ตอนที่ 509 หนทางลำบาก

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 509 หนทางลำบาก

ในยามนี้ ต่งชูหลานเองก็ได้เงยหน้าขึ้นมาจ้องเยี่ยนซีเหวินเขม็ง เยี่ยนซีเหวินรินสุราให้กับฟู่เสี่ยวกวน และกล่าวยิ้ม ๆ ออกมาว่า “ชูหลานเอ๋ย พวกเราต่างก็เป็นศิษย์จากสำนักศึกษาเดียวกัน อีกทั้งยังเป็นสหายกันอีกด้วย ข้ารู้ทักษะการดื่มสุราของเจ้าดี แต่คืนนี้เจ้าอย่าได้ช่วยเขาดื่มเลย”

“เอ่ยตามจริง ข้าอยากดื่มสุรากับเขายิ่ง เพราะเรื่องบทกวีและบทความข้ามิอาจเทียบเขาได้ การปกครองก็มิดีเท่า ข้ามักค้นหาเสมอว่ามีเรื่องใดที่ข้าเก่งกาจกว่าเขา คิดไปคิดมา คาดว่าหากเป็นเรื่องดื่มสุราแล้วข้าจะเอาชนะเขาได้”

เมื่อได้ยินดังนั้น ทุกคนจึงหัวเราะขึ้น หยูเวิ่นหวินเองก็ป้องปาก มินึกเลยว่าเยี่ยนซีเหวินที่หายไป 2 ปี จะรู้จักเอ่ยมากขึ้น

วันนี้ฟู่เสี่ยวกวนมีความสุขเป็นอย่างมาก เยี่ยนซีเหวินผู้นี้มีความสามารถ เขามิได้ทำตัวลอยไปลอยมาอยู่ในเขตเหยา เขาสามารถปกครองที่แห่งนั้นได้เป็นอย่างดี ทั้งยั้งสนใจเรื่องอู่ต่อเรืออย่างแท้จริง

ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจเทหมดหน้าตักด้วยเช่นกัน แค่เมามิใช่หรือ ?

ชายฉกรรจ์ ชีวิตหนึ่งย่อมเมามายอยู่หลายครา

ฟู่เสี่ยวกวนจึงยอมปล่อยวางทุกสิ่งลงอย่างสิ้นเชิง หลังจากดื่มกับเยี่ยนซีเหวินไปแล้วหนึ่งจอก จึงได้เริ่มเวียนจากเยี่ยนเป่ยซี วนไปจนครบหนึ่งรอบ สุดท้ายเยี่ยนหลินชิวก็ได้หยิบสุราขึ้นมาอีกขวด

“พวกเรามิขอกล่าวขอบคุณอันใดให้มากความ เยี่ยงไรเสียชาวบ้านจำนวนมากในอำเภอชวูอี้และอำเภอผิงหลิงก็ยกให้เจ้าเป็นผู้มีพระคุณแล้ว นี่คือเรื่องจริง ดังนั้น พวกเรามาดื่มสามจอก ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนมิปฏิเสธ เขาดื่มสุรากับพวกเยี่ยนเป่ยซีจนถึงยามดึก จึงออกอาการเมามาย

เยี่ยนเสี่ยวโหลวต้มซุปแก้อาการเมาให้สามี เยี่ยนฉางชื่อส่งสายตาให้กับเยี่ยนฮ่าวชู อีกฝ่ายจึงหัวเราะร่าแล้วกล่าวกับบิดาว่า “หรือว่า จะพาเขาไปดื่มชาดีเล่า ? ”

ใบหน้าเปี่ยมความชราของเยี่ยนเป่ยซีกระจ่างใสขึ้น ลูบเครายาวอยู่ชั่วครู่จากนั้นจึงพยักหน้า

เยี่ยนเสี่ยวโหลวประคองฟู่เสี่ยวกวนไปยังห้องน้ำชา เยี่ยนซีเหวินเองก็เริ่มมีอาการเมามายถึงเจ็ดส่วน จึงได้นั่งลงพร้อมกับความมึนงงเล็กน้อย และต้มน้ำชา

เขาตบบ่าของฟู่เสี่ยวกวน “น้องเขยเอ๋ย พี่เขยขอเอ่ยความในใจกับเจ้าเสียหน่อย ข้าอยู่ที่เขตเหยามาถึง 2 ปีจนลืมไปแล้วว่าแท้จริงตนเป็นนักประพันธ์ มีงานยุ่งอยู่ตลอดทั้งวันและมิเคยได้ประพันธ์กวีเลยแม้แต่บทเดียว ประจวบเหมาะกับในวันนี้ อารมณ์กำลังพลุ่งพล่าน เยี่ยงนั้นแล้ว…เจ้าช่วยประพันธ์บทกวีให้ข้าชื่นชมอีกสักบทได้หรือไม่ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนสับสนเล็กน้อย และเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างดัง

“ก็แค่การประพันธ์บทกวีมิใช่หรือ ? เรื่องนี้ง่ายเสียยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด…” เขาลุกขึ้นยืนโงนเงน และตะโกนเสียงดังว่า “นำพู่กันและหมึกมา ! ”

เมื่อแม่ยายได้ยินดังนั้น ไอหยา ! วันนี้บุตรเขยจะประพันธ์บทกวีเยี่ยงนั้นหรือ ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่ง ดังนั้นนางจึงสั่งให้บ่าวรับใช้นำพู่กัน หมึก และกระดาษมา

ใบหน้าของเยี่ยนเป่ยซีแต้มไปด้วยรอยยิ้มบางเบา ลอบคิดไปว่าเจ้าเด็กนี่เมามายถึงเพียงนี้แล้วยังประพันธ์บทกวีได้อยู่อีกเยี่ยงนั้นหรือ ?

เยี่ยนฮ่าวชูและเยี่ยนซือเต้าเองก็ค่อนข้างประหลาดใจ ได้ยินมาเนิ่นนานแล้วว่าเด็กนี่ประพันธ์บทกวีได้ภายในสามก้าว แต่ในตอนนี้เขาเมามายถึงเพียงนี้ คาดว่ากวีบทนี้คงจะประพันธ์ออกมาได้มิดีเท่าใดนัก

พวกหยูเวิ่นหวินเองก็มองสามีของพวกนางด้วยความขบขัน เยี่ยนเสี่ยวโหลวลุกเดินเข้าไป หวังจะช่วยประคอง คาดมิถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะหัวเราะน้อย ๆ และประทับจุมพิตไว้บนใบหน้าของนาง “วาง…ใจเถิด สามี…มิ มิเมา ! ”

เยี่ยนเสี่ยวโหลวหน้าขึ้นสีแดงก่ำจนลามไปถึงใบหู ตกใจตาโตขึ้นมาทันพลัน ยังจะกล้าเอ่ยว่ามิเมาอยู่อีก ! ที่นี่มิใช่จวนฟู่ของเจ้านะ !

เยี่ยนซีเหวินหัวเราะร่า น้องเขยผู้นี้ เป็นผู้ที่ทำตามอารมณ์อย่างแท้จริง ทั่วทั้งใต้หล้านี้เกรงว่าจะมีเพียงเขาเท่านั้นที่เพิกเฉยต่อประเพณี

ฟู่เสี่ยวกวนเดินโซเซมาจนถึงโต๊ะเขียนหนังสือ เขายื่นมือไปคว้าพู่กัน แต่กลับถือไว้มิไหว เขาจึงยิ้มอย่างขัดเขิน “เสี่ยวโหลว เจ้ามาเขียนเถิด สามี…เหมือนว่า จะเมาเล็กน้อยแล้ว”

เยี่ยนเสี่ยวโหลวจ้องเขาตาเขม็ง หยิบพู่กันขึ้นมา แต่ในใจกลับปลื้มปิติยิ่ง เขาจะประพันธ์กวีแบบใดออกมากัน ?

ฟู่เสี่ยวกวนใช้สองมือไพล่หลัง เงยหน้าขึ้นมองหลังคา

“บทกวีนี้มีนามว่า ‘หนทางลำบาก’ ”

“พวกท่านจงฟังให้ดี ข้าจะประพันธ์กวีแล้ว ! ”

เยี่ยนซีเหวินหัวเราะขึ้นมาอีกครา นี่เป็นคราแรกที่เยี่ยนหลินชิวจะได้เห็นฟู่เสี่ยวกวนประพันธ์บทกวี ในใจรู้สึกคันยุบยิบ แทบอยากจะขึ้นไปมอบฝ่ามือให้แก่เขา… มารดาเจ้าเร่งรีบประเดี๋ยวนี้เลย !

“สุราบริสุทธิ์ในจอกทองอันล้ำค่า อาหารเลิศรสในจานหยกนับหมื่นเหรียญ

ทิ้งจอกโยนตะเกียบกลืนมิลง ชักกระบี่มองรอบทิศใจงุนงง

หวังข้ามฮวงโหหิมะกลับปิดกั้น อยากปีนไท่หางหิมะก็คลุมขุนเขา

ปล่อยวางการตกปลา ณ ปี้ซี ทันใดนั้นก็ทบทวนฝันวันนั้นที่พายเรือ

หนทางลำบาก หนทางลำบาก ทางแยกมากมาย ความสงบอยู่หนใด ? ”

เขาส่ายหน้าและค่อย ๆ ยกแขนขึ้น น้ำเสียงพลันคึกคักขึ้นมา

“มีช่วงเวลาฝ่าคลื่นลม เพียงแขวนใบเรือเมฆาและทะยานไปในทะเล”

…..

เพียง หนทางลำบาก ถูกเอื้อนเอ่ยออกมา ภายในห้องโถงก็ไร้สุ้มเสียงขึ้นมาทันพลัน ได้ยินแม้กระทั่งเสียงของลมหายใจ

เจตนาดั้งเดิมของบทกวีนี้ก็คือ เซียนกวีเขียนขึ้นในยามที่ถูกบีบคั้นให้ออกจากฉางอาน ระบายความลำเค็ญบนเส้นทางการเมือง แสดงออกถึงอารมณ์เดือดดาลของเซียนกวี ในขณะเดียวกันก็อธิบายถึงฟู่เสี่ยวกวนที่ยังคงเฝ้าคอยว่าในสักวันหนึ่งจะสามารถแสดงความทะเยอทะยานที่เต็มอกนี้ออกมาได้ แสดงถึงตนที่มองอนาคตอย่างมีความหวังและความกล้าหาญองอาจ เต็มไปด้วยอารมณ์ของความเพ้อฝันในแง่บวก

ทว่าในหูของเยี่ยนเป่ยซีและผู้อื่นกลับมิได้เป็นเยี่ยงนั้น

พลันนึกถึงนโยบายใหม่ที่กำลังผลักดันอยู่ในราชวงศ์หยู ภาระอันหนักหน่วงในการปฏิรูปที่แบกอยู่บนบ่าของฟู่เสี่ยวกวน

ทางเส้นนี้ ก็คือทางของการปฏิรูป !

มิเคยมีผู้ใดเดินบนเส้นทางนี้มาก่อน ทำได้เพียงอาศัยสติปัญญาของตนในการคลำทาง ดังนั้นหนทางสายนี้จึงยากที่จะเดินไปได้โดยปริยาย

บทกวีนี้แสดงให้เห็นถึงความลังเลของฟู่เสี่ยวกวนที่เคยมีต่อเส้นทางการปฏิรูป จนถึงขั้นมีความคิดที่อยากจะปล่อยวางลง ปล่อยวางการตกปลา ณ ปี้ซี ทันใดนั้นก็ทบทวนฝันวันนั้นที่พายเรือ นี่คือความจริงที่เขาเคยมีความตั้งใจจะล่าถอย

สภาพจิตใจนี้ ในสายตาของเยี่ยนเป่ยซีถือเป็นเรื่องปกติ ฟู่เสี่ยวกวนยังอายุมิถึงสิบแปดดีเลยด้วยซ้ำ แต่กลับต้องแบกรับภาระหน้าที่อันใหญ่หลวง หากล้มเหลว จะต้องพ่ายแพ้และสิ้นชื่อเสียยับเยิน พร้อมกับถูกผู้คนนับหมื่นประณาม

เดิมทีชายหนุ่มมิต้องการให้เป็นเยี่ยงนี้ แต่ก็ยังรับภาระนี้ต่อไป !

ดังนั้น ใจความสุดท้ายที่ลงพู่กัน แสดงให้เห็นถึงความมั่นคงในศรัทธาอีกหนึ่งครา และเผชิญหน้ากับความยากลำบาก

“มีช่วงเวลาฝ่าคลื่นลม เพียงแขวนใบเรือเมฆาและทะยานไปในทะเล เป็นประโยคที่ดียิ่ง ! ”

ดวงตาของเยี่ยนเป่ยซีเป็นประกายขึ้นมา แล้วจึงปรบมือเสียงดัง หลังจากนั้นเสียงปรบมือจึงดังกึกก้องไปทั่วทั้งห้องโถง

“นี่ต่างหากที่เป็นจิตวิญญาณที่บุรุษแห่งต้าหยูควรยึดถือเอาไว้ ต้องมีสักวันที่จะสามารถฝ่าพายุทะลวงคลื่นหมื่นลี้นี้ไปได้ ติดใบเรือเมฆาไว้สูง แล้วออกเดินทางไปบนทะเลอันกว้างใหญ่ ! ”

เยี่ยนซีเหวินยิ้มอย่างขมขื่นยามที่มองไปยังฟู่เสี่ยวกวน แล้วจึงถอนหายใจยาวออกมา “เจ้านี่นะ ข้านับถือเจ้าแล้วจริง ๆ มา ๆ ๆ นั่งลงดื่มชาเถิด”

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะร่า สังขารหลงระเริง แต่ก็ปรากฏท่าทางทรงเสน่ห์ของเซียนกวีอยู่มิน้อย น่าเสียดายที่ไร้ซึ่งกระบี่

“ข้าเคยกล่าวกับเจ้าไปหลายคราแล้วมิใช่หรือ เรื่องบทกวีบทความเหล่านี้ มิใช่ปัญหาใหญ่อันใด หากมิใช่ว่าเคยมีคนที่ร่ำสุราและประพันธ์กวีได้ถึงร้อยบทมาก่อน ข้าจะบอกเจ้าให้ ข้าเองก็สามารถประพันธ์กวีออกมาได้ร้อยบทตามต้องการเช่นกัน”

เขาเดินโซซัดโซเซมานั่งอยู่ข้าง ๆ เยี่ยนซีเหวิน ดวงตาของเยี่ยนซีเหวินเบิกกว้าง และเอ่ยถามว่า “ผู้ใดที่ร่ำสุราแล้วสามารถประพันธ์กวีได้ถึงร้อยบทกัน ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนลูบจมูกไปมา “ผู้ใดกัน… ไอหยา ! คนผู้นั้นอยู่ในความฝัน ข้ากลับหลงลืมไปเสียแล้ว”

เยี่ยนซีเหวินหาได้สนใจไม่ ใต้หล้านี้มิมีผู้ใดที่สามารถประพันธ์กวีได้ร้อยบทยามร่ำสุราหรอก เขารินชาให้ฟู่เสี่ยวกวนหนึ่งจอก และกล่าวอย่างปลดปลงว่า “น้องฟู่มีปณิธานสูงเทียมเมฆา ข้าย่อมตามอย่างสุดกำลังไปโดยปริยาย แต่เจ้าอย่าได้บินสูงนักเลย มันทำให้พวกข้ามองมิเห็นเงา เยี่ยงนั้นแล้วมันจะเป็นความหนาวเหน็บจากที่สูงอย่างแท้จริง”

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะร่า แล้วส่ายหน้า

เขายกชาขึ้นดื่มอีกหนึ่งอึก ทันใดนั้นเยี่ยนฮ่าวชูก็ยิ้มเสียจนตาปิดและกล่าวขึ้นมาว่า “เสี่ยวกวนเอ๋ย พ่อตามีเรื่องที่อยากให้เจ้าชี้แจงสักหน่อย”

“เชิญท่านพ่อตากล่าวมาเถิด”

“เจ้า เหตุใดถึงมิขึ้นเป็นจักรพรรดิของราชวงศ์อู๋กัน ? ”