ตอนที่ 133 พลังต้านทานความเหน็บหนาว

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

จีเย่ว์ไม่อาจยอมรับเรื่องที่นางได้ตายไปแล้ว 

 

 

หากว่าหลันเอ๋อร์ตายไปแล้ว เช่นนั้นผู้ที่อยู่เบื้องหน้านี้คือผู้ใดกัน? 

 

 

รูปร่างเช่นนี้ หน้าต่างเช่นนี้ ดูอย่างไรก็คือนาง 

 

 

แม้แต่ความรู้สึกยามที่ได้โอบกอดไว้ก็ยังเป็นนาง 

 

 

” ขอเพียงมีใจตั้งมั่นย่อมเกิดความสำเร็จ ” ตู๋กูซิงหลันพูดไปก็ตบบ่าของเขาไปด้วย “หากว่าวันหนึ่งท่านเปลี่ยนร่างไป เมื่อผ่านวันคืนอันยาวนาน อาจบางทีรอคอยจนถึงวันนั้นก็เป็นได้ “ 

 

 

อายุไขของศพไร้ชีวิต ย่อมยืนยาวกว่าคนทั่วไป 

 

 

ขอเพียงเขายินดีรอ ขอเพียงเจ้าของร่างเดิมยินยอมฝึกฝน พวกเขาจะช้าเร็วย่อมต้องได้พบกันในวันหนึ่งแน่ “ 

 

 

จีเย่ว์ขยับปากอย่างไร้ซุ่มเสียง สุดท้ายยังคงทนไม่ไหวจำต้องถามออกไป ” เช่นนั้นเจ้าคือใครกัน? “ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ตอบไปว่า ” คนที่มีวาสนาต่อกัน “ 

 

 

ทันทีที่นางกล่าวออกมา เขาก็เห็นนางร่ายคถาลงบนยันต์เหลืองอีกใบ โบกครั้งหนึ่งยันต์ก็ถูกผนึกลงบนกึ่งกลางหน้าผากของจีเย่ว์ และทันทีที่มันสัมผัสกับใบหน้าของเขา ยันต์นั้นก็สลายเป็นควันจางๆ คงเหลือเพียงแสงสว่างวูบหนึ่งซึมเข้าสู่หน้าผากไป 

 

 

นี่เป็นยันต์ผนึกความลับ ซึ่งจัดอยู่ในประเภทคำสาปชนิดหนึ่ง หากว่าไม่ได้รับอนุญาตจากผู้สาป ก็จะทำให้ไม่สามารถแพร่งพรายความลับที่ต้องการเก็บรักษาไว้ออกไปได้ 

 

 

ถึงแม้ตู๋กูซิงหลันจะเกิดความสงสารเห็นใจจีเย่ว์ แต่นั่นก็มิได้หมายความว่านางจะต้องเชื่อใจเขาทั้งหมด 

 

 

หากว่าเรื่องที่นางมิใช่เจ้าของร่างเดิมนี้ถูกแพร่ออกไป ก็มีแต่จะเพิ่มเรื่องเดือดร้อนให้นาง 

 

 

ถึงตอนนี้ นางค่อยพลักไหล่จีเย่ว์ออกไปเบาๆ ” ไปเถอะ “ 

 

 

จีเย่ว์ก็คล้ายคนที่จิตใจล่องลอยไป เขาโอบประคองต้นกล้าไฮ่ถางนั้นเอาไว้ ค่อยๆ เดินหายไปท่ามกลางหิมะที่โหมลงมา 

 

 

ตู๋กูซิงหลันยืนอยู่ท่ามกล่ามหิมะที่โปรยปรายอย่างหนัก ความง่วงงุ่นแทบจะตัวแข็งแบบเมื่อครู่ไม่เหลืออยู่อีกแล้ว จนกระทั่งนางไม่อาจมองเห็นจีเย่ว์อีกแล้ว นางถึงได้หันศีรษะกลับไปยังตำหนักเฟิ่งหมิง 

 

 

โดยที่มิได้รู้สึกตัวเลยว่า มีดวงตาหงส์ที่เยือกเย็นคู่หนึ่งจับจ้องอยู่ไม่ไกล 

 

 

…………………………………… 

 

 

หยวนเฟยแต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นดังแมวกลางคืนตัวหนึ่ง คืนนี้เมื่อออกจากตำหนักเฟิ่งหมิงมาแล้ว นางก็วนเวียนอยู่รอบๆ บริเวณนั้น ขณะเดียวกันก็พบว่าบริเวณโดยรอบของตำหนักเฟิ่งหมิงมีตะขาบพิษตัวใหญ่อยู่มากมาย 

 

 

เจ้าพวกนี้หากไม่ค้นหาก็ยังพอว่า พอค้นหาก็ยิ่งพบหนอนพิษอื่นๆ เพิ่มอีก คนทำช่างร้ายนัก แต่ละตัวแต่ละอย่างล้วนมีพิษรุนแรง ยังถือว่าจิตใจเ**้ยมโหดกว่าชาวหนานเจียงเช่นพวกนางเสียอีก 

 

 

ตู๋กูซิงหลันผู้นี้ ที่จริงแล้วไปก่อเรื่องผิดใจกับผู้คนไว้มากเท่าใดกันแน่ ไม่รู้ว่ามีพวกชั่วๆ เช่นนี้ลอบลงมือทั้งในที่ลับและที่แจ้งมากมายเท่าใดกัน 

 

 

นางวุ่นวายอยู่ภายนอกเสียเกือบครึ่งคืน ค่อยจับพวกมันทั้งหมดไว้ในชะลอมไผ่ใบหนึ่ง พอตระเตรียมจะเสร็จสิ้นภารกิจ ก็เห็นว่าหลังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง มีเงาคนในชุดสีทองที่ดูคุ้นเคยอยู่ 

 

 

หยวนเฟยมองมาแต่ไกลก็ไม่กล้าแน่ใจ จนกระทั่งมองเห็นถึงตรงหน้า ถึงได้ถอนใจออกมาเฮือกหนึ่ง ” อ้ายย่าส์ แม่จ๋า! ฝ่าบาทเพคะ ดึกดื่นค่อนคืนพระองค์ไม่ทรงบรรทม กลับมาอยู่ที่นี่ ฝึกวิชาต้านทานความเหน็บหนาวหรือเพคะ? “ 

 

 

เดิมทีสีพระพักตร์ก็เย็นยะเยือกดุจแท่งน้ำแข็งอยู่แล้ว ตอนนี้ก็ยิ่งคล้ายกับขุมนรกที่เยือกแข็งเข้าไปใหญ่ 

 

 

จีเฉวียนกวาดพระเนตรมองดูนาง ดวงเนตรหงส์นั้นก็ปรากฎแววพิฆาตออกมาในทันที สร้างความตระหนกให้กับหยวนเฟยจนนางถอยหลังไปหลายก้าวติดกัน “เป็นหม่อมฉันพูดมาเกินไปแล้ว ทั่วทั้งวังนี้เป็นของพระองค์ พระองค์คิดจะเสด็จไปที่ใดย่อมได้ทั้งสิ้น” 

 

 

นางว่าแล้ว ก็ขยับเท้าเตรียมจากไป 

 

 

ว่ากันตามจริงแล้ว บุรุษที่ปราศจากขนบนหน้าอกเช่นฝ่าบาท ไม่นับว่าน่าสะดุดตาที่ใด ถึงแม้นางอยากจะโน้มนาวพระองค์ให้กลับไปบรรทมพักผ่อน แต่ว่าเมื่อมองเห็นท่าทีที่คล้ายกับพร้อมจะสังหารคนได้ทุกเมื่อเช่นนั้น นางก็กล่าวคำเหล่านั้นไม่ออก 

 

 

จะว่าไปแล้ว เมื่อครู่ก็คล้ายกับว่านางเห็นเงาคนผ่านมาทางนี้ ดูไปคล้ายๆ จะเป็นอี้อ๋อง บุรุษสองพี่น้องคู่นี้…….ดึกๆ ดื่นถึงเพียงนี้แล้วพวกเข้าคิดจะมาพบปะแสดงความรักความแค้นอะไรกันหรือไม่? 

 

 

พอนางกำลังก้าวเท้าออกไป ก็ได้ยินจีเฉวียนรับสั่งรั้งนางเอาไว้ “หยวนเมิ่ง! “ 

 

 

 

 

 

สองคำนี้แทบจะทำให้หยวนเฟยวิญญาณหลุดออกจากร่างไปแล้ว 

 

 

นางยังคงจำได้ ครั้งก่อนที่ฝ่าบาทตรัสเรียกชื่อของนางนั้น ขาของนางเกือบจะโดนตัดไปแล้ว 

 

 

พอคิดถึงตรงนี้ ขาของหยวนเฟยก็อดที่จะเหน็บชาขึ้นมาไม่ได้ ” ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้เห็นสิ่งใดเลยนะเพคะ จริงๆ นะเพคะ “ 

 

 

นางไม่ได้เห็นเลยว่าดึกดื่นค่อนคืนฝ่าบาทและอี้อ๋องออกมากระทำเรื่องที่ไม่อาจให้ผู้ใดพบเห็นได้ 

 

 

จีเฉวียนตรัสถามเสียงเย็น ที่หนานเจียงมีหมอรักษาตาและโรคหัวใจโดยเฉพาะหรือไม่? “ 

 

 

” ฝ่าบาทเพคะ พระเนตรของพระองค์มีปัญหาหรือไม่ …..คนมีฝีมือไม่ถึงขั้นนายกองด้วยซ้ำ ไหนเลยจะกล้าเอามาถวายผู้นำได้? ” หยวนเฟยทูลตอบอย่างจริงจัง “ทางหนานเจียงของพวกเรามีแต่พ่อมดหมอผี ไหนเลยจะเทียบได้กับเหล่าหมอมากความสามารถในต้าโจว” 

 

 

ส่วนเรื่องโรคหัวใจนั้น…… ฝ่าบาทสมควรจะเรียกหมอมาตรวจจริงๆ พระองค์มีเรื่องกังวลพระทัยมากมาย วันๆ สูงส่งเย็นชาดุจเทพเซียน ที่ผู้คนธรรมดาไม่อาจจะสัมผัสได้ 

 

 

ในเมื่อฮ่องเต้เป็นมนุษย์ธรรมดา ก็สมควรที่จะมีทีท่าดั่งคนธรรมดาบ้าง 

 

 

” ให้เวลาเจ้าหนึ่งเดือน ไปหาตัวหมอผีที่มีความสามารถเรื่องโรคตาและโรคหัวใจมา” จีเฉวียนตรัสออกไป ทั้งยังไม่ลืมตรัสตามความเคยชินด้วยว่า ” ไม่เช่นนั้นจะหักเบี้ยเลี้ยงของตำหนักเจ้าให้หมด” 

 

 

 

 

 

หยวนเฟย “………” ขอถามหน่อยเถอะ นี่นางกระทำเรื่องผิดบาปใดๆ ต่อฟ้าดินหรือ? 

 

 

เดิมทีเบี้ยหวัดก็น้อยเสียจนน่าสงสารอยู่แล้ว หากว่ายังจะหักหนึ่งปี นางจะยังมีชีวิตอยู่ไหวหรือ? 

 

 

แต่ฝ่าบาทมิได้ทรงให้โอกาสนางต่อต้านแม้แต่น้อย พระพักตร์โหดเ**้ยมนั้นจากไปท่ามกลางลมหิมะ 

 

 

ทอดทิ้งหยวนเฟยไว้ที่เดิมเพียงลำพัง นางไม่ควรจะมาเพ่นพ่านแถวนอกตำหนักเฟิ่งหมิงเลย 

 

 

วันรุ่งขึ้น เป็นวันตัดสินโทษเสียนไท่เฟย 

 

 

เกิดเรื่องที่สร้างความประหลาดใจแก่ผู้คนขึ้น ฝ่าบาททรงเปลี่ยนพระทัยในยามสุดท้าย นั่นคือละเว้นชีวิตของเสียนไท่เฟย เพียงรับสั่งให้กักขังนางเอาไว้ในอารามเทียนเก๋อกวน มีนักพรตอู้เจินคอยดูแลด้วยตนเอง 

 

 

ส่วนอี้อ๋องนั้น ถูกถอดถอนตำแหน่งอ๋อง ยึดดินแดนเหนือทั้งหมด ขับไล่ไปยังแดนตะวันตกที่เปลี่ยวร้าง 

 

 

ฟังว่าสองแม่ลูกไม่มีโอกาสได้พบหน้ากันเสียงด้วยซ้ำ ต้องจากกันไปทั้งๆ อย่างนี้ 

 

 

และคราวนี้พวกขุนนางที่ยามปกติเคยสนับสนุนเขาก็ไม่คัดค้านแม้แต่น้อย 

 

 

เรื่องครั้งนี้สำหรับพวกเขาแล้ว นับว่าฝ่าบาททรงมีพระกรุณาอย่างที่สุดแล้ว ทั้งๆ ที่นี่เป็นโอกาสดีที่จะประหารเขาเสียด้วยซ้ำ แต่ว่าฝ่าบาทกลับปล่อยคนไปเสียอย่างงั้น 

 

 

ทั้งที่ยามปกติฝ่าบาททรงไร้น้ำพระทัย และเย็นชาอย่างที่สุด แต่ว่าครั้งนี้ที่สุดแล้วก็ทรงยั้งพระหัตถ์ไว้ 

 

 

นี่ไม่เท่ากับว่าทำให้ผู้คนทั้งหลายเปลี่ยนแปลงมุมมองที่มีต่อฮ่องเต้พระองค์ใหม่หรอกหรือ ………บางที ฝ่าบาทอาจมิได้ทรงน่าหวาดกลัวเช่นนั้นจริงๆ 

 

 

ในตำหนักตี้หัว จีเฉวียนทรงทอดพระเนตรสารทหารจากดินแดนเป่ยเจียงในพระหัตถ์ สีพระพักตร์ยิ่งยุ่งยากกว่าเดิม 

 

 

เกรงว่าแม้แต่ตู๋กูซิงหลันเองก็คงยังจะคิดไม่ถึงว่า ตู๋กูถิงบุกยึดดินแดนเป่ยเจียงได้อีกส่วนหนึ่ง รางวัลที่ทูลขอก็คือชีวิตของเสียนไท่เฟย 

 

 

ไม่ว่าจะมองเช่นไร เรื่องนี้นับว่าถึงจุดสิ้นสุดแล้ว อย่างน้อยๆ ต่อไปอีกนานนับจากนี้ เขาก็ไม่ต้องทนมามองเห็นจีเย่ว์และตู๋กูซิงหลันใกล้ชิดสนิทสนมกันอีกต่อไป 

 

 

เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่ได้ทอดพระเนตรเห็นเมื่อคืนนั้น จีเฉวียนก็ยิ่งรู้สึกว่าพระทัยของพระองค์อึดอัดคับข้องไปหมด 

 

 

พระองค์คิดไปจะสอบถามท่าทีที่มีต่อจีเย่ว์ของนาง คิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นภาพที่ทั้งสองใกล้ชิดกัน 

 

 

เพราะหิมะตกหนักมาก อีกทั้งยังอยู่ห่างไกล ถึงแม้จะไม่ได้ยินว่าพวกเขาพูดอะไร แต่ว่าเพียงมองดูภาพเหล่านั้นก็รู้ว่า จะต้องเป็นการเปิดเผยความในใจต่อกันอย่างแน่นอน 

 

 

คงจะมีแต่ฟ้าเท่านั้นที่รู้ว่า ยามนั้นพระองค์กริ้วจนแทบจะระเบิด แทบจะเสด็จเข้าไปรับสั่งประหารจีเย่ว์ในทันที! 

 

 

แต่พอคิดว่าหากจีเย่ว์ตายไปแล้ว ตู๋กูซิงหลันจะเกลียดชังเขาไปตลอดชีวิต 

 

 

ความคิดนั้นก็ค่อยๆ ละลายลงไป 

 

 

ช่างสมควรตายยิ่งนัก นี่เขาจะต้องมาห่วงกังวลความรู้สึกของสตรีผู้หนึ่งตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? 

 

 

เดิมทีจีเย่ว์ก็คือนักโทษก่อกบฎ จะฆ่าก็ฆ่าได้ พระองค์ทรงเป็นถึงฮ่องเต้แท้ๆ จะประหารนักโทษสักคนยังต้องคำนึงถึงความรู้สึกของผู้ใดด้วยหรือ?