ตอนที่ 132 ตราบจนชรา ก็ไม่เสียใจ

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ตู๋กูซิงหลันเหลือบตามองดูมันชั่วแวบหนึ่ง เจ้าวิญญาณนี่ทำเป็นโมโหกลบเกลื่อน ตัวมันใจอ่อนไปแล้วชัดๆ ยังจะเสแสร้งทำเป็นว่ารำคาญ 

 

 

” รีบหน่อยเถอะ ส่งๆ ไปเลย อั้วดูแล้วปวดขมอง “ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันลุกขึ้นยืน ที่ด้านนอกหิมะขาวสะอาดตกหนา กดทับกิ่งไฮ่ถางเสียจนโน้มลงมา นางเดินไปยังใต้ต้นไฮ่ถางที่อยู่ใกล้ที่สุด ท่ามกลางพื้นหิมะขาวสะอาดตา มีต้นอ่อนสีเขียวสดของไฮ่ถางต้นหนึ่งงอกขึ้นมา 

 

 

นางยื่นมือลงไปถอนขึ้นมาทั้งราก จากนั้นก็ผนึกโลหิตของวิญญาณทมิฬและจิตวิญญาณที่หลงเหลืออยู่ของเจ้าของร่างเดิมลงไป 

 

 

ลำต้นของต้นกล้าไฮ่ถางนี้ มีความหนาไม่ถึงหนึ่งข้อนิ้ว เมื่อได้รับโลหิตและดวงจิตหล่อเลี้ยงก็เปลี่ยนเป็นสีแดงราวกับเลือด ดูงดงามระยิบระยับจับตาราวกับแกะขึ้นจากหยกโลหิตก็ไม่ปาน 

 

 

 

 

 

…………………….. 

 

 

จีเย่ว์พึ่งก้าวเท้าออกจากตำหนักเฟิ่งหมิง ก็ถูกตู๋กูซิงหลันเรียกเอาไว้ 

 

 

ท่ามกลายหิมะโปรยปราย นางสวมเสื้อคลุมขนสัตว์สีแดงสดที่มีหมวกคลุมผม เส้นผมสีดำสนิทล้วนปล่อยสยาย แทบจะโอบล้อมตัวของนางไว้กว่าครึ่ง 

 

 

ทั้งๆ ที่นางงดงามดุจเทพธิดาแท้ๆ แต่ยามมองไปแล้วกลับดูน่าลุ่มหลงเสียยิ่งกว่าปีศาจที่ล่อลวงผู้คนอีกหลายส่วน 

 

 

” จีเย่ว์ “ 

 

 

นางเพียงเรียกออกไปเบาๆ คำหนึ่ง จีเย่ว์ที่อยู่ท่ามกลางหิมะก็ชะงักไปทั้งร่าง 

 

 

บนเส้นผมและบ่าไหลของเขาล้วนเต็มไปด้วยหิมะ แม้แต่ขนตาก็ยังมีละอองหิมะเกาะอยู่ เขาหมุนตัวกลับมามองดูนางอย่างเงียบๆ 

 

 

ใบหน้าที่งดงามดุจเทพเซียนนั้น ถูกลมหนาวพัดโบกจนแข็งทื่อ แต่ทันทีที่ได้เห็นนางสีหน้าก็ปรากฎความประหลาดใจขึ้นมาทันที จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่อบอุ่นอ่อนโยนอย่างรวดเร็ว 

 

 

” หลันเอ๋อร์ เจ้าออกมา…..ทำไม? “ 

 

 

เขาแทบจะวิ่งไปถึงเบื้องหน้านาง คิดจะกอดนางเอาไว้ในอ้อมอก แต่ความควรไม่ควรก็สะกัดขว้างความรู้สึกเอาไว้ ทำให้ได้แต่ยืนจ้องมองนางอยู่ที่เบื้องหน้า 

 

 

ตู๋กูซิงหลันยื่นมือออกมามอบต้นไฮ่ถางเล็กๆ นั้นให้กับเขา ” เอาไปปลูกให้ดี อย่าให้ห่างกายเด็ดขาด “ 

 

 

จีเย่ว์รับต้นไฮ่ถางนั้นเอาไว้ ฝ่ามือที่เย็นจนเกือบแข็งก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่น 

 

 

” นี่คือ? ” เขาก้มลงมองสิ่งที่นางมอบให้อย่างระมัดระวัง 

 

 

” ตู๋กูซิงหลันในอดีต เคยรักเจ้า แม้ตายก็ยังรัก “ 

 

 

ประโยคเดียวของตู๋กูซิงหลัน แทบจะทำให้จีเย่ว์พานางหนีไปด้วยกัน 

 

 

เขารู้อยู่แล้ว นางรักเขามาโดนตลอด! 

 

 

” ไม่ว่าเจ้าจะไปที่ใด นำมันไปด้วย อย่าได้ห่างกายชั่วชีวิต “ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเพียงบอกกล่าวทิ้งไว้แค่ประโยคเดียว ก็หันหลังจะกลับไป หากกะๆ เวลาดูคร่าวๆ นี่ก็น่าจะเกือบๆ ตีสองแล้ว ง่วงจริงๆ! 

 

 

นางหันตัวกลับไปก็หาววอดใหญ่ ยังไม่ทันจะหาวเสร็จคนก็ถูกจีเย่ว์โอบกอดเอาไว้ทั้งตัว 

 

 

ทั้งๆ ที่เขาใช้แรงค่อนข้างมากแท้ๆ แต่ว่าก็รู้สึกได้ถึงความระมัดระวังอย่างยิ่ง แทบจะรัดนางจนหลอมรวมไปกลับกระดูกและเลือดของตนเอง ปลายคางของเขาจรดอยู่บนศีรษะของนาง ถามออกไปอย่างไม่อาจอดกลั้นได้อีกว่า “หลันเอ๋อร์ หากว่าข้าไม่ต้องการสิ่งใดอีกแล้ว เจ้ายินดีจากไปพร้อมกับข้าหรือไม่? “ 

 

 

” พวกเราไปหาสถานที่ที่ไม่มีคนรู้จัก พำนักไปชั่วชีวิต จวบจนชราก็ไม่เสียใจดีไหม? “ 

 

 

ยามที่เขาพูดออกมานั้น แม้แต่น้ำเสียงก็ยังสั่นสะท้านไปด้วย ” ดีหรือเปล่า? “ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันพยายามขยับตัว พละกำลังของเขายิ่งทียิ่งมาก นางไม่เคยคิดมาก่อนว่าร่างกายของจีเย่ว์ จะมีพละกำลังถึงเพียงนี้ 

 

 

” ในชีวิตของข้าสิ่งเดียวที่มิอาจละทิ้งได้ก็คือเจ้าเท่านั้น ขอเพียงแค่เจ้ายินดีไปกับข้า …..ไม่ว่าเป็นเรื่องใดๆ ข้าก็สามารถจะละวางลงได้” 

 

 

น้ำเสียงของเขาอ่อนลงจนแทบจะเป็นการขอร้อง ราวกับคนที่เฝ้าขอความเมตตาสงสารจากนาง 

 

 

” นับตั้งแต่ที่เจ้าเข้าวังมา ทุกวันข้าก็เหมือนตกอยู่ในความทรมาน แม้จะปิดตาลงในสมองก็มีแต่ภาพของเจ้า ข้าไม่อาจทนเห็นเจ้าต้องรับความทรมานอยู่ในวังหลวงที่เยือกเย็นแห่งนี้ แต่ว่าเจ้าก็โกรธแค้นข้า ไม่ยอมให้ข้าเข้าใกล้ “ 

 

 

” เจ้ารู้หรือไม่? ยามดึกสงัดมีแต่เงียบงัน ข้าเฝ้าคิดถึงคำพูดของเจ้าที่บอกว่าจะแยกจากกันไปตลอดกาล ทุกครั้งที่คิดขึ้นมา ในใจเหมือนมีเลือดหยาดหยด “ 

 

 

“หลันเอ่อร์…..หลันเอ๋อร์…..ไปกับข้าได้หรือไม่? “ 

 

 

ขอเพียงนางหยักหน้า ขอเพียงนางตอบรับสักคำ ชีวิตนี้ เขาก็ไม่มีสิ่งใดต้องอาลัยอีกแล้ว 

 

 

ตู๋กูซิงหลันยังคงยืนอยู่ที่เดิม รับฟังคำพูดของเขาจนหมดสิ้น เมื่อมองดูต้นไฮ่ถางสีแดงในมือของเขา ก็อดที่จะถอนใจออกมาไม่ได้ 

 

 

โชคชะตาทำร้ายผู้คน………. 

 

 

ท่ามกลางหิมะที่โปรยปรายอย่างหนัก ตู๋กูซิงหลันยังสามารถได้ยินเสียงหัวใจของบุรุษที่อยู่ด้านหลังอย่างชัดเจน นางรู้สึกได้ถึงร่างกายที่สั่นสะท้านของเขา 

 

 

ยามนี้……นาทีนี้นางยิ่งสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่จริงใจของเขา 

 

 

ในที่สุดนางก็หันกลับไป กล่าวกับเขาว่า “อี้อ๋องเพคะ บอกกับท่านเช่นนี้ก็แล้วกัน ตู๋กูซิงหลันที่ท่านรักนั้นได้ตายไปเสียแล้ว “ 

 

 

” เจ้ายังคงแค้นเคืองข้า ถึงได้พูดจาด้วยความโกรธเช่นนี้ใช่ไหม? “ 

 

 

จีเฉวียนยังจับนางเอาไว้แน่นโดยไม่ยอมคลายมือ ครั้งนี้เขาไม่คิดจะยอมปล่อยมือง่ายๆ อีกแล้ว 

 

 

ตู๋กูซิงหลันยกมือขึ้นมาข้างหนึ่ง ดึงชายแขนเสื้อออกไป เผยให้เห็นข้อมือที่เล็กบาง ข้อมือที่ขาวสะอาดราวหิมะ กลับมีรอยแผลประหนึ่งราวตะขาบพาดผ่านอยู่ ยามที่เจ้าของร่างเดิมเชือดข้อมือตนเองนั้น นางได้หักใจ คิดไปไม่กลับอีกแล้ว จึงได้ลงมืออย่างรุนแรงถึงที่สุด ปากแผลลึกถึงกระดูก 

 

 

ปากแผลนี้ประสานแล้ว แต่กลับเหลือแผลเป็นที่ไม่น่าดูเอาไว้ 

 

 

” นางตายไปตั้งนานแล้ว ตั้งแต่วันที่เชือดข้อมือฆ่าตัวตายไป “ 

 

 

” ตอนที่ชิงผิงแปลงโฉมเป็นเจ้า สั่งให้นางแต่งเข้าวังให้กับอดีตฮ่องเต้ เพื่อช่วยเจ้าสำเร็จกิจการใหญ่ ยามนั้นหัวใจของนางก็เป็นน้ำแข็งไปกว่าครึ่งแล้ว ต่อมา พระมารดาของเจ้าใช้เต๋อเฟยนำยาชามนั้นส่งนางขึ้นเตียงบรรทมของฮ่องเต้พระองค์ใหม่ ทั้งยังถูกผู้คนมากมายพบเห็น ก็เพื่อให้ฮ่องเต้พระองค์ใหม่กับตระกูลตู๋กูขัดแย้งกัน จะได้เป็นโอกาสให้เจ้าจับปลาในน้ำขุ่น” 

 

 

” แต่ว่า หัวใจของนางตายไปแล้ว “ 

 

 

ตู๋กู้ซิงหลันพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ” เจ้ารักนางลึกซึ้งถึงเพียงนี้ ย่อมสมควรดูออกว่า ข้าไม่ใช่นาง “ 

 

 

เมื่อได้ยินนางกล่าวคำพูดเหล่านี้ออกมา จีเย่ว์ก็ชะงักค้างไปทั้งร่าง คนในอ้อมแขนยังอบอุ่น อ่อนนุ่ม จะไม่ใช่นาง……ได้อย่างไร? 

 

 

” นิสัยของคนผู้หนึ่ง ถึงจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ก็ไม่มีทางเปลี่ยนจนกลายเป็นอีกคนหนึ่งไปได้” 

 

 

จีเย่ว์ส่ายศีรษะอย่างไม่อาจเชื่อ ” ไม่มีทาง….ไม่มีทาง” 

 

 

” อี้อ๋องเพคะ ที่จริงท่านเองก็เริ่มสงสัยมาตั้งแต่แรกแล้วใช่หรือไม่? “ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันพูดพลาง ก็ลวงเอายันต์สีเหลืองแผ่นหนึ่งออกมาอย่างไร้ที่มา ปลายนิ้วขยับเพียงเล็กน้อย ยันต์สีเหลืองแผ่นนั้นก็เกิดเปลวไฟเล็กๆ สีน้ำเงินขึ้น จากนั้นกลายเป็นวิหคตัวหนึ่งในทันที 

 

 

” ของพวกนี้ นางทำได้ไหม? “ 

 

 

จีเย่ว์ยังคงไม่อาจจะยอมรับได้ ” เจ้าไม่ใช่บอกว่า ….เรียนรู้มาจากนักพรตอู้เจินผู้นั้น….เพียงสองสามส่วนหรือ? “ 

 

 

การจะทำความเข้าใจเรื่องพวกนี้ ทั้งสิ้นเปลืองพลังสมองและน้ำลาย แต่ตู๋กูซิงหลันก็ตัดใจแล้ว “ท่านรู้จักนางมาสิบปี เคยเห็นว่านางมีพรสวรรค์ทางด้านนี้บ้างหรือไม่? “ 

 

 

จีเย่ว์นิ่งงันไปในทันที 

 

 

จริงด้วย……หลันเอ๋อร์ของเขา รู้จักแต่ชมนกชมไม้ แค่เห็นแมลงสาบตัวหนึ่งยังร้องไห้ไปครึ่งวัน ยิ่งไม่มีทางจะมีแรงอุ้มบบุรุษสองคนได้ 

 

 

นางจะเป็นคนที่อยู่ตรงหน้านี้ได้อย่างไรกัน? 

 

 

แม้แต่ตัวเขายังกลายเป็นทายาทของศพมีชีวิต หากว่าคนที่เบื้องหน้าจะไม่ใช่หลันเอ๋อร์ เรื่องเช่นนี้ทำไมจะเป็นไปไม่ได้กัน? 

 

 

ฝ่ามือของเขาที่เกาะกุมนางเอาไว้แนบแน่น…..ค่อยๆ คลายออก 

 

 

มืออีกข้างที่ถือต้นกล้าไฮ่ถางเอาไว้ก็กุมกระชับแน่นขึ้นมา 

 

 

” นาง…..ไปยังที่ใดแล้ว? “ 

 

 

” จิตวิญญาณส่วนสุดท้ายของนางอยู่ในต้นไฮ่ถางต้นนี้ หากว่ารอจนถึงเมื่อต้นไฮ่ถางผลิดอกได้เมื่อไหร่ บางทีนางอาจจะกลับมาก็เป็นได้ ” ตู๋กูซิงหลันตอบเสียงเบา “อย่างที่ข้าบอกไป ต้นไฮ่ถางต้นนี้ท่านจะต้องดูแลให้ดี” 

 

 

” กลับมาได้จริงๆ หรือ? ” จีเย่ว์กระชับต้นไฮ่ถางในมือแน่นเข้า ดวงตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความเจ็บปวด 

 

 

ดวงจิตสุดท้ายของนาง….ทำไมเขาถึงมองไม่เห็น ทำไมเขาถึงฟังไม่ได้ยิน?