ตอนที่ 409 เปลี่ยนวิธีกักบริเวณ
ตอนที่ฮ่องเต้เสด็จถึงตำหนักฉือหนิงนั้น ก็ได้ยินเสียงหัวเราะ อย่างไรก็ไม่เหมือนกับเสียงที่ควรจะมีอยู่ในวัง คนทั่วไปคุยเล่นสนุกกันถึงได้เป็นเสียงเช่นนี้ ในวังคนไม่ค่อยมีความผูกพันนัก ฮ่องเต้มีชีวิตกว่าครึ่งแล้ว ห้าขวบก่อนยังสนุกสนาน หลังจากห้าขวบแล้ว ความสามารถที่เหล่าองค์ชายควรจะมีก็ต้องเรียนรู้ทุกอย่าง นักปราชญ์ใหญ่ทำหน้าบูดบึ้งสั่งสอน สั่งสอนเสร็จแล้วฮ่องเต้ก็สั่งสอนต่ออีก ชีวิตวัยเด็กช่างน่าเบื่อยิ่งนัก พระองค์จึงค่อยๆ มีนิสัยบึ้งตึงเช่นนี้ เสียงหัวเราะที่สนุกสนานนี้ พระองค์ไม่ได้ยินมานานเพียงใดแล้ว
ขันทีส่งสาส์นขานเสียงดังว่า “ฝ่าบาทเสด็จ” เสียงหัวเราะข้างในก็หยุดลงทันที พระองค์สะบัดแขนเสื้อก้าวเข้าไปในตำหนัก พยายามปั้นพระสรวลออกมา พระองค์ประคองเหลียงอู๋เย่ว์ขึ้นมาก่อน หางพระเนตรกวาดผ่านเว่ยหมิ่น กำปั้นที่ซ่อนอยู่ในฉลองพระองค์ก็กำแน่นขึ้นไปอีก ตรัสว่าไม่ต้องมากพิธี ให้นั่งเสีย
“เมื่อคืนเพิ่งได้รับรายงาน เฝิงเยี่ยไป๋ทำงานสมกับราชโองการเสียจริง พอถึงสุยหนิงก็ประหารคนโกงกินแทนเรา วันนี้ตอนเช้าก็ได้ยินว่าเว่ยหมิ่นมีครรภ์ เรื่องดีมาต่อเนื่องกัน เรารู้สึกปีติยิ่งนัก!”
เว่ยหมิ่นและเหลียงอู๋เย่ว์หัวเราะแห้งๆ ไทเฮาลูบเล็บบนมือทูลว่า “ข่าวฝ่าบาทไวเสียเหลือเกิน เว่ยหมิ่นเพิ่งจะบอกว่าจะให้คนไปทูลฝ่าบาทอยู่เลย พระองค์ก็เสด็จถึงเสียแล้ว ก็ดี ไม่ต้องเสียเวลา”
ฮ่องเต้กัดฟันจนปวด พระหัตถ์ซ่อนอยู่ในฉลองพระองค์ อดทนข่มกลั้นไว้สุดความสามารถถึงได้รักษาพระพักตร์ไว้ไม่ทรงกริ้ว ได้ยินเช่นนี้ พระองค์ก็ดื่มชาตรัสว่า “บ่าวข้างล่างคุมปากไม่อยู่ ข่าวอะไรตกถึงปากพวกเขา พูดต่อๆ กันมา จะรู้ข่าวยังไม่ง่ายหรือ” จากนั้นพระองค์ก็เหลือบมองเว่ยหมิ่น “เมื่อก่อนอยู่ไม่เคยนิ่งเลย ตอนนี้ตัวเองมีลูกแล้วถึงรู้ว่าต้องหยุด เป็นแม่คนว่าแล้วก็ไม่เหมือนเดิม”
เว่ยหมิ่นวางท่าสงบ ตอบเป็นกลางๆ ว่า “ก็ไม่ใช่หรือ มีลูกแล้ว ชีวิตหลังจากนี้ก็มีที่พึ่งพิง ย่อมต้องสงบเสียหน่อย”
ฮ่องเต้คิดอย่างโกรธแค้น น่าเสียดายที่ลูกคนนี้ไม่ใช่ของพระองค์ ความคิดลอยออกไปไกล ยิ่งคิดก็ยิ่งกริ้ว จึงเพ่งไปที่เหลียงอู๋เย่ว์ “เราจำได้ว่าพวกเจ้ายังไม่ได้จัดงานอภิเษกกระมัง แม้ว่าตอนนี้จะเป็นสามีภรรยาตามชื่อกันแล้วอยู่จริง เพียงแต่พิธีก็ยังขาดไม่ได้ เว่ยหมิ่นแม้จะเป็นท่านหญิง เพียงแต่ของกินของใช้ ก็ควรจะตามฐานะองค์หญิงจัดเตรียมลงไป เราชูนางอยู่ในอุ้งมืออยู่ตลอด เอาเช่นนั้นเถิด ใช้โอกาสที่ตั้งครรภ์มีโชคลาภอยู่นี้ เริ่มเตรียมงานอภิเษกตอนนี้เสียเถิด ไทเฮาว่าอย่างไร”
ไทเฮายังไม่ตั้งสติกลับมา นางอึ้งอยู่นานถึงได้ทูลว่า “จัดงานอภิเษกตอนนี้? ของที่ใช้จัดงานอภิเษกยังไม่ได้เริ่มเตรียมเลย อีกอย่างหากจัดตามระเบียบแล้ว อย่างน้อยก็ต้องหลายเดือน ตอนนี้เว่ยหมิ่นกำลังตั้งครรภ์อยู่ ไม่ควรเหนื่อยล้าเกินไป นี่… เกรงว่าจะไม่เหมาะพ่ะย่ะค่ะ!”
“มีอะไรไม่เหมาะหรือ” ฮ่องเต้บีบแก้วชา หลังพระหัตถ์มีเส้นเลือดนูนขึ้น “จะรอให้เด็กคลอดออกมาแล้วค่อยแต่งงานก็ไม่ได้กระมัง เช่นนั้นก็ไม่ถูกต้องตามระเบียบ แพร่ออกไปก็ไม่ดีกับชื่อเสียงของท่านหญิง”
พระองค์เป็นฮ่องเต้ มีความน่ายำเกรงของฮ่องเต้ คำพูดที่ตรัสออกมาก็มีความเด็ดขาดที่ไม่อาจปฏิเสธได้ พระองค์เหลือบมองเหลียงอู๋เย่ว์ที่นั่งอยู่ข้างล่างพูดอีกว่า “จวิ้นหม่าไม่มีจวนอยู่ที่เมืองหลวง… ไม่เช่นนั้นเถิด ให้ท่านหญิงเข้ามาอยู่ในวังก่อน ให้จวิ้นหม่าเตรียมงานอภิเษกอยู่ที่จวนท่านหญิง ถึงเวลาค่อยรับท่านหญิงจากวังกลับไปจวนท่านหญิง ไทเฮา ท่านว่าอย่างไร”
ไทเฮาส่ายหน้าไม่หยุด “ไม่เหมาะๆ ข้าไม่เห็นด้วยที่ฝ่าบาททำเช่นนี้”
ความรักของพระองค์ที่มีต่อเว่ยหมิ่น นั่นก็เป็นถ่านไฟเก่า ไทเฮาไม่พูดออกมา ก็ไม่ได้หมายความว่านางจะไม่รู้ ให้เว่ยหมิ่นอยู่ในวัง ไม่เท่ากับเปลี่ยนวิธีกักบริเวณนางหรือ
ตอนที่ 410 เจ้าอยากให้ข้าท้องลูกแล้วเป็นหม้ายหรือ
งานอภิเษกเป็นเรื่องดี เพียงแต่จะให้นางอยู่ในวังเพื่อจัดเตรียมงานอภิเษกไม่ได้เด็ดขาด เว่ยหมิ่นลุกขึ้นมา สีหน้าดื้อดึงยังคงเหมือนเดิม “ไม่ได้ ตั้งแต่อดีตมา องค์หญิงแต่งงานล้วนต้องสร้างจวนอยู่ข้างนอก ไม่เคยมีเรื่องที่รอแต่งงานอยู่ในวังมาก่อนเลย เว่ยหมิ่นเป็นเพียงท่านหญิง อย่างไรเสียก็ไม่อาจทำลายระเบียบนี้ ขอให้ฝ่าบาททรงดำริอย่างรอบคอบ”
ฮ่องเต้พูดอย่างไม่แยแสว่า “ระเบียบเป็นของตาย คนมีชีวิต ระเบียบที่บรรพบุรุษตั้งเอาไว้ย่อมไม่ได้ผิด เพียงแต่ก็ต้องรู้จักเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม” พระองค์ถามเหลียงอู๋เย่ว์อีกว่า “เจ้าว่าอย่างไรล่ะ”
เหลียงอู๋เย่ว์ย่อมรู้ว่าเว่ยหมิ่นอยู่ในวังไม่ใช่เรื่องดีอะไร เขาเพิ่งจะบอกว่าจะปกป้องแม่ลูกเว่ยหมิ่น จะคืนคำเร็วเช่นนี้ไม่ได้ เขาเป็นเพียงคนไม่มีฐานะ พูดอะไรก็ไร้น้ำหนัก เพียงแต่ก็ยังทำคอแข็งทูลว่า “กระหม่อมรู้สึกว่าฝ่าบาทตรัสมามีเหตุผล กระหม่อมออกจากจวนท่านหญิงก่อนได้ จากนั้นค่อยสร้างจวนใหม่จัดเตรียมงานอภิเษก ท่านหญิงยังคงอยู่ในจวนท่านหญิงรองานอภิเษกเป็นพอ”
ฮ่องเต้ส่ายพระเศียร “ของที่ท่านหญิงต้องใช้ในงานอภิเษกล้วนให้กองพระภูษาและราชสำนักภายในทำ อยู่ในวังสะดวกกว่า เรารู้สึกว่าที่เจ้าพูดถึงไม่เหมาะ เอาเป็นเช่นนี้เลย ฟังเรา”
เหลียงอู๋เย่ว์จ้องใส่พระองค์ “ฝ่าบาท…”
เว่ยหมิ่นโกรธขึ้นมา “ฝ่าบาท ในเมื่อราชโองการก็มีแล้ว งานอภิเษกก็เป็นเพียงพิธีเท่านั้น ข้ารู้สึกว่าจะมีหรือไม่ก็ได้ ต่อให้ไม่มีงานอภิเษกข้าก็ไม่สนใจนัก ขอให้ฝ่าบาทถอนรับสั่งกลับไป”
ฮ่องเต้ไม่ได้ฟังเลย พระองค์ยืนขึ้นเสด็จไปที่ประตู ถอนหายใจยาวๆ ตรัสสั่งหลี่เต๋อจิ่งว่า “ให้คนเก็บกวาดตำหนักอวี้ชิ่งให้ท่านหญิงพัดก่อน แล้วสั่งราชสำนักภายใน ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป เริ่มจัดเตรียมงานอภิเษกท่านหญิง เรื่องนี้ไม่ต้องคุยกันอีก!”
พระองค์พูดจบ ก็สะบัดแขนเสื้อจากไป นี่ก็คือวิถีฮ่องเต้ของพระองค์ ไม่อยากได้ยินก็ไม่ฟัง ที่ตัวเองต้องการ ไม่ต้องสนว่าคนอื่นมีท่าทีอย่างไร บังคับใส่ให้กับเจ้า อย่างไรเสียพระองค์ก็เป็นฮ่องเต้ คำพูดของฮ่องเต้ก็คือราชโองการ ตรัสออกมาแล้ว ก็ต้องทำตาม
เว่ยหมิ่นโกรธจนปวดท้อง เหลียงอู๋เย่ว์แค้นจนกัดฟัน เรียกคนไปเชิญหมอหลวงมา เขาเริ่มรู้สึกควบคุมตัวเองไม่ได้ หันหลังจะจากไป เว่ยหมิ่นดึงเขาเอาไว้ “เจ้าจะไปที่ใด”
“ข้าจะไปหาฝ่าบาท พระองค์ทำเช่นนั้นไม่ได้ พระองค์อาศัยอะไรมาแยกพวกเราออกจากกัน ข้าจะไปหาพระองค์ถามเอาเหตุผล!”
“เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้!” เว่ยหมิ่นกุมท้องลุกขึ้นมา “เจ้าไปหาเรื่องตาย? พระองค์อยากให้เจ้าไปหาอยู่เลย ถึงตอนนั้นหาความผิดอะไรมาใส่ให้เจ้าก็พอจะตัดศีรษะเจ้าได้แล้ว เจ้าอยากให้ข้าท้องลูกแล้วเป็นหม้ายหรือ”
ไทเฮาทุบอกถอนหายใจ “เป็นความผิดของข้า ข้า… ข้าไม่ควรให้เจ้าเข้าวังเลย ข้ายังคิดว่าพระองค์… นึกไม่ถึงว่า… เฮ้อ!”
เว่ยหมิ่นหันกลับมาปลอบไทเฮา “พระปิตุจฉา ท่านก็อย่าได้โทษตัวเองเลย ไม่เกี่ยวกับท่าน เป็นข้าเองที่เข้าวังมาแจ้งข่าวดีให้ท่าน เพียงแต่ข้านึกไม่ถึงว่า ตอนนี้ฮ่องเต้ได้กลายเป็นเช่นนี้”
“เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี จะให้ข้าปล่อยเจ้าอยู่ในวังไม่ได้กระมัง!” เหลียงอู๋เย่ว์เป็นคนหัวดื้อ ในใจเกิดความโกรธขึ้นมา จะกดอย่างไรก็ไม่ลง “ใครจะรู้ว่าในพระทัยฮ่องเต้คิดอะไรอยู่ อย่างไรเสียข้าก็รู้สึกไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ ให้เจ้าอยู่ที่นั่นคนเดียวข้าไม่ไว้ใจ แถมยังให้เจ้าพักอยู่ตำหนักอวี้ชิ่ง นั่นเป็นที่พักของพระสนม หากในพระทัยพระองค์สะอาด จะให้เจ้าพักอยู่ที่นั่นได้อย่างไร ในพระทัยพระองค์ต้องมีความคิดแอบแฝงกับเจ้า พระองค์คิดไม่ซื่อนัก!”
ในตำหนักฉือหนิงมีบรรยากาศเศร้าหมองนัก เว่ยหมิ่นกลับไม่ได้เป็นห่วงตัวเอง นางเป็นห่วงฮ่องเต้จะทำร้ายเหลียงอู๋เย่ว์