ตอนที่ 823 นางที่เป็นเช่นนี้
เขาเคยเห็นนางที่ร่าเริงมีชีวิตชีวา นางที่ฉลาดปราดเปรื่องอย่างน่าประหลาด นางที่จิตใจฮึกเหิมบนราชสำนัก
แต่กลับมิเคยพบเห็นนางแสดงอารมณ์สีหน้าเช่นนี้มาก่อน ราวกับว่ากำลังสิ้นหวังมาก ทั้งยังราวกับว่าไม่มีอะไรให้รักแล้วก็มิปาน
ฉินเย่หานจ้องมองแล้วขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ เขาก้าวออกไปข้างหน้าแล้วดึงตัวซูหลีออกไปทั้งตัว
“ฝ่าบาท?” ซูหลีมึนงงเล็กน้อย และเรียกเขาออกมาอย่างช่วยไม่ได้ นางไม่รู้ว่าฉินเย่หานกำลังจะทำอะไร
“เขาเป็นใคร” ฉินเย่หานกลับไม่ยอมปล่อยมือของนางออก แต่กลับเงยหน้าขึ้นกวาดสายตามองไปทางลู่อวี้เหิงปราดหนึ่ง สายตาหยุดลงบนตัวของนางชั่วขณะหนึ่งก่อนมันจะไปตกลงบนฝ่ามือของนางที่ถูกตนเองบีบไว้แน่น
สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นมืดมนลงในทันที
“กระหม่อมลู่อวี้เหิงถวายบังคมฝ่าบาท!” ลู่อวี้เหิงไม่คาดคิดว่าจะได้พบกับฮ่องเต้ที่นี่ หลังจากนิ่งตะลึงไปชั่วขณะหนึ่งเมื่อตอบสนองกลับมาได้ก็รีบโค้งคำนับให้ฉินเย่หาน
ฉินเย่หานได้ยินแต่ทว่ากลับไม่เรียกให้เขาลุกขึ้นมา แล้วก็มิได้พูดอะไร แต่กลับใช้ดวงตามืดมนคู่นั้นจับจ้องมองเขาอยู่อย่างนั้น
ลู่อวี้เหิงรู้สึกเย็นยะเยือกไปทั่วทั้งร่างกาย สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ลู่อวี้เหิง?” ฉินเย่หานมิเคยพบเห็นเขามาก่อน เป็นเวลานานกว่าเขาจะพ่นสามคำนี้ออกมา ชื่อของลู่อวี้เหิงออกมาจากปากของเขาซึ่งมันแฝงไปด้วยความรู้สึกอันตรายอย่างมิอาจบรรยายได้
“เป็นลูกบุญธรรมของท่านแม่ทัพลู่ พี่น้องของแม่นางลู่” เพลานี้ซูหลีเองก็รู้สึกได้แล้ว นางจึงกระตุกริมฝีปากแล้วรีบอธิบายอย่างรีบเร่ง
เมื่อนางเปิดปากพูดเช่นนี้ ฉินเย่หานก็เหลือบมองไปที่นางปราดหนึ่ง
ใบหน้าเรียวเล็กของนางซีดขาวมาก ดวงตาดอกท้อคู่นั้นดูเหมือนจะเปียกชื้นอยู่เล็กน้อย
ประหลาดมาก ทั้งๆ ที่นางมิได้ร้องไห้แต่ฉินเย่หานกลับรู้สึกถึงความเจ็บปวดและสิ้นหวังภายในใจของนาง
ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้เขาไม่ชอบอย่างมาก
“แม่นางลู่มาที่สำนักเต๋อซั่นครั้งแรก กระหม่อมจึงพานางออกมาเดินเล่น” ซูหลีก็คาดไม่ถึงว่าฉินเย่หานจะมาปรากฏตัวอยู่ตรงนี้ ในเวลานั้นสมองรู้สึกสับสนไปเล็กน้อย แต่ก็ยังรู้สึกว่าตนเองกับลู่อวี้เหิงมาปรากฏตัวที่นี่สองคนดูไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไร
“นางเล่า?” ฉินเย่หานมองมาที่นางอย่างลึกซึ้งแล้วถามตามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
ซูหลีผงะไปเล็กน้อยพลางเหลือบตาขึ้นมองเขาแต่กลับปะทะเข้ากับดวงตาลุ่มลึกคู่นั้นของเขาพอดี
หัวใจของนางกระตุกเล็กน้อย ฉินเย่หานไม่ชอบให้นางอยู่ใกล้ชิดสนิทสนมกับชายอื่นมากเกินไป เรื่องนี้นางรู้ดี แต่ทว่านางไม่เคยเห็นฉินเย่หานทำตัวยกตนข่มท่านเช่นนี้มาก่อน
ราวกับว่าระหว่างนางกับลู่อวี้เหิงมีอะไรบางอย่างจริงๆ อย่างไรอย่างนั้น
“ฝ่าบาท”
“ซูหลี?” ขณะที่ซูหลีกำลังอยากจะอธิบายอะไรบางอย่างก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังสะท้อนมาจากทางด้านหลังอย่างกะทันหัน เมื่อหันกลับไปก็เห็นลู่เหมียนเหมียนกำลังเดินตรงมาทางด้านนี้
ใบหน้าของซูหลีถอนหายใจด้วยความโล่งอก พลางหารอยต่อความชัดเจนกลับมาโดยรีบร้อนเอ่ยขึ้นว่า “แม่นางลู่ดีขึ้นบ้างแล้วหรือ”
เมื่อลู่เหมียนเหมียนได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจผงะไป
อะไรดี?
“เมื่อครู่บอกว่ารู้สึกไม่สบายท้องไม่ใช่หรือ” ซูหลีรีบยิ้มแล้วเพิ่มเติมไปอีกหนึ่งประโยค
ลู่เหมียนเหมียนก็ไม่ได้โง่ เมื่อเห็นนางพูดเช่นนี้ก็รับรู้ได้ในทันทีและกล่าวไปว่า “ดี ดีขึ้นมากแล้ว!”
นางกล่าวและอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองชายที่ยืนอยู่ข้างกายซูหลีปราดหนึ่ง เมื่อเห็นใบหน้าแสนเย็นชาของฉินเย่หานเข้า ลู่เหมียนเหมียนรีบย่อตัวลงรีบร้อนคำนับฉินเย่หานอย่างช่วยไม่ได้
“กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท!”
ฉินเย่หานเหลือบตามองนางปราดหนึ่ง แล้วก็กวาดสายตาไปมองทางพี่ชายบุญธรรมของนางอีกครั้งโดยไม่พูดไม่จาใดๆ บรรยากาศแข็งทื่ออย่างแปลกประหลาด
“ฝ่าบาท งานเฉลิมฉลองกำลังจะเริ่มแล้วพวกเราไปกันก่อนดีไหม” ในเวลานี้ซูหลีไม่สามารถสนใจสิ่งที่ลู่อวี้เหิงพูดไปก่อนหน้านี้ได้แล้ว เพียงแค่อยากพาฉินเย่หานรีบออกไปจากตรงนี้
เมื่อฉินเย่หานได้ยินเช่นนี้เขายังคงไม่พูดไม่จา เมื่อเห็นการแสดงออกบนใบหน้าของนางดูแข็งกระด้างไปเล็กน้อยเขาถึงได้ออกแรงอย่างกะทันหัน!
ตอนที่ 824 จับไม่อยู่
ออกแรงเพียงนิดก็สามารถดึงทั้งตัวของซูหลีเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนของตนเองแล้ว
“ฝ่าบาท!” รอบๆ ข้างมีผู้คนอยู่ตั้งมาก ซูหลีร้องอุทานออกมาอย่างช่วยไม่ได้
ทว่าฉินเย่หานมิได้ให้เวลานางได้ตอบสนองใดๆ เพียงแค่เอื้อมมือออกมาโอบเอวของนางไว้แน่นดึงให้นางถอยมาด้านหลังเล็กน้อยก่อนจะย่างเท้าเดินออกไปจากตรงนี้
ตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่ได้พูดอะไรกับพี่น้องสกุลลู่เลยแม้เพียงประโยคเดียว
ซูหลีเหลือบตาขึ้นมองเขาครู่หนึ่ง กลับเห็นว่ากรามของเขากำลังรัดตัวแน่น สีหน้าดูน่ากลัวอย่างมาก
นางไม่อาจพูดสิ่งใดได้ ทำได้เพียงแค่มองย้อนกลับไปพลางขยิบตาให้ลู่อวี้เหิงหนึ่งทีแล้วเดินตามฉินเย่หานไปอย่างเชื่อฟัง
“ซูหลีกับฮ่องเต้?” เมื่อลู่เหมียนเหมียนเห็นฉินเย่หานพาตัวซูหลีแยกจากไปอย่างรุนแรงเช่นนั้น จึงยังมิทันได้สติกลับมาก่อนจะเอ่ยถามลู่อวี้เหิงที่อยู่ข้างๆ ตัวออกมาประโยคหนึ่ง
“เหมียนเหมียน ระวังวาจาด้วย” ลู่อวี้เหิงขมวดคิ้วพลางลุกขึ้นยืนจากพื้น
เมื่อลู่เหมียนเหมียนได้ยินสิ่งที่เขากล่าวก็รู้ว่าที่แห่งนี้ไม่ใช่สถานที่สำหรับพูดคุยกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานะของซูหลีกับฮ่องเต้ นี่ไม่ใช่สิ่งที่นางจะสามารถวิจารณ์ได้ตามใจชอบ จึงเก็บเอาความสงสัยของตนเองที่มีอยู่เต็มอกกล้ำกลืนกลับลงไป
ทว่านางมองเห็นมันอย่างชัดเจนว่าฮ่องเต้มีความรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมอย่างแปลกประหลาดกับซูหลี
เมื่อลู่อวี้เหิงมองไปทางซูหลีที่แยกตัวออกไป สีหน้าเขาเริ่มซับซ้อนขึ้น
หากว่าซูหลีมีความสัมพันธ์อะไรบางอย่างกับองค์ฮ่องเต้จริง เช่นนั้นหากซูหลีจะจัดการเรื่องนี้ ที่จริงความเสี่ยงก็ลดลงไปมากไม่น้อย
ตอนนี้เขาเต็มใจยอมรับผลลัพธ์เช่นนี้
และเป็นการดีที่จะล้างแค้นให้สกุลหลี่!
…
ทางฝั่งของซูหลีที่เดินตามฉินเย่หานออกมา ถูกลากมาอยู่ตรงมุมของลานหนึ่งของสำนักเต๋อซั่น
ลานแห่งนี้ปกติจะถูกใช้เป็นสถานที่เรียนรู้ศิลปะการเขียนภาพ ทว่าตอนนี้ไม่มีผู้ใดแม้แต่คนเดียว ฉินเย่หานยังคงไม่พูดไม่จา เพียงดึงให้นางเข้ามา
หวงเผยซานและคนอื่นๆ คอยเฝ้าอยู่ด้านนอก เพื่อปล่อยที่ว่างไว้ให้ทั้งสองคนพูดคุยกัน
“ฝ่าบาท…” ซูหลีร้องอุทานออกมาอย่างช่วยไม่ได้ แรงของเขาเยอะมาก เมื่อเขาเอาแต่กำข้อมือของนางอยู่เช่นนี้มันจึงทำให้ข้อมือของนางรู้สึกเจ็บขึ้นมาและอึดอัดมาก
“กระหม่อมกับคุณชายลู่เพียงแค่พบกันโดยบังเอิญและพูดคุยกันไม่กี่คำเพียงเท่านั้น ไม่มีทางเป็นอย่างที่ฝ่าบาททรงคิดอยู่อย่างแน่นอน” ซูหลียังคงต้องการอธิบายอีกสักคำสองสามคำ
คิดไม่ถึงว่าฉินเย่หานจะหยุดฝีเท้าลงก่อนจะหันตัวกลับมามองนาง
เขาหยุดลงอย่างกะทันหัน ซูหลีเองก็คาดไม่ถึงทำให้ใบหน้ารู้สึกมึนงงเล็กน้อย
ทว่ากลับเห็นเขาคว้ามือของซูหลีขึ้นมาก่อนจะแยกนิ้วมือของนางออกมาจากกัน
“โอ๊ย!” ซูหลีร้องอุทานออกมาด้วยความเจ็บปวด มองไปที่ฝ่ามือที่มีเลือดสดไหลออกมาอย่างโหดร้ายของตนเอง ใบหน้าตกตะลึงเล็กน้อย
“บังเอิญเจอแล้วเจ้าจะเป็นเช่นนี้ได้หรือ ซูหลีเขาเป็นใครกันแน่” ฉินเย่หานมองนางด้วยสายตาเย็นชา สีหน้าดูน่าเกลียดน่ากลัวมาก
ซูหลีมองเห็นเพียงใบหน้าบึ้งตึงของเขา ทว่ากลับมองไม่เห็นอารมณ์ที่กำลังกะพริบอยู่ภายในดวงตาของเขา
ตอนที่ซูหลีกำลังเผชิญหน้าชายคนนั้นมันเหมือนกับเปลี่ยนกลายไปเป็นคนแปลกหน้าที่ฉินเย่หานไม่คุ้นเคยโดยสิ้นเชิง
ความรู้สึกแบบนี้ทำให้ฉินเย่หานไม่ชอบใจเป็นอย่างมาก มีแม้กระทั่งความรู้สึกที่เหมือนจะจับซูหลีเอาไว้ไม่อยู่แล้ว
ด้วยเหตุนี้เขาถึงสูญเสียการควบคุมถึงเพียงนี้
“…ก็ ก็เป็นพี่ชายบุญธรรมของเหมียนเหมียนไงเล่า!” ซูหลีหลบสายตาเขาเพื่อปิดซ่อนความรู้สึกยุ่งเหยิงในดวงตาของนาง
เรื่องเกี่ยวกับสกุลหลี่ นางสามารถพูดกับลู่อวี้เหิงได้ แต่ไม่สามารถพูดกับฉินเย่หานได้
คนอย่างฉินเย่หานไม่มีทางที่จะเชื่อในคำพูดเหล่านี้ของนาง ไม่แน่ว่าอาจจะสามารถมองออกได้อีกด้วยว่านางทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เข้ามาอยู่ในราชสำนักก็เพื่อเรื่องของสกุลหลี่ทั้งสิ้น
ซูหลีไม่สามารถเสี่ยงถึงขนาดนี้ได้!
“มองตาข้า!” น้ำเสียงเยือกเย็นดังสะท้อนมาจากเหนือศีรษะ ดวงตาของซูหลีขยับเล็กน้อยแต่ทว่าไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองในทันที