ภาคที่ 24 ผู้เคารพที่แข็งแกร่งที่สุด ตอนที่ 15

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

บรรพคีรีมาร โดย Ink Stone_Fantasy

 

เพียงชั่วครู่

ตงป๋อเสวี่ยอิงและท่านชายสามมาถึงบรรพคีรีมาร ภายใต้การนำทางของจักรพรรดิเจียวอวิ๋น

“ถึงแล้ว” ท่านชายสามเจียวอวิ๋นหลิวมองไปด้านหน้าอย่างตื่นเต้นอยู่บ้าง

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มองไปอย่างระแวดระวัง ท่ามกลางฟากฟ้าอันไร้ขอบเขตเบื้องหน้า มีภูเขาใหญ่ที่ปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกสีดำแห่งหนึ่ง ภูเขาใหญ่ตระหง่านราวกับเป็นศูนย์กลางของฟ้าดินแห่งนี้ ไม่สิ พูดให้ถูกต้องก็คือศูนย์กลางของจักรวาลคีรีมารแห่งนี้ต่างหาก

บริเวณโดยรอบบรรพคีรีมารแห่งนี้ยังมีหินอุกกาบาตรายล้อมอยู่เป็นจำนวนมาก หินอุกกาบาตทุกก้อนล้วนเปล่งแสงออกมาจางๆ เห็นได้ชัดว่าค่ายกลอันไร้รูปร่างเชื่อมโยงหินอุกกาบาตโดยรอบเอาไว้ทั้งหมด

“ไป” จักรพรรดิเจียวอวิ๋นเอ่ยวาจาอย่างเย็นชาแล้วนำทางคนทั้งสองเหินทะยานไปด้วยความเร็วสูง ชั่วพริบตาก็กลายเป็นลำแสงสายหนึ่งเคลื่อนผ่านท้องฟ้าแล้วร่อนลงบนหินอุกกาบาตก้อนหนึ่งในนั้น บนหินอุกกาบาตก้อนนั้นยังมีเพิงหินที่พักอยู่จำนวนหนึ่ง ขณะนี้บนพื้นผิวหินอุกกาบาตมีผู้เฒ่าชุดสีเทาเกล็ดสีนิลรอคอยอยู่อย่างเคารพนบนอบ ยามที่จักรพรรดิเจียวอวิ๋นพาคนทั้งสองมาถึง เขาก็เอ่ยอย่างเคารพขึ้นมาในทันที “จ้าวท่าน”

“อืม” จักรพรรดิเจียวอวิ๋นพยักหน้า ทันใดนั้นก็มองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่ด้านหลัง “ตงป๋อเสวี่ยอิง นี่คือเอ้อเฉิน เรื่องที่เจ้าเตรียมจะต่อสู้กับผู้เคารพภายในบรรพคีรีมารก็ให้เขาช่วยจัดการ”

“ขอบคุณจ้าวท่าน”  ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพลางหันศีรษะมองไปทางผู้เฒ่าชุดสีเทาเกล็ดสีนิลผู้นั้นแล้วเอ่ยทักทายเล็กน้อย “รบกวนผู้ปกครองเอ้อเฉินแล้ว”

ผู้เฒ่าชุดสีเทาเกล็ดสีนิลเผยรอยยิ้มออกมา ทว่าใบหน้าของเขาดุร้ายน่าเกลียดน่ากลัว ถึงแม้แย้มยิ้มก็ยังชวนให้ผู้คนตกใจอยู่บ้าง ฉีกยิ้มกว้างเสียจนเผยให้เห็นฟันอันแหลมคมทั่วทั้งปาก “ได้ยินมาว่าผู้เคารพตงป๋อสามารถเอาชนะผู้ปกครองได้ ข้าก็นับถิอยิ่งนัก เจ้าต่อสู้กับผู้เคารพของบรรพคีรีมาร ข้าก็แค่คอยช่วยเหลือชี้แนะในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ บางอย่างเท่านั้น จะสามารถคว้าชัยชนะมาได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับพลังของผู้เคารพตงป๋อเองแล้ว”

“ท่านพ่อ ระยะเวลาที่น้องตงป๋อเข้ามาในจักรวาลคีรีมารของพวกเรายังสั้นนัก ทั้งยังไม่มีประสบการณ์ในการต่อสู้กับยอดฝีมือของแต่ละระบบการบำเพ็ญอย่างเพียงพอ” ท่านชายสามเจียวอวิ๋นหลิวพูดขึ้น ด้วยเขาต้องการให้ท่านพ่อช่วยเหลือตงป๋อเสวี่ยอิง

จักรพรรดิเจียวอวิ๋นมองบุตรชายของตนปราดหนึ่ง

เขาเย่อหยิ่งเย็นชา

แต่บุตรชายทั้งสามคนของเขา นับได้ว่ายากที่เขาจะเห็นความสำคัญ สำหรับการให้เหล่าบุตรชายหญิงต่อสู้กันนั้นก็เป็นเพราะเขาคิดว่าผู้อ่อนแอย่อมเป็นเหยื่อของผู้ที่แข็งแกร่งเป็นเรื่องที่จริงแท้แน่นอน มิได้หมายความว่าในส่วนลึกของจิตใจไม่แยแสสนใจบุตรชาย

“ตงป๋อเสวี่ยอิง” จักรพรรดิเจียวอวิ๋นมองมาทางตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างเย็นชา “พูดมาเถิด มีอะไรอยากให้ข้าช่วยหรือ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้งคราหนึ่ง

“มีเพียงครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น เจ้ารีบคว้าโอกาสเอาไว้ดีกว่า” จักรพรรดิเจียวอวิ๋นเอ่ยอย่างเย็นชา เขาย่อมไม่เห็นผู้เคารพที่น่าเหลือเชื่อคนหนึ่งอยู่ในสายตาอยู่แล้ว สุดท้ายต่อให้เป็นผู้ปกครองแล้วอย่างไรเล่า จากเทพแท้ไปเป็นเทพอากาศ…มีกำแพงกั้นสูงยิ่งนัก การบรรลุในก้าวนี้ยากเย็นเป็นที่สุด ไม่ต้องพูดถึงว่าจักรพรรดิเจียวอวิ๋นก็รู้กระจ่างดีว่าเมื่อใดที่จักรวาลแห่งนี้ถึงกาลอวสาน พวกเขาก็จะออกเดินทางไปยังโลกทิพย์ทะเลสัตตดารา ไปติดตามท่านบรรพชน

เหล่าเทพแท้จำนวนหนึ่งเฉกเช่นท่านชายสามยังคิดจะผูกมิตรกับตงป๋อเสวี่ยอิง

ทว่าสายตาของพวกจักรพรรดิเจียวอวิ๋นกว้างไกลยิ่งกว่า…ยังไม่เข้าสู่ชั้นเทพอากาศ เขาก็คร้านจะไปสนใจ แต่เพื่อบุตรชายแล้วเขาก็ปรารถนาจะให้โอกาสตงป๋อเสวี่ยอิงสักครั้งหนึ่ง

ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็รู้สึกได้ถึงความเย็นชาของอีกฝ่าย แต่เขาก็มิได้เก็บมาใส่ใจเลยแม้แต่น้อยแล้วเอ่ยขึ้นทันควันว่า “ข้าน้อยมีสิ่งที่อยากจะขอ เพียงแต่ว่าหาไม่พบมาโดยตลอด”

เพื่อจักรวาลบ้านเกิด

เพื่อการต่อสู้ครั้งสุดท้าย นั่นเป็นการตัดสินชะตาของชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วน ต่อให้อีกฝ่ายเย็นชายิ่งกว่านี้แล้วอย่างไรเล่า

“ว่ามา” จักรพรรดิเจียวอวิ๋นพูด

“ข้าน้อยต้องการสิ่งของสองชิ้นมาโดยตลอด หนึ่งคือโลหิตธาตุของแมลงเพลิงพันเนตรที่เล่าลือกัน ส่วนอีกอย่างก็คือบัญชีหมื่นสรรพสิ่ง สำหรับบัญชีหมื่นสรรพสิ่งนั้นมิได้ขอทั้งเล่ม เพียงแค่ตอนที่สามก็เพียงพอแล้วขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดพร้อมกับมองจักรพรรดิเจียวอวิ๋นไปพร้อมกัน

จักรพรรดิเจียวอวิ๋นขมวดคิ้วมองตงป๋อเสวี่ยอิงปราดหนึ่งพลางเอ่ยเสียงเย็น“เจ้าเป็นผู้เคารพคนหนึ่ง ยังนึกอยากได้โลหิตธาตุของแมลงเพลิงพันเนตรอีกหรือ เจ้ารู้หรือไม่ว่าแมลงเพลิงพันเนตรคือสิ่งใด”

“ไม่ทราบขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายศีรษะ

“ไม่รู้แล้วยังกล้าเปิดปากพูดอีก” จักรพรรดิเจียวอวิ๋นยิ้มเยาะ เขาผู้เป็นถึงระดับนี้ยังให้ความสำคัญต่อสิ่งล้ำค่าอย่างโลหิตธาตุของแมลงเพลิงพันเนตร เขาเองก็เพียงแค่เคยเห็นบันทึกในตำราโบราณที่ท่านบรรพชนมอบให้เท่านั้น

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มิได้โมโห เขารับฟังอย่างเชื่อฟัง ทว่ากลับแอบทอดถอนใจอยู่ภายใน… ดูท่าจะหมดหวังกับโลหิตธาตุของแมลงเพลิงพันเนตรเสียแล้ว ทั้งยังไม่รู้ว่าท่านอาจารย์จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตจะต้องการไปเพื่ออะไร

“โลหิตธาตุของแมลงเพลิงพันเนตรนั้นเป็นไปไม่ได้หรอก ส่วนบัญชีหมื่นสรรพสิ่งนั้นข้าสามารถยกให้เจ้าทั้งเล่มได้” จักรพรรดิเจียวอวิ๋นเอ่ยอย่างไม่แยแส “อีกไม่นานจะมีคนส่งบัญชีหมื่นสรรพสิ่งมา เจ้าก็อยู่รอที่นี่แหละ หลิวเอ๋อร์ ไปกับข้า”

“ขอรับ ท่านพ่อ” ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวไม่กล้าคัดค้าน ทำได้เพียงมองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปว่า “ต่อไปก็ต้องอาศัยตัวเจ้าเองแล้วล่ะนะ”

“ต้องขอบคุณท่านชายเป็นอย่างยิ่งแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ตอบรับ

ต้องขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง

ท่านอาจารย์จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตร้องขอตนในสองเรื่องนี้ ดูจากน้ำเสียงของท่านอาจารย์ในตอนนั้นแล้วจะต้องสำคัญอย่างที่สุด ตนสามารถทำสำเร็จได้เรื่องหนึ่งก็ไม่เลวแล้ว! ถึงอย่างไรตอนที่ตนถามท่านชายสามก่อนหน้านี้ท่านชายสามยังไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยด้วยซ้ำ ส่วนเทพอากาศ ‘จักรพรรดิเจียวอวิ๋น’ ผู้นี้ถึงแม้จะรู้จักวัตถุทั้งสอง ทว่าเห็นได้ชัดเจนว่าไม่มีหวังกับโลหิตธาตุของแมลงเพลิงพันเนตรเลย แต่กลับรับปากจะยกบัญชีหมื่นสรรพสิ่งให้ทั้งเล่ม

“ขอบคุณจ้าวท่านขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยขอบคุณอย่างเคารพนบนอบ

จากนั้นจักรพรรดิเจียวอวิ๋นก็พาท่านชายสาม แปรเป็นลำแสงแล้วหายลับตาไปอย่างรวดเร็ว

ทว่า ‘ผู้ปกครองเอ้อเฉิน’ ที่อยู่ด้านนั้นกลับยิ้มพูดขึ้นว่า “ผู้เคารพตงป๋อ อยากจะท้าทายผู้เคารพภายในบรรพคีรีมาร ข้าจะบอกกฎง่ายๆ ให้เจ้าได้รู้ก่อน”

“ผู้ปกครองเอ้อเฉินเชิญพูดได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย

“มิใช่ว่าผู้ใดมาท้าทายแล้วผู้เคารพสามท่านสามท่านภายในนั้นก็จะตอบรับคำท้าทั้งหมดหรอกนะ ถ้าหากเป็นเช่นนี้ก็เกรงว่าผู้เคารพสามท่านภายในนั้นก็คงต้องคอยตอบรับคำท้าทายทั้งหมดจนไม่มีเวลาบำเพ็ญแล้ว” ผู้ปกครองเอ้อเฉินพูด “อยากจะท้าทาย…ก็ต้องเอาชนะหุ่นเชิดตัวหนึ่งตรงทางเข้าบรรพคีรีมารให้ได้ก่อน หากเอาชนะหุ่นเชิดได้ก็หมายความว่ามีคุณสมบัติพอที่จะไปท้าทายพวกเขาได้”

“จนถึงตอนนี้ผู้เคารพที่สามารถเอาชนะหุ่นเชิดได้มีทั้งสิ้นสิบเอ็ดคน” ผู้ปกครองเอ้อเฉินมองตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มๆ “ก็ยังยากเย็นยิ่งนัก”

“หลังจากเอาชนะหุ่นเชิดแล้ว ผู้เคารพตงป๋อก็จะมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะไปท้าทายผู้เคารพอันดับสองและผู้เคารพอันดับสามภายในบรรพคีรีมาร” ผู้ปกครองเอ้อเฉินพูด “หากชนะ ก็จะไปแทนที่หนึ่งในพวกเขา ลำดับของพวกเขาก็จะขยับถอยไปอยู่หลังอีกคนหนึ่งลำดับ… ผู้ที่อยู่ในลำดับที่สี่ก็จะถูกขับออกจากบรรพคีรีมาร”

“หลังจากชนะแล้วก็สามารถท้าทายต่อไปได้ คราวนี้ก็จะสามารถท้าทายผู้เคารพที่แข็งแกร่งที่สุดได้แล้ว” ผู้ปกครองเอ้อเฉินพูด “เมื่อชนะแล้ว เจ้าก็คือผู้เคารพที่แข็งแกร่งที่สุด สามารถเข้าสู่ชั้นในของบรรพคีรีมารได้!”

“ระหว่างการท้าทาย หากพ่ายแพ้ครั้งหนึ่งแล้ว นึกอยากจะท้าทายอีกก็ต้องรอไปหนึ่งล้านปี!”

ผู้ปกครองเอ้อเฉินยิ้มพูดว่า “เจ้าคงเข้าใจกฎกติกาแล้วกระมัง”

“เข้าใจแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

หากพ่ายแพ้การต่อสู้แล้วก็จะต้องรอไปหนึ่งล้านปีจึงจะสามารถท้าทายใหม่ได้อีก นี่ก็เป็นการป้องกันไม่ให้เหล่าผู้เคารพมาคอยท้าทายไม่หยุดหย่อน เวลาหนึ่งล้านปีจะว่ายาวก็ไม่ยาว แต่หากจะว่าสั้นก็ไม่สั้นแน่นอน มิได้มีผลกระทบต่อการบำเพ็ญมากมายนัก

“อีกประเดี๋ยวคงจะมีบัญชีหมื่นสรรพสิ่งส่งมา เช่นนี้ก็แล้วกัน เจ้าอยู่พักผ่อนที่นี่สักวันหนึ่ง พรุ่งนี้ค่อยเข้าไปในบรรพคีรีมาร ดีหรือไม่ล่ะ” ผู้ปกครองเอ้อเฉินถาม

“ก็ได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า ผ่านไปสามล้านปีแล้ว กับเวลาเพียงแค่วันเดียวเขาคงไม่ต้องรีบร้อนแต่อย่างใด

ผู้ปกครองเอ้อเฉินยิ้มน้อยๆ แล้วเปลี่ยนเป็นลำแสงเหินทะยานไปทางบรรพคีรีมารที่อยู่ไกลออกไป เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีคุณสมบัติจะเข้าไปในบรรพคีรีมารได้!

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็หมุนกายเลือกเพิงหินแห่งหนึ่งเอาตามใจชอบ

ภายในเพิงหินมีค่ายกลไหลเวียนอยู่ ทั้งยังสะอาดเอี่ยมอ่อง ไม่รู้ว่าเป็นผู้แกร่งกล้าในอดีตคนใดทิ้งเอาไว้

ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งขัดสมาธิลงรอคอยอย่างเงียบเชียบ

เวลาล่วงเลยผ่านไป…

ผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วยามกว่าๆ ด้านนอกก็มีเสียงเสนาะหูดังขึ้น “ผู้เคารพตงป๋อ!”

ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินออกไป

หญิงสาวมีหางหน้าตาดีในอาภรณ์สีม่วงผู้หนึ่งแย้มยิ้มเอ่ยว่า “ผู้เคารพตงป๋อ ข้ามาส่งมอบบัญชีหมื่นสรรพสิ่งให้ตามบัญชาของจ้าวท่าน” นางพูดพลางหยิบจานรูปร่างกลมสีทองใบหนึ่งออกมามอบให้ตงป๋อเสวี่ยอิง

ตงป๋อเสวี่ยอิงรับมาด้วยความยินดียิ่ง เขาเปิดปากเอ่ยว่า “ขอบคุณท่านผู้ปกครอง”

ผู้ใต้บังคับบัญชาของจักรพรรดิเจียวอวิ๋นผู้นั้นล้วนเป็นชั้นผู้ปกครองทั้งสิ้น

“เรื่องเล็กน่า”  หญิงสาวผู้นั้นแย้มยิ้มแล้วหมุนกายกลายเป็นลำแสงเหินออกไปจากรัศมีของหินอุกกาบาตนี้ หายลับไปพร้อมกับเวลาที่เคลื่อนผ่าน

ตงป๋อเสวี่ยอิงก้มหน้าลงมองบัญชีหมื่นสรรพสิ่งในมือ เมื่อรับสัมผัสแล้วเขาก็รับสัมผัสได้ถึงข้อมูลอันมากมายที่บรรจุอยู่ภายใน ข้อมูลจำนวนมหาศาลหลั่งไหลเข้าสู่สมอง เวลาผ่านไปราวๆช่วงเวลาจิบน้ำชาถ้วยหนึ่งจึงค่อยหยุดลง เห็นได้ชัดว่าภายในบัญชีหมื่นสรรพสิ่งยังมีข้อมูลอีกจำนวนนับไม่ถ้วน แต่ตนเองกลับไม่สามารถรับได้ไหวอีกแล้ว ด้วยมีค่ายกลอันลึกลับขัดขวางอยู่ ถ้าหากไม่ทำลายเสียก่อนก็มิอาจตรวจดูต่อไปได้อีก

“นี่มิใช่ระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ แต่เป็นระบบ ‘ทิพย์’ ที่ค้นคว้าสรรพสิ่งอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบบ่นพึมพำ

ในตอนนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจระบบมากขึ้นแล้ว

หากพูดถึงระดับความลึกลับ เขารู้สึกว่า ‘ทิพย์’ นี้เป็นระบบเดียวที่สามารถเปรียบเทียบกับ ‘ความเร้นลับของกฎเกณฑ์’ ได้

“ท่านอาจารย์ต้องการสิ่งนี้ไปทำไมกันหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงคิดแล้วคิดอีก จนไม่อยากคิดมากอีกต่อไปแล้ว

พรึ่บ

ไกลออกไป เงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้น ซึ่งก็คือตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์แดง แต่เป็นร่างแยกร่างใหม่ที่มาจากการบำเพ็ญ โดยอาศัยเคล็ดวิชาแยกร่างของท่านอาจารย์ ในตอนนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงมีถึงสามร่างแล้ว

ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์ดำยื่นจานกลมสีทองในมือให้กับตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์แดง

“พรึ่บ” ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์แดงจากไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็สำแดงเคล็ดการหลบหลีกในอากาศ ผ่านเส้นทางจักรวาลที่มาในตอนแรกเส้นนั้นด้วยความเร็วสูงสุด เตรียมตัวกลับไปที่จักรวาลบ้านเกิดเพื่อนำสมบัติล้ำค่าชิ้นนี้ไปมอบให้ท่านอาจารย์จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตก่อน! ในเมื่อมีความสำคัญต่อการต่อสู้มาก ยิ่งส่งมอบให้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น