีเฉวียนไม่ตรัสสิ่งใด ภายนอกตำหนักหิมะโปรยปราย ดอกกุ้ยฮวาในพระตำหนักตี้หัวต่างร่วงหมดแล้ว ถึงแม้ในพระตำหนักจะจุดไฟเติมถ่านอยู่ตลอดเวลา แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าหนาวเย็นไปทั้งร่าง 

 

 

นับตั้งแต่เล็กเขาก็เจ็บป่วยเพราะความเย็น จึงกลัวหนาวมากกว่าคนทั่วไป ทันทีที่เข้าสู่ฤดูหนาว เตาไฟในตำหนักก็ไม่เคยดับมาก่อน 

 

 

” ฝ่าบาททรงคิดจะจัดการอี้อ๋องและเสียนไท่เฟยเช่นไรพะยะค่ะ? “ 

 

 

ฉางซุนซิ่วเอ๋อร์เขี่ยเชื้อไฟภายในเตา อีกทั้งยังเติมถ่านไม้ลงไปอีกก้อน เขาเคลื่อนไหวพลางกล่าวว่า “ฝ่าบาททรงให้ความสำคัญกับไทเฮาอย่างมากมาโดยตลอด ความสัมพันธ์ของไทเฮาและอี้อ๋องแต่ไหนแต่ไรก็ผูกพันกันอย่างแน่นแฟ้น หากว่าฝ่าบาททรงยอมรับคำขอของอี้อ๋อง ใช้หนึ่งชีวิตของเขาแลกกับหนึ่งชีวิตของเสียนไท่เฟย เกรงว่าไทเฮาคงจะทรงเกลียดชังพระองค์เป็นแน่ “ 

 

 

เสียงถ่านไม้ในเตาแตกดังเปรี้ยะๆ เขาก็ยิ่งก้มศีรษะต่ำลงมองดู แสงสว่างนั้นก็ยิ่งลุกโชนอยู่ในสายตาของฝ่าบาท 

 

 

ครั้นเห็นว่า สีพระพักตร์ของฝ่าบาทหมองมัว ทั้งที่เขาเพียงแค่เตือนถึงความสัมพันธ์ที่ผ่านมาของตู๋กูซิงหลันกับอี้อ๋องเท่านั้น พระพักตร์ที่เคยเฉยชามาตลอดของฝ่าบาทถึงกับเปลี่ยนไปแล้ว 

 

 

พระองค์ทรงเป็นกังวลเพราะนาง…….จริงหรือ?  

 

 

จีเฉวียนหันมาทอดพระเนตรดูเขา แต่มิได้ตรัสสิ่งใด ตลอดพระองค์คล้ายกับกำจายไอเย็นออกมาโดยรอบ 

 

 

ผ่านไปนานอีกพักใหญ่จึงได้ทรงตรัสตอบว่า ” อาซิ่ว เจ้าจำเอาไว้ เราจะทำสิ่งใด ไม่ต้องการให้ผู้ใดมาสอดแทรก รวมถึงตัวเจ้าด้วย “ 

 

 

ฉางซุนซิ่วเอ๋อร์ได้ยินรับสั่งแล้ว ก็ลุกขึ้นยืน ถวายคำนับต่อจีเฉวียนอีกครั้งหนึ่ง “กระหม่อมรับพระบัญชา” 

 

 

” เจ้าถอยไปเถอะ ” จีเฉวียนโบกพระหัตถ์ เสด็จกลับไปประทับที่โต๊ะใช้พระหัตถ์ข้างหนึ่งหนุนพระเศียรไว้ 

 

 

พรุ่งนี้จะเป็นวันตัดสินคดีของเสียนไท่เฟย ยามนี้เขายังมิได้ตัดสินใจในขั้นสุดท้าย 

 

 

 

 

 

…………………………………. 

 

 

 

 

 

เข้ายามดึกสงัดแล้ว หิมะยิ่งทีก็ยิ่งตกหนักขึ้น ตู๋กูซิงหลันส่งองค์หญิงใหญ่และท่านหญิงน้อยกลับไปถึงได้เข้านอน นางเอนตัวอยู่บนเตียง กระดูกก้นกบยังเจ็บร้าว บานหน้าต่างแง้มอยู่ ละอองหิมะบางส่วนจึงปลิวเข้ามา เชียนเชียนเข้ามาวางอ่างน้ำอุ่นเอาไว้ให้นาง ปิดบานหน้าต่างจนเรียบร้อยถึงได้จากไป 

 

 

 

 

 

ครึ่งคืนให้หลัง บานหน้าต่างก็ถูกเปิดออกสายลมหนาวพัดโชยเข้ามา พาให้คนรู้สึกหนาวจนขนลุก 

 

 

ตู๋กูซิงหลันลืมตาขึ้นมา เห็นเพียงเงาของคนผู้หนึ่งยืนอยู่ที่ข้างเตียง เป็นเพียงเงาดำๆ ที่มองดูไม่ชัดเจน 

 

 

นางแกล้งทำเป็นหลับสนิทต่อไป ดวงตาหรี่ขึ้นเป็นเส้นบางๆ สายหนึ่ง ก็เห็นคนผู้นั้นยื่นมือมาทางนาง ฝ่ามือที่เย็นเป็นน้ำแข็งลอยอยู่เหนือใบหน้าของนาง จนแน่ใจว่านางหลับเป็นตาย เขาถึงค่อยๆ ลูบไล้อย่างระมัดระวังและอ่อนโยนอย่างที่สุด 

 

 

” หลันเอ๋อร์ พรุ่งนี้ข้าจะต้องไปแล้ว ” เขานั่งอยู่ที่ด้านข้าง เส้นผมเปียกชื้น มองดูนางอย่างลึกซึ้ง 

 

 

” ชาตินี้ข้าจีเย่ว์มิเคยทำสิ่งใดให้เจ้า ทั้งยังทำร้ายเจ้าจนต้องเข้าวัง กลายเป็นนกในกรงทอง ข้าติดค้างเจ้ามากเกินไปแล้ว “ 

 

 

” ชีวิตนี้ข้าไม่อาจตอบแทนเจ้าได้ หากว่ามีชาติหน้า ข้าจีเย่ว์จะยอมเป็นวัวเป็นม้าให้เจ้า “ 

 

 

พูดจบแล้วเขาก็เงียบงันไปอีกครู่ใหญ่ นิ้วมือยังคงสัมผัสอยู่บนใบหน้าของนาง อย่างไม่อาจตัดใจได้ 

 

 

หากว่า …..เขาแต่งงานกับนางเสียตั้งแต่แรก เป็นไปได้หรือไม่ว่าคงจะไม่ต้องมีเรื่องทรมานใจเช่นนี้?  

 

 

และหากว่า…..หลันเอ๋อร์ไม่เคยได้พบเขามาก่อน นางอาจได้พบใครสักคน แต่งงาน มีลูกและอยู่อย่างสงบสุขชั่วชีวิต?  

 

 

แต่ชีวิตนี้ของเขาช่างโชคดีเหลือเกิน ได้พบกับนาง ได้รับความรักจากนาง แม้ตายก็ไม่เสียดายแล้ว 

 

 

ผ่านไปอีกครู่ใหญ่ เขาถึงได้โน้มตัวลงมา จุมพิศเบาๆ ลงบนหน้าผากของนาง ” ขอให้เจ้ามีชีวิตที่ไร้โรคไร้โศก พบกับคนที่ดี มีลูกหลานเต็มบ้านเต็มเมือง ประสบแต่ความสุขไปชั่วชีวิต “ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันรู้สึกขนลุกไปทั่วทั้งร่าง ทำไมถึงได้รู้สึกเหมือนกับว่าจีเย่ว์กำลังมาลาตายกับนางกัน?  

 

 

จิตวิญญาณของเจ้าของร่างเดิมถูกกระตุ้นขึ้นมาแล้ว 

 

 

กระทั่งเมื่อจีเย่ว์จากไป จิตวิญญาณที่ร้อนลนนั้นสร้างความเจ็บปวดในหัวใจของตู๋กูซิงหลันอย่างไม่อาจระงับได้ จึงได้แต่อาศัยพลังของหยกสรรพชีวิตดึงนางออกมา 

 

 

ดวงวิญญาณนี้เคยบอกเอาไว้ว่า ขอเพียงนางได้รู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่องที่เกิดขึ้น ก็จะยอมปล่อยละวาง ไปสู่สุขติ 

 

 

แต่ว่าน่าเสียดาย ความอาลัยอาวรณ์ของนางฝังลึกจนยากที่จะหายามารักษาได้ ทั้งที่ตู๋กูซิงหลันได้ช่วยให้นางทราบความจริงจนกระจ่างแจ้งแล้ว แต่ความรักที่นางมีต่อจีเย่ว์อย่างหนักแน่นยังคงเป็นเหมือนห่วงสุดท้ายที่ยึดเหนี่ยวนางเอาไว้ไม่ไปไหน 

 

 

ดวงวิญญาณนั้นคุกเข่าอยู่ตรงหน้าตู๋กูซิงหลัน “เขาจะไปแล้ว ข้าไม่อาจได้เห็นเขาอีกแล้ว ……ขอท่านได้โปรดช่วยข้าเถอะ ต่อให้ต่อกลายเป็นเพียงหญ้าต้นหนึ่ง เป็นหินก้อนหนึ่ง ข้าก็ยังอยากจะอยู่เคียงข้างเขา “ 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “…….” นี่ไม่ใช่ว่านางไม่อยากช่วย แต่ว่านางไม่ใช่เทพเซียน เจ้าของร่างเดิมเพียงหลงเหลือจิตวิญญาณส่วนสุดท้ายแล้ว ไม่เหมือนกันเสี่ยวลี่ที่มีพลังดวงจิตของตนเองอยู่อย่างเต็มเปี่ยม สามารถเข้าสิงร่างได้ 

 

 

นางอ่อนแอถึงเพียงนี้ ปีศาจตนไหนๆ ก็สามารถกลืนกินดวงจิตของนางไปจนหมดสิ้นได้ตลอดเวลา หากไม่ใช่เพราะมีร่างนี้ปกป้องคุ้มครองอยู่ ก็คงจะจบสิ้นไปนานแล้ว 

 

 

ตู๋กูซิงหลันสีหน้ากลัดกลุ้ม ” คงไม่ใช่ว่า …..เจ้าปักใจจะติดตามเขาไป ไม่คิดอาลัยพี่ชายและท่านปู่ของเจ้าแล้วหรือ? “ 

 

 

” พวกพี่ชายและท่านปู่แม้จะไม่มีข้าก็ยังสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ แต่ว่าอาเย่ไม่เหมือนกัน…..” 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “……” นี่ก็รักเสียจนไร้สมอง คนรักจะสำคัญเพียงไร มีหรือจะมากไปกว่าคนในครอบครัวไปได้?  

 

 

” พวกพี่ๆ และท่านปู่มีเจ้าอยู่ก็เพียงพอแล้ว เจ้าสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้ดีกว่าข้ามากมาย “ 

 

 

วิญญาณทมิฬเองก็ทนไม่ไหว กระโดดออกมากล่าวว่า ” เจ้าก็หาหินมาสักก้อน จับนางยัดลงไปส่งให้จีเย่ว์จะได้จบเรื่องไป วันๆ เอาแต่เรื่องรักๆ ใคร่ๆ ไม่รู้จักจบจักสิ้น น่ารำคาญจริงๆ “ 

 

 

พูดแล้ว มันก็ลงมือกรีดตนเองแผลหนึ่ง หยดเลือดปีศาจของตนเองออกมาขวดใหญ่ “เลือดของข้ามีฤทธิ์ปกป้องวิญญาณ สามารถคุ้มครองเศษเสี้ยวดวงจิตของนางไม่ให้สูญสลายไปได้ “