บทที่ 456 หมาบ้า
ภายในหอคอยเวทมนตร์ของดักลาส ในมิติพิเศษของเขา

อาร์ทิลหัวเราะลั่น วารสาร ‘อาร์คานา’ วางอยู่ข้างกาย “มันพิสูจน์ได้แล้ว! ข้าว่าแล้วเชียว! ช่างน่าเสียดายที่ข้าไม่ได้อยู่ในห้องทดลองของบรูคและพลาดโอกาสที่จะได้เห็นสีหน้าของมัน! มันคงจะต้องสิ้นหวังชนิดที่เหนือคำบรรยายเป็นแน่! ข้าคงจะหัวเราะแม้แต่ตอนหลับหากว่าโลกแห่งปัญญาของมันระเบิดโพลงเหมือนอย่างเจ้าโง่ลอเร็น!”

ปิติ ความปิติอันคลุ้มคลั่ง อาร์ทิลมิอาจเก็บกักมันกลับไปได้

นอร์แมนกระแอมไอเล็กน้อยด้วยความเบื่อหน่ายความบ้าคลั่งของอาร์ทิล และลอบคิดในใจว่าสมแล้วที่อาร์ทิลได้รับสมยานามว่า ‘หมาบ้า’ นั่นคือคำที่จอมเวทท่านอื่นใช้เรียกอาร์ทิล

ใบหน้าของนอร์แมนซีดเซียวเล็กน้อยจากอาการบาดเจ็บภายในดวงจิต เขาเพิ่งจะใช้ห้องทดลองของดักลาสในการยืนยันผลสรุปที่ตีพิมพ์กับทางวารสาร

เพื่อตามหามิติลึกลับ เหล่าบุคคลในระดับตำนานของสภาเวทมนตร์จึงออกจากเมืองไปกันหมด แต่เป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจำต้องออกไปสำรวจนอกอัลลินอยู่บ่อยๆ ดังนั้น แม้ว่าดักลาสจะให้ความสนใจกับการพิสูจน์ยืนยันข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับควอนตัมของแสงอย่างมากเช่นกัน แต่การพัฒนาวงแหวนเวทของเขาก็ยังเป็นไปได้ช้ากว่าลอเร็น แต่หลังจากที่รูปแบบการทดลองที่ออกแบบไว้ถูกตีพิมพ์ในวารสารอาร์คานา เขาก็ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้นเพื่อพัฒนาให้สำเร็จ

ลูเซียนาเองก็อารมณ์ดีมากเช่นกัน หลังจากแรงกดดันที่ถูกข่มตลอดหลายปีถูกปลดปล่อย นางย่อมรู้สึกปิติอย่างคลุ้มคลั่งไม่ต่างจากอาร์ทิล แต่นางควบคุมตัวเองได้ดีกว่ามาก “สมแล้วที่ลูเซียน อีวานส์ คือหนึ่งในคนรุ่นใหม่ที่มีแววว่าจะได้เป็นมหาจอมเวทคนถัดไปมากที่สุด ข้อสันนิษฐานของเขามาจากมุมมองที่ถูกเพิกเฉยจากเหล่าผู้สนับสนุนทฤษฎีอนุภาคทุกคน ข้าเริ่มจะเห็นคุณค่าของทฤษฎีควอนตัมของแสงแล้วตอนนี้ บางทีรูปแบบของโลกอาจไม่ต่อเนื่องกันจริงๆ…”

“หากว่ามันไม่ต่อเนื่อง แล้วแคลคูลัสเล่า!” อาร์ทิลตะคอก ความจริงที่ว่าเขาจ่ายห้าหมื่นคะแนนอาร์คานาให้กับลูเซียนไม่ได้หมายความว่าเขาจะยอมรับข้อสันนิษฐานเสียทั้งหมด ในสายตาเขา ข้อสันนิษฐานของลูเซียนเป็นเพียงความผกผันอีกอย่างของทฤษฎีอนุภาคเท่านั้น และมันไม่เกี่ยวกับว่าโลกใบนี้เป็นภาวะต่อเนื่องหรือไม่

“ข้อสันนิษฐานนี้ต้องมีบางอย่างผิดพลาดแน่ๆ! มันต้องเปลี่ยน! แม้ว่าลูเซียน อีวานส์ จะมายืนอยู่ตรงหน้า ข้าก็ยังยืนยันคำเดิม!” อาร์ทิลกล่าว

ส่วนทางด้านลูเซียนนั้น เขาได้ใช้คะแนนอาร์คานาทั้งห้าหมื่นคะแนนเพื่อใช้หนี้เจ้าแห่งพายุไปแล้ว

ลูเซียนาเพียงแสดงความดีใจ และนางก็ใช้คำว่า ‘บางที’ ก่อนจะแสดงความเห็น แต่มันก็ยังไปกระตุ้นโทสะของอาร์ทิล ลูเซียนารู้สึกหัวเสีย จึงขยับปากเป็นคำพูดอย่างเงียบงัน

“หมาบ้า”

อาร์ทิลหาได้สนใจท่าทีของนอร์แมนและลูเซียนา เขาหยิบกระดาษข้อมูลขึ้นมาอ่าน ก่อนจะหัวเราะอย่างชั่วร้ายและพึงพอใจ “ลอเร็น คริสตัล… ผู้วิเศษหนึ่งคน นักเวทระดับสูงสามคน นักเวทระดับกลางยี่สิบเจ็ดคน และอีกมากมายที่โลกแห่งปัญญาพังทลายและถูกปิดผนึก ในที่สุดเจ้าพวกคนที่สนับสนุนทฤษฎีคลื่นก็ได้ในสิ่งที่สมควรโดนเสียที! ตอนที่พวกนั้นฉลองชัยเมื่อหลายปีก่อน พวกนั้นเคยคิดจินตนาการถึงสถานการณ์ในวันนี้หรือไม่ ตอนที่บรูคก้าวขึ้นไปถึงบัลลังก์แห่งมหาจอมเวทด้วยการเหยียบย่ำโลหิตและสมอง มันเคยคิดถึงจุดจบอันทุกข์ทรมานของตัวเองหรือไม่”

ความเกลียดชังของเขานั้นรุนแรงกว่าที่ลูเซียนาและนอร์แมนคาดคิด ลูเซียนาขมวดคิ้วมุ่น แม้ว่านางเองก็เป็นผู้สนับสนุนทฤษฎีอนุภาค นางก็ยังคิดว่าความเกลียดชังของอาร์ทิลนั้นมันมากเกินไป ลอเร็นกับนักเวทคนอื่นๆ ต่างก็เป็นคนของสภาเวทมนตร์ จึงไม่ควรจะแสดงความดีใจและตื่นเต้นต่อการตายของพวกเขาถึงเพียงนั้น

นอร์แมนดูท่าทางหัวเสียไม่น้อย แต่ในตอนที่เขากำลังจะโต้แย้งคำพูดของอาร์ทิล สีหน้าเขาก็พลันเปลี่ยนเป็นความเคารพนบนอบ

“อาจารย์”

ดักลาสเดินลงมาตามบันได เขาย่นหัวคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยขณะเอ่ยกับอาร์ทิล “ระวังท่าทีของเจ้าด้วย อาร์ทิล ยังมีปรากฏการณ์อีกหลายอย่างที่ข้อสันนิษฐานควอนตัมของแสงอธิบายไม่ได้ ซึ่งรวมถึงภาพการแทรกสอดช่องเปิดคู่ เราควรต้องระมัดระวังและถ่อมตนอยู่เสมอ นักเวททุกคนที่เสียชีวิตคือสหายของเรา ถึงเราจะขัดแย้งกันก็จริง แต่เราก็ยังมีเป้าหมายเดียวกัน นั่นคือเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่สภาเวทมนตร์”

“ขอรับ อาจารย์…” อาร์ทิลหยุดแสดงท่าทางมีความสุข “ลูเซียน อีวานส์ คือผู้ที่ทำให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถทำการทดลองได้อย่างถูกต้องแม่นยำเมื่อสามปีก่อน ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าตอนนี้เขารู้สึกอย่างไรบ้าง และกำลังวิจัยอะไรอยู่”

“ข้าได้ยินมาว่าลูเซียน อีวานส์ กำลังวิจัยการะดมยิงอนุภาคตามเจ้าแห่งพายุ อาจารย์ของเขา” นอร์แมนตอบ ในฐานะสมาชิกคณะกรรมการกิจการที่ดูแลแผนกวิศวกรรมเวทมนตร์ เขาจึงรู้ว่าทางแผนกได้ส่งนักเวทระดับสูงไปยังสถาบันอะตอมของลูเซียนเพื่อยกระดับอุปกรณ์ต่างๆ ให้ดีขึ้น

ดักลาสพยักหน้า “เฟอร์นันโดกำลังพาลูเซียนมาที่นี่ อาร์ทิล หากเจ้าอยากรู้จริงๆ ก็ถามพวกเขาได้โดยตรง นอร์แมน หากเจ้าอึดอัดที่ต้องเห็นหน้าลูเซียน เจ้าจะกลับไปก่อนก็ได้ อย่าได้ฝืนตนเอง”

นอร์แมนรู้สึกท้อนิดๆ “ไม่ว่าข้าจะคิดเห็นอย่างไร ผลการทดลองก็เป็นส่งที่ชัดเจนที่สุดอยู่ดีขอรับ”

“เยี่ยมเลยค่ะ ข้ากำลังอยากจะขอบคุณเขาและพูดคุยกับเขาเป็นการส่วนตัวอยู่พอดี” ลูเซียนากลับเป็นคนที่ประหลาดใจและดีใจกว่าผู้ใด

นางกำลังพยายามพัฒนาวิธีการเข้าฌานสมาธิของนางเองโดยใช้ข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับควอนตัมของแสง และนางก็มีคำถามมากมาย บางคำถามนางสามารถถามได้จากดักลาส แต่ที่เหลือคงจะแก้ไขได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าหากนางได้พูดคุยกับลูเซียนโดยตรง

อาร์ทิลเองก็ตื่นเต้นเช่นกัน “ข้าจะถามว่าเขายังมีเบาะแสเกี่ยวกับการทดลองอื่นเพื่อล้มล้างทฤษฎีคลื่นไปให้หมดสิ้นหรือไม่!”

‘และส่งนักเวทในสภาที่มีระดับสูงกว่าระดับกลางส่วนใหญ่ไปตายด้วยน่ะหรือ’

ลูเซียนาส่งสายตากรุ่นโกรธไปทางอาร์ทิล ในใจนึกหวังให้อาร์ทิลรู้ตัวว่าเขากำลังสนับสนุนอะไรอยู่

หลังจากนั้นไม่กี่นาที ลูเซียนผู้สวมเสื้อสูทกระดุมสองแถวสีดำและแว่นตาข้างเดียว ก็เดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นเล็กตามหลังเจ้าแห่งพายุ

“ได้อะไรใหม่ๆ มาอีกแล้วรึ” ดักลาสเห็นกระดาษหนังปึกหนาในมือเฟอร์นันโด

ปึกกระดาษนั้นลอยขึ้นและพุ่งไปหาดักลาส

“‘การเล่นแร่แปรธาตุร่วมสมัย’ ของลูเซียน อ่านเองเถิด” เฟอร์นันโดตอบ

ดวงตาสีแดงสดของเฟอร์นันโดกวาดมองไปรอบๆ อาร์ทิล นอร์แมน และลูเซียนาต่างถอยหลังไปก้าวหนึ่งโดยสัญชาตญาณด้วยเกรงอำนาจของเขา เมื่อเจ้าแห่งพายุอยู่ที่นี่ พวกเขาย่อมมิกล้าละลาบละล้วงแอบอ่านรายงานการวิจัยด้วยการใช้พลังจิตของพวกตน

เมื่อเห็นว่าเฟอร์นันโดมีท่าทางเคร่งเครียดจริงจังกว่าปกติ ดักลาสจึงเริ่มอ่านงานเขียนอย่างตั้งใจ

ขณะอ่านไปเรื่อยๆ ดักลาสก็เผยอริมฝีปากและยกมือขวาขึ้น ราวกับว่าเขากำลังจะออกความเห็นบางอย่าง แต่กลับยั้งตัวเองไว้แล้วอ่านต่อไป

เวลาเคลื่อนคล้อยผ่านสองชั่วโมงแล้ว

ลูกศิษย์ของดักลาสเฝ้ารออยู่ที่เดิม พวกเขาไม่กล้าพูดคุยหรือแม้แต่ใช้กระแสจิต ณ เวลานี้ ดักลาสไม่ควรถูกรบกวน ทุกคนต่างรู้ดี

ก่อนที่จักรวรรดิเวทมนตร์โบราณจะล่มสลาย ดักลาสก็เป็นผู้วิเศษแล้ว เขาจึงได้รับอิทธิพลเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์อาจารย์มาจากประเพณีของจักรวรรดิอย่างลึกล้ำ แม้ว่าดักลาสจะใจดีและใจเย็นต่อลูกศิษย์มาก แต่ลูกศิษย์ก็ต้องให้ความเคารพนับถือเขาเช่นกัน

ในที่สุดดักลาสก็วางรายงานในมือลงบนโต๊ะไม้ จากนั้นจึงหลับตาลง และตลอดครึ่งชั่วโมงต่อมา เขานั่งนิ่งและดูเหมือนว่ากำลังสร้างแบบจำลองบางอย่างในโลกแห่งปัญญาของเขา

และท้ายที่สุด ดักลาสก็ลืมตาขึ้น ก่อนจะเอ่ยด้วยท่าทางเคร่งขรึม

“ศาสนจักรกล่าวหาว่าเราคือผู้ที่ทำให้ความศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าแปดเปื้อน ว่าเราพยายามจะก้าวเข้าไปในอาณาเขตต้องห้ามที่เป็นของพระเจ้าเท่านั้น ทว่าเราต่างรู้ดีถึงข้อเท็จจริงที่ว่าเราไม่สมควรได้รับความเห็นสูงส่งจากศัตรูเช่นนั้น เราเพียงแต่ดึงทึ้งเปลือกแห่งความศักดิ์สิทธิ์ที่ห่อหุ้มอยู่รอบนอกออกไปไม่กี่ชั้น แต่ยังคงห่างไกลจากอาณาเขตนั้น แต่ตอนนี้ มันต่างออกไป ระบบในทางทฤษฎีในงานเขียนของลูเซียนได้นำเราไปสู่ปากประตูอาณาเขตต้องห้ามนั้น และสิ่งที่จำเป็นต้องใช้ในการเปิดประตูนั้นก็คือการทดลองเพื่อพิสูจน์ยืนยัน ในที่สุด เราก็จะไม่ทำให้ทางศาสนจักรผิดหวังอีกต่อไป

“แต่เรายังทำได้เพียงพึ่งพาระบบในทางทฤษฎีนี้เท่านั้น จนกว่าผลการพิสูจน์จากการทดลองจะปรากฏ ลูเซียน ระบบในทางทฤษฎีของเจ้าจะได้รับการยืนยันก็ต่อเมื่อมีการค้นพบนิวตรอน จนกว่าการเปลี่ยนแปลงของธาตุจากการระดมยิงจะได้รับการพิสูจน์ และจนกว่าคำทำนายของเจ้าจะเป็นจริง มหาจอมเวททุกคนในรุ่นหลังจากข้าก็เคยผ่านเรื่องเช่นนี้มา หลังจากที่ระบบในทางทฤษฎีของพวกเขานำเสนอเป็นครั้งแรก”

ตำแหน่ง ‘มหาจอมเวท’ เพิ่งจะปรากฎหลังจากที่ระบบในทางทฤษฎีของดักลาสเป็นที่ยอมรับอย่างแพร่หลาย

ขณะที่พูดกับลูเซียน ดักลาสดูท่าทางตื่นเต้นเล็กน้อย

ในที่สุด พวกเขาก็เข้าใกล้ความจริงของโลก ความลับเบื้องหลังเวทมนตร์!

พลังแห่งการสร้างสรรพสิ่งคือเป้าหมายสูงสุดของเหล่านักเวทมาตลอด! ตอนนี้พวกเขาได้ขยับเข้าใกล้ความฝันยิ่งกว่าครั้งไหนๆ!

หากว่ามนุษย์สามารถทำสิ่งเดียวกันกับพระเจ้า เช่นนั้นจะมีพระเจ้าไปเพื่ออะไรกัน

“อะไรนะ มหาจอมเวท? อาณาเขตต้องห้ามของพระเจ้าอะไรกันขอรับ” อาร์ทิลถามอย่างร้อนรน

หลังจากมองไปทางเฟอร์นันโดและเห็นว่าเขาพยักหน้าให้เล็กน้อย ดักลาสจึงอนุญาตให้ลูกศิษย์ตนในที่นี้ได้อ่านการค้นพบในงานวิจัย อย่างไรเสีย รายงานฉบับนี้ก็จะต้องส่งไปพิจารณาในเร็วๆ วันนี้อยู่แล้ว

“ระบบในทางทฤษฎีระบบใหม่ของลูเซียน ‘การเล่นแร่แปรธาตุร่วมสมัย’ จะทำให้เราสามารถเจาะลึกลงไปยังความลับแห่งสสารและมอบพลังแห่งการสร้างสรรพสิ่งให้แก่เรา มันจะเป็นระบบในทางทฤษฎีที่สามารถเปลี่ยนแปลงยุคสมัยได้ทีเดียว” เฟอร์นันโดกล่าว

“…อะไรนะ” นอร์แมนไม่เชื่อในสิ่งที่ตนเพิ่งได้ยิน

ลูเซียนากลับมาตื่นเต้นดีใจอีกครั้งหลังจากรออยู่นิ่งๆ มานาน นางมองไปทางอาจารย์ตน แล้วเบนสายตาไปที่ปึกกระดาษบนโต๊ะ ก่อนจะหันไปมองลูเซียน นางนึกสงสัยว่าอีกไม่นานนี้จะมีมหาจอมเวทอีกคนหนึ่งหรือไม่ เป็นมหาจอมเวทที่อายุเพียงยี่สิบกว่าๆ เสียด้วย

เมื่อได้เห็นชายหนุ่มท่าทางสุภาพสง่างามยืนอยู่ตรงหน้า นางกลับนึกไม่ออกเลยว่าบุรุษเช่นเขาเพิ่งจะอวดอ้างว่าเขาได้ค้นพบความลับแห่งการสร้างสรรพสิ่งในจักรวาลนี้

ฉับพลันนั้นนางก็เข้าใจถึงหัวอกของนักบวชจากศาสนจักร มันไม่มีทางเลยที่พวกเขาจะยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้ากับมนุษย์นั้นไม่แตกต่างกันเลย

อาร์ทิลส่ายศีรษะแรงๆ “นี่มันเป็นไปไม่ได้! ไม่มีใครจะก้าวล่วงเข้าสู่อาณาเขตของพระเจ้าได้! เป็นไปไม่ได้!” เขาดูกระวนกระวายใจกว่าตอนที่ถูกโจมตีจากผู้สนับสนุนทฤษฎีคลื่นเสียอีก

จู่ๆ อาร์ทิลก็พุ่งตัวมาคว้าปึกกระดาษข้างกายดักลาสและหยิบขึ้นมาด้วยท่าทางราวกับคนเสียสติ

เฟอร์นันโดกำลังจะก้าวเข้ามาหยุดไว้ แต่เมื่อเห็นดักลาสขมวดคิ้วเล็กน้อยและส่ายศีรษะ เขาจึงตัดสินใจอยู่นิ่งๆ และเฝ้าดู

ลูเซียนรู้สึกว่าเขาเข้าใจถึงอะไรบางอย่าง

“โปรตอน… นิวตรอน… อิเล็กตรอน… ไร้สาระ! เจ้ากล้าดีอย่างไรอวดอ้างโดยไร้หลักฐานสนับสนุนเช่นนี้” อาร์ทิลหันขวับมามองลูเซียนและถามอย่างเกรี้ยวกราดด้วยใบหน้าบิดเบี้ยวน่ากลัว

ลูเซียนตอบด้วยท่าทางสงบนิ่ง “หากว่าท่านไม่เชื่อในการมีอยู่ของโปรตอน ข้าสามารถไปที่ห้องทดลองและพิสูจน์ให้เห็นกับตาได้เลย ส่วนคำทำนายเรื่องนิวตรอนนั้นมีพื้นฐานมาจากน้ำหนักอะตอม มวลของโปรตอน และมวลของอิเล็กตรอน มันเป็นเหตุผลทางตรรกศาสตร์ขอรับ”

“เช่นนั้นก็ไปที่ห้องทดลองกัน!” อาร์ทิลถือรายงานและเริ่มออกเดินมุ่งหน้าไปยังห้องทดลอง และเขาก็เห็นว่าลูเซียนเดินตามมาด้วยฝีเท้าเอื่อยเฉื่อย

ลูเซียนกล่าวพลางพยักหน้าด้วยความมั่นใจ “ไม่มีปัญหาขอรับ ข้าจะทำการทดลองสองอย่างให้ท่านดู อีกอย่าง ตอนนี้เราน่าจะระบุหาร่องรอยของธาตุใหม่ในสารกัมมันตรังสีได้แล้ว”

เขากำลังพูดถึงเวทมนตร์ระดับห้าที่ใช้สำหรับเก็บสะสมธาตุต่างๆ ในปริมาณเล็กน้อยซึ่งแฮททาเวย์เป็นผู้คิดค้น

นอร์แมนและลูเซียนาไม่รู้เลยว่าขณะนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดอาร์ทิลจึงทำตัวแปลกประหลาด เหตุใดเขาจึงเกลียดลูเซียนมากมายเพราะเรื่องนี้ เป็นเพราะว่าเขาเกลียดใครก็ตามที่อาจได้รับตำแหน่งมหาจอมเวทตั้งแต่ยังหนุ่ม ใครบางคนที่เหมือนกับบรูคใช่หรือไม่

“มันต้องเป็นการทดลองปลอมแน่ๆ…มันต้องเป็นเช่นนั้น…”

แต่เมื่ออาร์ทิลเห็นท่าทีของลูเซียนก็นึกรู้ได้ว่าโครงสร้างกับข้อมูลของรายงานการวิจัยนี้เชื่อถือได้ สีหน้าเขาก็พลันถูกแทนที่ด้วยความสับสน “เป็นไปได้อย่างไรกัน นี่มัน…อาณาเขตของพระเจ้า…”

ในตอนนั้นเอง ลูเซียนก็เห็นลำแสงเจิดจ้าระเบิดโพลงออกมาจากร่างของอาร์ทิลและกลืนกินเขาไปทั้งตัว

ก่อนที่พลังแห่งแสงสว่างนั้นจะกระจายตัวออก เวทป้องกันของดักลาสก็หยุดมันไว้

ภาพยามจุดแสงวิบวับค่อยๆ ร่วงหล่นนั้นช่างงดงามราวกับภาพฝัน ขณะเฝ้าดู ลูเซียนก็คิดในใจว่าลางสังหรณ์ของเขาถูกต้อง

อาร์ทิลไม่ได้เสียสติ เขาไม่ใช่ ‘หมาบ้า’ อย่างแท้จริง

“ไม่แปลกใจเลยที่เขาคอยแต่จะท้าทายทฤษฎีคลื่น…”

“หากว่าเขาเชื่อในทฤษฎีอนุภาคมากขนาดนั้น ศีรษะเขาคงระเบิดไปตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนแล้ว…”