บทที่ 1624 - อสูรรัตติกาลเย่เหมย

Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล

บทที่ 1624 – อสูรรัตติกาลเย่เหมย

 

จากร่างเงา ชิงสุ่ยสามารถบอกได้ว่าอีกฝ่ายเป็นผู้หญิง ความมืดสลัวไม่ได้บดบังสายตาชิงสุ่ยอีกฝ่ายสวมเสื้อผ้าสีดําปกปิดกายเกือบจะทั้งตัว เหลือไว้เพียงคู่ดวงตาที่ดูเย็นชา

 

ชิงสุ่ยไม่รู้ถึงอายุของอีกฝ่าย แต่เขาสามารถประเมินได้จากกลิ่นอาย หญิงผู้นี้นั้นแข็งแกร่งและอยู่ในช่วงวัยกําลังโต นี่หมายความว่าเธอไม่ได้ชรา จากท่าทางที่สง่างามของเธอ ชิงสุ่ยคาดเดาว่าเธอยังเยาว์

 

ชิงสุ่ยและถานท่ายหลิงเยียนห่างจากหญิงผู้นี้ประมาณ 100 เมตร ถานท่ายหลิงเยียนมองไปที่หญิงลึกลับและกล่าวขึ้นมาว่า “ถ้าข้าดูไม่ผิด เจ้าคือผู้ที่เรียกหาข้า”

 

“ถูกต้อง ข้ารู้สึกว่าพวกเราเป็นคนประเภทเดียวกัน ด้วยเหตุนี้พวกเราน่าจะมารวมมือกัน เจ้าคิดว่าอย่างไร?”

 

ผู้หญิงคนนี้ตอบด้วยเสียงเบาๆที่มีพลังอันลึกลับ ดวงตาของเธอยังคงจับจ้องอยู่ที่ถานท่ายหลิงเยียนและชิงสุ่ย

 

“เจ้าคืออสูรรัตติกาลหรือ!” ถานท่ายหลิงเยียนกล่าว

 

“เจ้าเองก็เป็นผู้ที่มีเลือดแห่งจอมอสูรไหลเวียนอยู่ภายในร่างกายเช่นกัน เจ้าควรจะได้รู้ถึงแผนการของข้า ข้าอยากรู้ว่าเจ้าคิดอย่างไรกับข้อเสนอก่อนหน้านี้” หญิงผู้นี้กล่าว

 

“เจ้าอยู่เพียงลําพังงั้นหรือ?” ถานท่ายหลิงเยียนถามอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่ได้กดดันอะไร เธอถูกเรียกโดยผู้หญิงคนนี้ มันจะดูแปลกประหลาดหากเธอตกลงกับทุกสิ่งโดยไม่มีคําถาม

 

“ข้าจะไม่ปิดบังเจ้า ไม่นานนักที่ข้าเพิ่งได้รับมรดกแห่งจอมอสูรและฝึกฝนมันเพียงลําพัง” เธอจ้องมองถานท่ายหลิงเยียนและชิงสุ่ยขณะกล่าว ราวกับว่าเธอพยายามมองสิ่งที่อยู่ในใจพวกเขาให้ออก

 

“เจ้ารู้ถึงสายเลือดแห่งจอมอสูรหรือไม่?” คราวนี้ชิงสุ่ยเป็นคนถาม

 

หญิงผู้นี้มุ่งความสนใจไปที่ชิงสุ่ย แต่เธอก็ไม่สามารถสัมผัสได้ถึงระดับความแข็งแกร่งของเขา เธอรู้ว่าพวกเขาไม่ได้ไว้ใจเธอ อย่างไรก็ตามด้วยการที่เธอเป็นผู้สืบทอดมรดกแห่งจอมอสูร เธอคิดว่าพวกเขาจะไม่ทําอันตรายเธอ

 

“ผู้สืบทอดมรดกของจอมอสูรต่างก็ได้รับเลือดแห่งจอมอสูร มันจะทําให้ผู้ที่ได้รับแข็งแกร่งขึ้น” เธอกล่าวตรงๆ

 

“เช่นนั้นเจ้าน่าจะรู้ว่ายิ่งพลังจากเลือดแห่งจอมอสูรทรงพลังขึ้นมากเท่าไหร่ เจ้าก็จะสูญเสียตัวตนไปมากเท่านั้น ความกระหายเลือดของเจ้าจะทําให้ลืมเลือนได้แม้กระทั่งครอบครัวและญาติมิตร” ชิงสุ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

เธอเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน ต่อให้พลังของเลือดแห่งจอมอสูรจะพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วและแข็งแกร่ง ตราบใดที่มียังมีความตั้งใจอันแน่วแน่ คนๆนั้นก็จะไม่หวั่นไหว แต่สําหรับเลือดแห่งจอมอสูร มันถือว่าเป็นข่าวลือมากกว่าความจริง

 

“ข้าเคยได้ยิน แต่มันก็ยังไม่มีสิ่งใดใช้ยืนยัน” เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง

 

“เจ้าตั้งใจจะทําอะไร? เจ้าวางแผนที่จะชําระล้างมันงั้นหรือ?” ชิงสุ่ยถามหญิงผู้นี้อย่างใจเย็น 

 

เธอมองชิงสุ่ยและถานท่ายหลิงเยียนด้วยความงุนงง “ทําไม? ข้าไม่ต้องการทําอะไรเช่นนั้น ข้าได้รับประโยชน์มากมายจากมัน ข้าคงจะหมดความน่าเชื่อถือหากไม่ได้ทําตามเจตจํานงในการสืบทอดมรดกแห่งจอมอสูรให้สําเร็จ”

 

ชิงสุ่ยได้ประเมินพลังของหญิงผู้นี้แล้ว อย่างน้อยที่สุดเธอก็ไม่ได้เป็นภัยคุต่อถานท่ายหลิงเยียนและตัวเขา ตราบใดที่เธอไม่ได้แข็งแกร่งเท่ากับพวกเขา มันก็จะไม่มีอันตรายอะไรเกิดขึ้น

 

ความแข็งแกร่งของอสูรรัตติกาลในเวลากลางคืนนั้นเป็นเรื่องโกหก มันก็แค่เป็นการดีกว่าที่จะหลบซ่อน เคลื่อนไหว ทําให้สับสน และอื่นๆตอนกลางคืน ชิงสุ่ยหัวเราะขณะที่ประเมินเธอ “การสืบทอดมรดกแห่งจอมอสูรเป็นเพียงแค่การเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตัวเจ้า มันไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะต้องกลายเป็นคนชั่วร้ายเมื่อบรรลุมัน เจ้าควรจะดูว่าใครเป็นผู้บริสุทธิ์และใครสมควรถูกสังหาร”

 

ภายในโลก 9 มหาทวีป ความแข็งแกร่งในมือของผู้มีอํานาจเป็นตัวตัดสินถูกและผิด

 

“หลิงเยียนของข้าก็สืบทอดมรดกเหมือนกับเจ้า แต่นางจะไม่หลงผิดไปในทางที่ไม่ดี เจ้าต้องควบคุมจิตวิญญาณของตัวเอง มันไม่สามารถครอบงําเจ้าได้หากเจ้ายังคงตั้งมั่น ถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว ในอนาคตเจ้าจะใช้ความแข็งแกร่งที่มีไปเพื่ออะไร? เจ้าจะคงอยู่เพียงเพื่อสังหารและมีชีวิตอย่างอสูร”

 

ถานท่ายหลิงเยี่ยนจับมือชิงสุ่ยเอาไว้ เพียงวูบเดียวจิตใจเธอแทบจะล่องลอยไป เธอกลายเป็นผู้หญิงของชิงสุ่ยตั้งแต่เมื่อไหร่ ชิงสุ่ยทําเพียงแค่จ้องมองดูเธอ

 

ถานท่ายหลิงเยียนยื่นมือออกไปและเขกลงบนศีรษะของชิงสุ่ย “ข้าคงจะสังหารเจ้าไปหลายสิบครั้งแล้ว หากเจ้าเป็นศัตรูของข้า”

 

ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าว “นั่นเป็นเหตุผลว่าทําไมข้าถึงดีใจที่พวกเราอยู่ฝ่ายเดียวกัน”

 

หญิงตรงหน้าพวกเขาอยู่ในสภาพที่พูดไม่ออก เธอไม่เคยติดต่อกับผู้สืบทอดมรดกแห่งจอมอสูรมาก่อน โชคยังดีที่เธอสืบทอดมรดกมาแล้วไม่ได้สูญเสียตัวตนไป

 

ชิงสุ่ยกล่าวต่อ “ข้าไม่สนหรอกว่าเจ้าจะสืบทอดมรดกแห่งจอมอสูรหรือไม่ แต่ข้าไม่ต้องการเห็นเจ้าทําสิ่งที่ขัดต่อศีลธรรม ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่หากเป็นเช่นนั้น”

 

“แล้วข้าควรทําอย่างไรดี? ข้าอยู่เพียงลําพัง ข้ารู้สึกดีที่สัมผัสได้ว่ามีใครบางคนที่มีกลิ่นอายเหมือนกัน ข้าไม่มีครอบครัว ข้าแค่คิดว่าต่อไปนี้ข้าจะไม่ต้องอยู่คนเดียวอีกแล้ว” ทันใดนั้นแววตาของเธอก็ดูอ้างว้างและโดดเดี่ยว

 

ชิงสุ่ยเข้าใจถึงความเหงาที่เธอเป็นอยู่ แต่ในใจเขาก็ยังคิดว่าอสูรรัตติกาลอาจกําลังเสแสร้ง ชิงสุ่ยไม่สามารถเชื่อคําพูดของเธอได้ ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นคําพูดจากผู้อื่น เขาจึงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของถานท่ายหลิงเยี่ยนตัดสินใจ

 

ถานท่ายหลิงเยียนมองไปที่หญิงผู้นี้และกล่าว “ข้าเองก็รู้สึกดี เจ้าสามารถเลือกได้ว่าต้องการจะจากไปหรือมาอยู่กับข้า พวกเราอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม เจ้าต้องเป็นผู้ที่เลือกเอง!”

 

หญิงผู้นี้ลังเล เธอนึกย้อนไปถึงกลิ่นอายที่สัมผัสได้ก่อนหน้านี้ การตัดสินใจนั้นง่ายมาก เพราะเธอไม่มีอะไรอย่างอื่นที่จะให้ทํา “ข้าจะติดตามพี่สาวไป” เธอกล่าวตามที่คิด

 

หญิงผู้นี้เอาผ้าคลุมหน้าออก เผยให้เห็นใบหน้าอันเย็นชาแต่ก็งดงาม รูปร่างหน้าตาและนิสัยของเธอนั้นแตกต่างจากผู้หญิงที่ดูมีอายุ เธอย่อมจะต้องอายุน้อยกว่าชิงสุ่ย

 

“ข้าชื่อ เย่ เหมย ไม่ทราบว่าพี่สาวมีนามว่าอะไร? ชายผู้นี้คือพี่เขยงั้นหรือ?”

 

ชิงสุ่ยยิ้ม เขารู้สึกยินดีมากที่ได้ยินเช่นนั้นจากหญิงสาว แต่แล้วถานท่ายหลิงเยียนก็พูดแทรกขึ้นมา “ข้าชื่อ ถานท่าย หลิงเยียน เขาชื่อ ชิงสุ่ย พวกเราเป็นเพียงสหายกัน”

 

ถึงแม้ว่าเย่เหมยจะรู้อะไรได้เล็กน้อยจากกลิ่นอายของถานท่ายหลิงเยียน แต่เธอก็สัมผัสได้ถึงพลังอันมหาศาลจากการสืบทอดมรดกของถานท่ายหลิงเยียนเหมือนกับชิงสุ่ย

 

ชิงสุ่ยถึงกับอ้าปากค้าง “คืนนี้พวกเราพักกันที่นี่ก่อน พรุ่งนี้ค่อยเดินทางกลับ”

 

ชิงสุ่ยกําลังงุนงง หญิงสาวน่าจะดูมีเล่ห์เหลี่ยมกว่านี้จากชื่ออสูรรัตติกาล ถ้าไม่เช่นนั้นอสูรรัตติกาลก็คงจะเป็นเรื่องไร้สาระ กระนั้นเย่เหมยกลับดูไร้เดียงสาและเรียบๆ นี่มันช่างน่าแปลก เป็นไปได้ไหมว่าเธอเพิ่งจะเริ่มเป็นมัน?

 

เย่เหมยเสนอตัวที่จะเป็นคนออกไปล่าสัตว์ เนื่องจากพวกเขาไม่กลัวว่าเธอจะหลบหนี อีกทั้งเธอยังคุ้นเคยกับพื้นที่นี้ เช่นนั้นพวกเขาจึงเห็นด้วย

 

ชิงสุ่ยมองดูเย่เหมยที่หายลับไปในความมืด เขาหัวเราะ “เจ้าบอกอะไรเกี่ยวกับนางได้บ้าง?”

 

“อสูรรัตติกาลมีความเจ้าเล่ห์ซึ่งยากต่อการควบคุม แต่ข้าก็ไม่คิดว่านางกําลังพยายามปกปิดความแข็งแกร่ง มันจะดีกว่าหากพวกเราระวังตัวเอาไว้ก่อน บางทีสิ่งที่พวกเราเห็นอาจจะเป็นเรื่องจริงก็ได้” ถานท่ายหลิงเยียนกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ

 

“ทําไมนางไปได้ไม่ไกลนักก็กลับมาแล้ว เจ้าสัมผัสได้หรือไม่?” ทันใดนั้นชิงสุ่ยกล่าวกับถานท่ายหลิงเยียน

 

“นางไม่ได้ธรรมดาอย่างที่เห็นไปซะทีเดียว แม้จะไม่มีอะไร พวกเราก็ควรหาสถานที่อื่นเพื่อเอาไว้” ชิงสุ่ยพูดเพียงแค่ให้ถานท่ายหลิงเยียนได้ยินคนเดียวเท่านั้น

 

“หากเป็นผู้อื่น พวกเราควรจะเข้าไปในส่วนลึกของภูเขาอสูรรัตติกาล ข้ายังสัมผัสถึงกลิ่นอายอื่นๆไม่ได้ เจ้าคิดว่าจะเป็นผู้อื่นงั้นหรือ?”

 

“ข้าไม่รู้”

 

“นี่อาจจะเป็นคนใกล้ชิดของนางหรือไม่? ภายในภูเขาอันเงียบสงบแห่งนี้ การอยู่เพียงลําพังกับผู้ชายก็นับว่าไม่เลว” ชิงสุ่ยหัวเราะเบาๆ

 

ถานท่ายหลิงเยียนมองชิงสุ่ยด้วยสายอันหนาวเหน็บ “อย่ามองข้าเช่นนั้น ข้าใจคอไม่ดี”

 

ไม่นานเย่เหมยก็กลับมาถึงอย่างมีความสุขด้วยกระต่ายป่า 2 ตัวที่อยู่ในมือ “พี่สาว พี่ชายชิงชุ่ย ข้าจับกระต่ายมาได้ 2 ตัว เกี่ยวข้าจะนําพวกมันไปล้างก่อน แล้วพวกเราค่อยมาย่างกินกันเถอะ”

 

ทั้งสองพยักหน้าตอบ พวกเรารู้ว่าเย่เหมยต้องมีอะไรอยู่ในใจ พวกเขาตัดสินใจที่จะลองจับตาดูเธอ

 

เย่เหมยย่างเนื้อกระต่ายอย่างชํานาญ แม้ว่ามันจะเทียบไม่ได้กับชิงสุ่ย อย่างไรก็ตามเธอก็นับว่ามีฝีมือ สักพักชิงสุ่ยก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ จังหวะการเต้นหัวใจของเย่เหมยกําลังเร็วขึ้นกว่าปกติเล็กน้อย

 

“พี่สาว นี่สําหรับท่าน” เย่เหมยส่งขาหลังของกระต่ายให้ถานท่ายหลิงเยียน

 

จากนั้นเธอก็ส่งขาหลังอีกข้างหนึ่งให้กับชิงสุ่ย ส่วนเธอกินขาหน้าของกระต่าย

 

“โอ๊ะ ไม่เลวเลย เจ้ามีทักษะดีมาก” ชิงสุ่ยกล่าวในขณะที่กิน

 

ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วสําหรับแผนการของเย่เหมย มียาพิษอยู่ในกระต่ายตัวนี้ เขาจําได้ว่าอสูรรัตติกาลเก่งในการหลบซ่อน ลอบสังหาร พิษ และทําให้สับสน พิษของอสูรรัตติกาลจะต้องไม่ใช่เล่นๆอย่างแน่นอน แต่น่าเสียดายที่เธอเลือกเป้าหมายผิด

 

ชิงสุ่ยส่งข้อความไปถึงถานท่ายหลิงเขียนอย่างเงียบเชียบ “กระต่ายตัวนี้มีพิษ พวกเราค่อยจัดการนางทีหลัง พิษนี้จะสกัดการไหลเวียนลมปราณแรกเริ่มเป็นเวลา 2 ชั่วโมง

 

ขณะที่ชิงสุ่ยและถานท่ายหลิงเยียนกินขาหลังของกระต่าย ชิงสุ่ยก็กล่าวชมเฉยต่อ “มันอร่อยมาก! ข้าแน่ใจว่ามันคงมีสารอาหารที่ดี”

 

“ถูกต้อง ท่านต้องกินมันเยอะๆ” น้ำเสียงของเย่เหมยเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ราวกับเธอโตขึ้นมาภายในช่วงเวลาอันสั้น

 

ชิงสุ่ยมองเธอด้วยความประหลาดใจ เย่เหมยยิ้ม “ท่านรู้สึกไม่สบายหรือเปล่า?”

 

การแสดงออกของชิงสุ่ยเปลี่ยนไป “เจ้าวางยาพิษพวกเราหรือ?”

 

ถานท่ายหลิงเยียนขมวดคิ้ว เธอรู้สึกอยากหัวเราะเมื่อมองดูการแสดงของชิงสุ่ย

 

เย่เหมยยังคงมั่นใจในพิษของเธอ เธอยิ้มอย่างมีความสุข ชิงสุ่ยสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของผู้อื่นจากระยะไกล

 

อย่างที่คาดไว้ มีคนอื่นอยู่ที่นี่ เสียงของถานท่ายหลิงเยียนส่งไปถึงชิงสุ่ย “ยังมีผู้อื่นที่ได้รับมรดกแห่งจอมอสูรอีก”