เข้าสู่ภูเขา โดย Ink Stone_Fantasy
ณ จักรวาลผู้บำเพ็ญ ภายในสวนหย่อมของเรือนไม้แห่งตำหนักเทพคมมีดโลหิต
ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์แดงเดินเข้ามาจากด้านนอกสวน จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตที่รีบรุดมาเพราะสัมผัสรู้อยู่ก่อนแล้วมองดูลูกศิษย์ของตน “เสวี่ยอิง ร่างแยกนี้ของเจ้ากลับมาจากจักรวาลคีรีมาร หรือว่าได้สิ่งนั้นมาแล้วเล่า”
“ขอรับ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงในอาภรณ์แดงพยักหน้า “เพราะท่านชายสามช่วยเหลือ ข้าจึงโชคดีได้พบกับหนึ่งในเทพอากาศแห่งจักรวาลคีรีมารท่านหนึ่ง ข้าได้ขอโลหิตธาตุของแมลงเพลิงพันเนตรนั่นกับเขาแล้ว…ทว่าไม่มีหวังเลยแม้แต่น้อย แต่เขากลับมอบบัญชีหมื่นสรรพสิ่งให้กับข้าหมดทั้งเล่ม” พูดแล้วเขาก็พลิกมือหยิบเอาจานกลมสีทองออกมามอบให้ท่านอาจารย์
จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตมองจานกลมสีทองตรงหน้านี้ด้วยแววตาเป็นประกายเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้น เขายื่นมือมารับมันแล้วก็รับสัมผัสคราหนึ่ง จากนั้นก็เผยสีหน้ายินดีออกมา ข้อมูลมหาศาลภายในจานกลมหลั่งไหลเข้ามา แต่ทว่าเวลาผ่านไปหลายอึดใจเขาจึงได้สติกลับคืนมา
“ดี ดี ดี” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตผู้หยิ่งทรนงเช่นนั้น ในยามนี้กลับมีสีหน้ายินดี สายตาที่มองไปยังจานกลมสีทองในมือก็ร้อนระอุยิ่ง
เขาปรารถนามาเนิ่นนานเหลือเกินแล้ว
สมบัติล้ำค่าสองชิ้นที่เขาปรารถนาเป็นที่สุด หนึ่งคือโลหิตธาตุของแมลงเพลิงพันเนตร ส่วนอีกชิ้นก็คือบัญชีหมื่นสรรพสิ่ง เพราะรู้ว่าจักรวาลคีรีมารมีพลังอำนาจที่กล้าแกร่งกว่ามาก คล้ายว่ามีเบื้องหลังที่ไม่ธรรมดา เอาชนะได้ทั้งแปดจักรวาล ทั้งยังมีความสัมพันธ์กับจักรวาลอื่นๆ อีกจำนวนหนึ่งด้วย ดังนั้นเขาจึงไหว้วานให้ลูกศิษย์ของตนช่วยเหลือ สำหรับความล้ำค่าของโลหิตธาตุแมลงเพลิงพันเนตรนั้น เขาเองก็มิได้รู้กระจ่างนัก ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงบันทึกอย่างง่ายๆของผู้สืบทอดที่ค้นพบเท่านั้น ส่วนบัญชีหมื่นสรรพสิ่งนั้นเขารู้จักดีกว่าเป็นอย่างมาก
เขาเป็นอันดับหนึ่งในด้านการหลอมอาวุธและค่ายกลแห่งจักรวาลผู้บำเพ็ญนั้นก็เป็นเพราะเขาเคยได้รับบัญชีหมื่นสรรพสิ่งตอนที่หนึ่งและสอง ก็ประสบความสำเร็จอย่างไม่ธรรมดาแล้ว
ใช่แล้ว
สมบัติล้ำค่าสองชิ้นนั้นล้วนเพื่อยกระดับพลังของตัวเขาเอง
เพราะหลังจากที่เขาเหยียบย่างเข้าสู่ธรณีประตูของชั้นเทพอากาศแล้วพลังก็ยกระดับขึ้นอย่างมหาศาล สู้กับศัตรูหนึ่งต่อห้าได้ ในตอนนั้นเจ้าลัทธิจอมมารดาทั้งห้าท่านล้วนได้รับบาดเจ็บ แต่เห็นได้ว่าตอนนี้แข็งแกร่งเพียงใด ดังนั้นหากเขายิ่งกล้าแกร่ง ก็ย่อมสามารถช่วยเหลือได้มากยิ่งขึ้น…ถ้าหากสามารถบรรลุกลายเป็นเทพอากาศได้! เช่นนั้นก็สามารถประกาศชัยชนะในสงครามครั้งนี้ได้แล้ว
“เสวี่ยอิง ข้าต้องการบัญชีหมื่นสรรพสิ่งนี่มานมนานเหลือเกินแล้ว คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะช่วยข้าหามันจนพบได้” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตมองตงป๋อเสวี่ยอิงด้วยรอยยิ้ม
“ช่างโชคดีที่ตอนนั้นประมุขเกาะกาลมิติค้นพบทางเชื่อมจักรวาล มิฉะนั้นข้าก็ไม่มีทางไปยังจักรวาลคีรีมารได้หรอกขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “ล้วนเป็นเพราะโชคช่วยทั้งนั้น”
“ไม่มีพลังของเจ้า ก็ทำเช่นนี้ไม่ไหวหรอก” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพยักหน้า “เจ้าอยู่ที่นั่นก็ต้องระวังตัวด้วย ตอนนี้เจ้าไปที่บรรพคีรีมารแล้วหรือ”
“ไปแล้วขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
“ระวังตัวไว้ก่อนล่ะ” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตตักเตือนอีกครั้ง เขาย่อมไม่อยากให้ศิษย์ผู้นี้เอาชีวิตไปทิ้งที่จักรวาลคีรีมาร!
“ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
……
ภายในบรรพคีรีมาร ศูนย์กลางแห่งจักรวาลคีรีมาร
คูหาทั้งสามสิบสองแห่งที่บริเวณชั้นนอกกระจายอยู่ทั่วทั้งสามสิบสองมุมของบรรพคีรีมาร ที่ปากทางเข้าของคูหาแห่งหนึ่งในบรรดาคูหาเหล่านั้น หญิงผมขาวผู้หนึ่งกำลังนั่งกินสุราอาหารตามลำพังด้วยสีหน้าเยียบเย็น นัยน์ตาทั้งสองสาดประกายหนาวเหน็บ “ตงป๋อเสวี่ยอิงหรือ ผู้เคารพที่โผล่มาจากไหนไม่รู้คนหนึ่ง ไม่เคยได้ยินประวัติความเป็นมามาก่อนเลย คล้ายว่าจะมาจากจักรวาลต่างถิ่น ถึงกับเอาชนะจักรพรรดิเทพมารแดงได้เชียวหรือ”
“ผู้เคารพเอาชนะผู้ปกครองอย่างนั้นหรือ” หญิงผมขาวเอ่ยเสียงต่ำ ทั้งน้ำเสียงยังแฝงไว้ด้วยความเยียบเย็น “แล้วตอนนี้ยังเข้ามาที่บรรพคีรีมาร เกรงว่าอีกไม่นานก็ต้องมาท้าทายข้าสินะ”
นาง…
ก็คือหนึ่งในสามของผู้เคารพเห่งบรรพคีรีมาร จัดเป็น ‘ผู้เคารพเทพหิมะ’ ลำดับที่สาม
นางเย็นชาและกล้าแกร่ง เพื่อพลังแล้วก็ไม่เลือกวิธีการลงมือ นางทุ่มเทไปมากมายเหลือเกินกว่าจะสามารถเป็นลำดับที่สามที่เข้าสู่บรรพคีรีมารได้ ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงที่กำลังจะมาก็เหมือนกับเมฆครึ้มที่ปกคลุมนาง นางรู้สึกได้ถึงแรงกดดันอันไร้รูปร่าง… ถึงอย่างไรตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไม่เหมือนกับบรรดาผู้ท้าทายในอดีตเหล่านั้น เขาเคยกำราบจักรพรรดิเทพมารแดงมาแล้ว!
“ไม่ ข้าทุ่มเทไปตั้งมากมายถึงเพียงนั้นกว่าจะเข้าสู่บรรพคีรีมารได้ ที่นี่คือที่ของข้า ย่อมไม่มีทางยอมให้ผู้อื่นมาแย่งชิงไปโดยง่ายอยู่แล้ว” หญิงผมขาวทั้งร้อนรนทั้งโมโห แต่ก็มิอาจทำอะไรได้
เพราะกฎของบรรพคีรีมารเคร่งครัดยิ่ง ผู้ใดก็มิกล้าวู่วาม
“ไป… ไปดูตงป๋อเสวี่ยอิงที่เข้ามาในบรรพคีรีมารผู้นั้นให้ข้าที หากมีความเคลื่อนไหวก็รีบมารายงานข้าทันที” หญิงผมขาวมองไปทางข้ารับใช้ชราที่อยู่ด้านข้าง ซึ่งข้ารับใช้ผู้นี้เป็นสิ่งมีชีวิตหุ่นเชิด เพราะภายในบรรพคีรีมารนี้ นอกจากเทพอากาศ ผู้ปกครองสามสิบเก้าท่าน และผู้เคารพสามท่านแล้ว ก็ไม่มีวิญญาณที่มีชีวิตจริงๆอยู่อีกแล้ว ล้วนเป็นหุ่นเชิดด้วยกันทั้งสิ้น
“ขอรับ นายท่าน” ข้ารับใช้ชรารับบัญชาด้วยความเคารพแล้วมุ่งหน้าไปยังทางเข้าบรรพคีรีมารในทันที
หญิงผมขาวหยิบจอกเหล้ามาแล้วบีบจอกเหล้าในมือจนแหลกเป็นผุยผงอย่างมิอาจควบคุมตนเองได้ นางเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ผู้ใดก็อย่าได้คิดจะช่วงชิง ผู้ใดก็อย่าได้คิด!”
******
ตงป๋อเสวี่ยอิงไปจากหินอุกกาบาตด้วยการนำทางของ ‘ผู้ปกครองเอ้อเฉิน’ แล้วเหินทะยานไปยังทางเข้าของบรรพคีรีมาร
พวกเขาร่อนลงตรงบริเวณทางเข้า
บริเวณทางเข้ามีเวทีขนาดมหึมาแห่งหนึ่ง ส่วนลึกของเวทีก็คือทางเข้าแห่งหนึ่ง ด้านข้างของทางเข้ายังมีอักษรสัญลักษณ์เขียนว่า… ‘คีรีมาร’! ตงป๋อเสวี่ยอิงตื่นตะลึงในใจ ด้วยรู้สึกได้ถึงความกดดันของอักษรสัญลักษณ์ขนาดมโหฬารนั้น เขาลอบบ่นพึมพำ “อักษรสัญลักษณ์นี้ หรือว่าจะเป็นสิ่งที่ว่ากันว่าท่านบรรพชนทิ้งเอาไว้กันหนอ”
ลำพังแค่ตัวอักษรสัญลักษณ์ก็ทำให้ตนเกิดความรู้สึกกดดันเช่นนี้แล้ว จะต้องมีพลังระดับใดกัน
“พรึ่บ…”
“เจ้าเด็กนี่มาอีกแล้วหรือ”
สองเสียงดังขึ้นต่อเนื่องจนคล้ายกับจะดังขึ้นในเวลาเดียวกัน
เห็นเพียงว่าสองข้างของทางเข้า มีคูหาสองแห่งแยกจากกัน ภายในคูหาหนึ่งในสองแห่งมีหุ่นเชิดสัตว์ประหลาดขนาดมหึมาตัวหนึ่งเดินออกมา หุ่นเชิดสัตว์ประหลาดดูคล้ายกับลิงอุรังอุตังอยู่เล็กน้อย แขนยาวเหยียดสองข้าง แต่บนหัวของมันมีเขาโค้งขนาดยักษ์สองข้าง ตลอดร่างก็หลอมขึ้นจากโลหะพิสดาร ส่วนคูหาอีกแห่งมีหญิงชราถือไม้เท้าที่ดูแสนธรรมดาเดินออกมา
“คารวะท่านผู้ดูแลเขา” ผู้ปกครองเอ้อเฉินทักทายเล็กน้อย
ตงป๋อเสวี่ยอิงก็กล่าวทักทายในทันใด
“เขาก็คือผู้เคารพตงป๋อเสวี่ยอิงที่เจ้าบอกว่าจะเตรียมตัวเข้าไปท้าทายน่ะหรือ” หญิงชราที่ถือไม้เท้ามองตงป๋อเสวี่ยอิง
“ใช่ขอรับ” ผู้ปกครองเอ้อเฉินพูด
“ไปกันเถิด” หญิงชราและสัตว์ประหลาดเดินตรงไปข้างหน้าพร้อมกัน ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงกับผู้ปกครองเอ้อเฉินก็ติดตามอยู่ด้านหลัง
ห่างจากด้านข้างของทางเข้าออกไปไม่ไกลนัก มีทะเลสาบอยู่แห่งหนึ่ง
หลังจากที่หญิงชราและหุ่นเชิดสัตว์ประหลาดตัวนั้นเดินจากไปแล้ว หญิงชราก็ยกไม้เท้าลงไปกวนน้ำในทะเลสาบรอบหนึ่ง ซ่า… สายน้ำสายหนึ่งพุ่งขึ้นมาแล้วลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ก่อนจะกลายเป็นทหารสีเงินยวงคนหนึ่ง เขาร่อนลงบนผิวดิน นัยน์ตาฉายแววงงงัน
“นี่คือหุ่นเชิดกำเนิดใหม่ ออกจะโง่งมสักหน่อย” หญิงชราที่ถือไม้เท้าเอ่ยตามอำเภอใจ “ถึงแม้จะเป็นหุ่นเชิดระดับผู้ปกครอง แต่เนื่องด้วยถือกำเนิดขึ้นใหม่ ก็จะยังต่อสู้ไม่เก่งนัก แต่ก็เหมาะสมที่จะทำการทดสอบกับบรรดาผู้เคารพอย่างเช่นพวกเจ้านี้”
“หุ่นเชิดระดับผู้ปกครองหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองทะเลสาบปราดหนึ่ง
ทะเลสาบเงียบสงบ ไม่มีระลอกคลื่นใดแม้แต่น้อย
เพียงแค่สายน้ำสายหนึ่งก็กลายเป็นหุ่นเชิดระดับผู้ปกครองตนหนึ่งได้ ที่แท้แล้วนี่มันคือทะเลสาบอันใดกัน
“ระวังหน่อยนะ” ผู้ปกครองเอ้อเฉินพูดอยู่ข้างๆ “ถึงแม้ว่าจะเพิ่งสร้างขึ้นมาหมาดๆ แต่เขาถูกสร้างขึ้นมาจากน้ำในทะเลสาบมาร ทั่วทั้งบรรพคีรีมาร…เท่าที่ข้ารู้ สิ่งที่มีพลังลึกล้ำยากคาดเดาเป็นที่สุดก็คือทะเลสาบแห่งนี้แหละ…กระทั่งเหล่าจ้าวก็ล้วนมิใช่คู่ต่อสู้ของมัน เด็กที่แปลงมาจากสายน้ำที่มันสุ่มเลือกออกมานั้นยิ่งไร้เดียงสามากเท่าใด พลังก็ยิ่งกล้าแกร่งมากเท่านั้นแหละ”
“เข้าใจแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
“ตุ๊กตาตัวน้อย” หญิงชราที่ถือไม้เท้าตบไหล่ของทหารสีเงินยวงแล้วชี้ไปที่ตงป๋อเสวี่ยอิง “อีกประเดี๋ยว คอยฟังคำสั่งข้า พอข้าให้เจ้าลงมือเจ้าก็มุ่งเข้าไปสังหารเขาอย่างสุดกำลังเลยนะ”
และในขณะนี้เอง…
ณ สถานที่อีกแห่งบนบรรพคีรีมาร เช่นเดียวกับข้ารับใช้ของหญิงผมขาว ยังมีเหล่าผู้ปกครองที่รู้สึกเบื่อหน่ายอยู่จำนวนหนึ่ง ต่างก็คอยมองสอดส่องประตูทางเข้า ชมดูการต่อสู้คราวนี้ ทว่าพวกเขาล้วนได้ยินมาแล้วว่ามีผู้เคารพที่เกิดขึ้นมาใหม่ผู้มีนามว่า ‘ตงป๋อเสวี่ยอิง’ สามารถเอาชนะจักรพรรดิเทพมารแดงได้ ก็ย่อมมีความหวังที่จะเข้าสู่บรรพคีรีมารได้สำเร็จ
“เขาก็คือตงป๋อเสวี่ยอิงหรอกหรือ”
“ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยแม้แต่จะได้ยินชื่อมาก่อนเลย ไม่รู้ว่ามาจากจักรวาลแห่งใดกัน” ผู้ปกครองเหล่านี้มีบางส่วนที่ยังนั่งล้อมวงร่ำสุราอาหารกันสองสามคน ดื่มสุราสนทนาไปพลาง ดูชมการต่อสู้นี้ไปพลาง