บทที่ 1625 - ผู้สืบทอดมรดกแห่งจอมอสูรเลิงเฟิง

Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล

บทที่ 1625 – ผู้สืบทอดมรดกแห่งจอมอสูรเลิงเฟิง

 

ชิงสุ่ยถึงกับชะงัก เขาไม่ได้คาดคิดว่าผู้สืบทอดมรดกแห่งจอมอสูรจะมารวมตัวกัน ก่อนหน้านี้ เขาเคยได้พบแบบนี้กับตระกุลนัวมาแล้ว และเวลานี้เย่เหมยก็ไม่ได้อยู่ตามลําพังเช่นกัน

 

อย่างไรก็ตาม ชิงสุ่ยไม่รู้ว่าทําไมเธอจึงมุ่งเป้ามาที่เขาโดยเฉพาะ เขามองไปรอบๆด้วยความสับสนขณะที่ผู้อื่นกําลังมุ่งหน้ามา เมื่อชิงสุ่ยเห็นผู้ที่มาถึงปรากฏตัวอยู่ข้างเย่เหมย เขาก็ต้องตกใจ

 

คนผู้นั้นเป็นชายร่างกายกํายําและแข็งแรง เขายืนห่างออกไป 2-3 เมตรและสวมเสื้อคลุมสีฟ้า เขามีดวงตาที่กลมโตและคิ้วหนา

 

เหตุผลที่ชิงสุ่ยตกใจนั้น ความจริงเป็นเพราะเขาที่ยื่นออกมาทั้ง 2 ข้างซึ่งมีขนาดเท่ากับกําปั้นทารกของชายผู้มาถึง พวกมันถูกปกคลุมด้วยผม

 

ผู้สืบทอดมรดกแห่งจอมอสูร!

 

นี่คือผู้สืบทอดมรดกแห่งจอมอสูร จอมอสูรเป็นหนึ่งในราชันย์อสูรที่ทรงพลังที่สุด ในตํานานเล่าว่าจอมอสูรเป็นผู้สืบทอดของอสูรเทวะบรรพกาล ด้วยเหตุนี้ มีข่าวลือบอกว่าจอมอสูรมีเลือดของอสูรเทวะบรรพกาลไหลเวียนอยู่

 

ชายผู้นี้ดูทรงพลังและสูงสง่า เขาจะดูโดดเด่นไม่ว่าอยู่ที่ไหน ไม่ต้องพูดเลยว่าชายผู้นี้ย่อมแข็งแกร่งกว่าเย่เหมย

 

“พี่เฟิง ชายตรงนั้นเป็นผู้สืบทอดมรดกแห่งเทพสงคราม แต่นางเป็นผู้สืบทอดมรดกแห่งจอมอสูรอย่างแน่นอน พวกเราควรทําอย่างไรดี?” เย่เหมยยิ้มขณะเดินเข้าไปหาชายคนดังกล่าว

 

ชายผู้นี้ขมวดคิ้วและมองไปที่ชิงสุ่ยกับลานท่ายหลิงเยียน เขาเพ่งมองถานท่ายหลิงเยียนไม่นานก่อนที่จะเปลี่ยนไปหาชิงสุ่ย การจ้องมองที่ลึกล้ำของเขาดูเหมือนกับว่ามีพลังที่ไม่อาจอธิบายได้มันทั้งกดดันและสงบ

 

เป็นครั้งแรกที่ชิงสุ่ยได้เห็นชายผู้หนึ่งที่ดึงดูดความสนใจของเขาออกจากถานท่ายหลิงเยียนได้อย่างรวดเร็ว มันไม่ใช่การแสร้งทํา ท่าทางเช่นนี้ไม่อาจปลอมแปลงได้

 

“ประมุขอสูร ข้ารู้จักเจ้ามานานแล้ว ข้าสงสัยว่าเจ้าสนใจเข้าร่วมกับพวกเราหรือไม่?” ชายผู้นี้กล่าวกับถานท่ายหลิงเยียน เสียงของเขาดังกึกก้อง

 

ชิงสุ่ยคิดว่าน้ำเสียงของเขาฟังดูดี มันเหมือนเสียงที่เป็นเอกลักษณ์แบบจอมอสูร

 

ถานท่ายหลิงเยียนจ้องมองชายผู้นี้ “เจ้าคงเป็นผู้สืบทอดมรดกแห่งจอมอสูรเช่นกัน ข้าไม่รู้ว่าจุดมุ่งหมายของเจ้าเหมือนกับผู้สืบทอดคนอื่นๆหรือไม่ ทําไมเจ้าต้องพยายามรวบรวมผู้สืบทอดแห่งจอมอสูร?”

 

ชายผู้นี้พยักหน้า “ข้ามีชื่อว่า เลิง เฟิง ความทรงจําจากมรดกที่สืบทอดมาของข้าบอกให้ข้ารวบรวมเหล่าพี่น้องผู้สืบทอดมรดกแห่งจอมอสูร แม้ว่าพวกเราจะเป็นผู้สืบทอดมรดก มันก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเราจะชั่วร้าย ผู้สืบทอดมรดกแห่งเทพสงครามแท้จริงแล้วก็เหมือนๆกับผู้สืบทอดแห่งจอมอสูร มันก็เพียงแค่ชื่อเรียกที่ต่างกัน ในครั้งอดีตกาล ทั้งสองฝ่ายได้ต่อสู้กัน ท้ายที่สุดพวกเขาเป็นฝ่ายชนะและกลายเป็นเทพสงคราม ตั้งแต่นั้นมา พวกเขาใช้ประโยชนส์จากชื่อที่สร้างขึ้นมาจนถึงทุกวันนี้”

 

ชิงสุ่ยมองดูชายผู้กล่าวเปิดประเด็น “เจ้าอาจจะเป็นคนดี แต่เจ้าอย่าลืมเกี่ยวกับเลือดแห่งจอมอสูร มันไม่อาจเปลี่ยนได้”

 

ชายผู้นี้สายหัว “นี่ไม่เกี่ยวอะไรกับเลือดแห่งจอมอสูร มันอยู่ที่ความเร็วของการฝืนฝนพลังที่ได้รับ ตราบใดที่รากฐานมั่นคง สิ่งที่เจ้าคิดก็จะลดลงไปมาก อย่างไรก็ตามการทําให้มันมั่นคงนั้นยาก มันจึงทําให้เกิดข่าวลือเกี่ยวกับเลือดแห่งจอมอสูร”

 

“ตั้งแต่ที่เจ้ารู้ตัวตนของข้า เจ้าก็รู้ว่าพวกเรามีหน้าที่ต่างกัน ข้าบอกได้เลยว่าเจ้าไม่ใช่ผู้ที่จะเปลี่ยนจิตใจของตัวเองได้ง่ายๆ ดังนั้นพวกเราลองมาแลกหมัดกันเถอะ” ชิงสุ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้มและยืนขึ้น

 

“เป็นไปได้อย่างไร? เจ้าไม่เป็นไรงั้นหรือ?” เย่เหมยเงยหน้าขึ้นมองชิงสุ่ยและถานท่ายหลิงเยียนอย่างไม่เชื่อ

 

“ข้าเลิงเฟิง มาที่นี่เพื่อหารือเกี่ยวกับการผูกมิตรกับประมุขอสูร แต่มันดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ ข้าจะไม่นึกถึงความสัมพันธ์ที่พวกเรามีในฐานะผู้สืบทอดมรดกแห่งจอมอสูรอีกต่อไป ครั้งหน้าที่เจอกันพวกเราคือศัตรู”

 

จากนั้นกลับไปหาเย่เหมย เหมยเอ๋อ ไปกันเถอะ!”

 

“จะไปแล้วงั้นหรือ? พวกเรายังไม่ได้ถอนพิษของเจ้าเลย” ชิงสุ่ยกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

 

เย่เหมยยิ้มตอบ เธอถูกล้อมรอบไปด้วยหมอกสีดําร่วมกับเลิงเฟิง ชิงสุ่ยปล่อยหมัดออกไป แต่หมอกก็สลายไปในทันทีและเหลือไว้เพียงคราบเลือดเล็กน้อยบนพื้น

 

อสูรรัตติกาลเก่งกาจในการปกปิดและหลบซ่อน ชิงสุ่ยคาดการณ์เรื่องนี้ไว้แล้ว แต่เขาก็ยังเสียดาย ความแข็งแกร่งของชายนามเลิงเฟิงไม่น่าจะด้อยไปกว่าถานท่ายหลิงเยียน และชายผู้นี้น่าจะรู้ถึงความน่ากลัวที่เธอมี

 

ชิงสุ่ยรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่ที่พวกนั้นหนีไป ก่อนหน้านี้เขาปล่อยให้ตระกูลนั่วและผู้สืบทอดมรดกของเทพอสูรอินทรีย์อัสนีรอดไป อย่างไรก็ตามทั้งสองคนนี้กล้าที่จะวางยาพวกเขา ชิงสุ่ยหมายที่จะให้พวกนั้นเลือดตกยางออก

 

เมื่อมองไปที่ท้องฟ้าซึ่งมืดมิด ชิงสุ่ยยิ้ม” กลับกันเถอะ!”

 

ถานท่ายหลิงเยียนพยักหน้าหลังจากคิดบางอย่าง

 

ชิงสุ่ยจับมือเธอและใช้ทักษะย่างก้าว 9 เทวา ในความเป็นจริงมันไม่จําเป็นต้องจับมือของเธอ แต่เขายังคงชอบใช้วิธีนี้

 

พวกเขามุ่งหน้ากลับไปจนใกล้กับพระราชวังจอมอสูร ทั้งสองหยุดลง ชิงสุ่ยเรียกวิหคเพลิงนรกานต์ออกมาแทนและใช้มันบินไปยังพระราชวังจอมอสูร

 

“เจ้าจะปล่อยได้หรือยัง!” ถานท่ายหลิงเยียนมองดูชิงสุ่ยที่กําลังจับมือเธอ เขาจับมือแน่นขึ้นเมื่อเปลี่ยนมาขี่วิหคเพลิงนรกานต์

 

ชิงสุ่ยมองมือของพวกเขาราวกับตัวเองเพิ่งรู้สึกตัว “โอ๊ะ ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเรายังจับมือกันอยู่”

 

ถานท่ายหลิงเยียนสายหัวของเธอ ”เจ้ามันหน้าด้านแค่ไหนกัน!”

 

หลังจากพักอยู่ที่พระราชวังจอมอสูร 1 วัน ชิงสุ่ยก็เดินทางกลับบ้าน มันยังมีเวลาเหลืออยู่บ้าง เขาใช้เวลาที่มีพักอยู่ที่บ้านนานหลายวัน

 

หลังจากนั้นเขาก็ไปที่ตระกูลปู้หยาง ตระกูลชิงและตระกูลปู้หยางได้เกี่ยวดองกันด้วยการหมั้นหมายของลูกๆพวกเขา อย่างไรก็ตามการแต่งงานจะมีขึ้นเมื่อพวกเขาโตพอหรืออยู่ที่ความต้องการของคู่หนุ่มสาว ทั้งสองฝ่ายตกลงกันว่าจะไม่บังคับเรื่องการแต่งงาน หากมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่เห็นด้วย

 

สถานการณ์ของหอคอยจักรพรรดิก็เป็นไปด้วยดี จากการสนับสนุนของตระกูลปู้หยางและความสามารถของพวกเขา ไม่มีใครกล้าที่จะสร้างปัญหากับหอคอยจักรพรรดิ ไม่มีใครทําเช่นนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อเหล่าแพทย์ผู้มากฝีมือ

 

นอกจากนี้ชื่อเสียงของหอคอยจักรพรรดิยังเป็นที่รู้จักกันดี หอคอยจักรพรรดิเป็นที่รู้จักไปทั่วทั้งมหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรํา

 

ถัดไปชิงสุ่ยเดินทางไปหาติเฉินและองค์หญิงใหญ่ เฉินตั้งใจที่จะวางมือจากนิกายบงกชเทวะ แต่ก็ยังมีผู้ไม่เห็นด้วย ดังนั้นติเฉินจึงยังคงมีตําแหน่งเป็นผู้นํา ด้วยชื่อเสียงของนิกายบงกชเทวะ ความแข็งแกร่งของพวกเขาภายใต้การนําของเฉินนั้นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่มันก็ยังเป็นหนทางที่อีกยาวไกล มันยังห่างอีกมากจากการไปถึงระดับของนิกายอมตะ

 

โชคดีที่พวกเขาทั้งหมดย้ายมาที่มหาทวีปวิหคอัคคีร่ายรํา พวกเขาอยู่ไม่ไกลนักจากตระกูลชิง นี่เป็นเหตุผลที่ชิงสุ่ยสามารถเดินทางไปไหนได้โดยไม่ต้องกังวล

 

ยี่หวงคู่หวูเองก็อยู่ที่นั่น ผู้หญิงเหล่านี้มักจะมาเยี่ยมตระกูลชิงเป็นครั้งคราว พวกเธอล้วนเป็นภรรยาของชิงสุ่ย

 

ชิงสุ่ยกําลังจะเดินทางไปที่เทือกเขาปู๋โถวในวันนั้น เทือกเขาปู๋โถวตั้งอยู่ริมทะเลสาบเฟิงเหยียน บรรพบุรุษแห่งเทือกเขาปู๋โถวบอกว่าเทือกเขาปู๋โถวตั้งอยู่ที่เชิงเขาและใกล้กับลําธาร ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทําไมเขาจึงเลือกทําเลบริเวณทะเลสาบเฟิงเหยียน

 

ด้านหลังทะเลสาบเฟิงเหยียนคือเทือกเขาหงส์เพลิง ทะเลสาบเฟิงเหยียนดูกลมกลืนไปกับเทือกเขาหงส์เพลิง พวกมันดูราวกับหงส์เพลิงที่สยายปีกเพื่อบินขึ้นสู่ท้องฟ้า

 

เมื่อชิงสุ่ยไปถึงเขาเห็นอวี้ลู่หยานและถานท่ายหยวนที่กําลังเดินเลาะไปตามทะเลสาบ ดูเหมือนว่าพวกเธอกําลังพูดคุยอะไรบางอย่างอย่างมีความสุข เสียงหัวเราะที่แจ่มชัดดังขึ้นต่อเนื่อง

 

การปรากฏตัวของชิงสุ่ยทําให้พวกเธอเต็มไปด้วยความเริงร่า อวี้ลู่หยานพุ่งเข้าหาชิงสุ่ยและกอดเขา

 

ชิงสุ่ยมีความสุขเมื่อได้เห็นเธอ ที่ด้านข้างถานท่ายหยวนมองดูพวกเขาด้วยรอยยิ้มจางๆ

 

หลังจากนั้นสักพัก ชิงสุ่ยก็ออกห่างจากอวี้ลู่หยาน นั่นเป็นเพราะพวกเขารู้สึกตัวว่าถานท่ายหยวนมองดูอยู่ อวี้ลู่หยานเริ่มเขินอาย แต่ยังคงยิ้มอย่างธรรมชาติ “หากน้องหยวนอยากจะกอดเขาบ้าง ข้าก็ไม่ได้ว่าอะไร”

 

อวี้ลู่หยานและถานท่ายหยวนใกล้ชิดกันมาก พวกเธอเข้าใจความคิดของกันและกันแม้ว่าจะไม่ได้พูดออกมาก็ตาม

 

ชิงสุ่ยยื่นแขนของเขาออกไปอย่างใจกว้าง “มาเถอะ เข้ามาในอ้อมแขนข้า”

 

ถานท่ายหยวนใบหน้าแดงก่ำขณะที่เธอเดินเข้าไปหาชิงสุ่ยและกอดเขาอย่างอ่อนโยน อย่างไรก็ตามก่อนที่ชิงสุ่ยจะมีโอกาสได้กอดคืน เธอก็ถอยห่างไปเสียแล้ว เมื่อมองดูสีหน้าที่มัวหมองของชิงสุ่ย เธอยิ้มอย่างมีความสุข

 

ทั้งสามคนเดินขึ้นไปบนยอดเทือกเขาหงส์เพลิง ที่นี่ได้กลายเป็นพื้นที่ต้องห้ามบนเทือกเขาปู๋โถว ในความเป็นจริงพื้นที่ของเทือกเขาหงส์เพลิงบริเวณนี้ได้ถูกเปลี่ยนเป็นของเทือกเขาปู๋โถว

 

ชิงสุ่ยใช้มือแต่ละข้างจับมือของอวี้ลู่หยานและถานท่ายหยวนเอาไว้ เขารู้สึกพึงพอใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ โลกนี้ไม่เหมือนกับช่วงชีวิตก่อนหน้าของเขา โลกแห่งนี้ไม่มีกฏบังคับว่าต้องมีคนรักเพียงคนเดียว ไม่มีข้อกําหนดใดในเรื่องนี้ ตราบเท่าที่ชายหญิงเต็มใจ พวกเขาสามารถแต่งงานได้มากตามที่ต้องการ

 

แม้ว่าชิงสุ่ยจะจับมือของถานท่ายหยวนไว้ เขาก็รู้ว่าเธอยังไม่พร้อม เขารู้สึกได้ แต่เขาก็ไม่อยากปล่อยผู้หญิงคนนี้ไป เมื่อคิดย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ระหว่างพวกเขาทั้งสองและอวี้ลู่หยาน เขายังคงเห็นภาพของตัวเองกับสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน