จนกระทั่งพลังภายในร่างของอู๋จุนถูกดูดซับจนหมด ลำแสงนั้นได้ตอบสนองอย่างสมบูรณ์แล้วจึงรวมตัวกัน แสงสว่างโดยรอบร่างกายของซูจิ่นซีพลันแปรเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท
‘ครืน’ ร่างของอู๋จุนล้มลงบนพื้นอย่างรุนแรง
ขณะเดียวกัน ซูจิ่นซีก็ลืมตาขึ้น นางพลิกตัวลุกจากเตียงและรีบเดินไปหาอู๋จุน
“อู๋จุน เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? อู๋จุน?”
ก่อนหน้านี้ ซูจิ่นซีได้ยินทุกอย่างที่อู๋จุนตะโกนอยู่นอกลำแสง ทั้งยังสามารถรับรู้เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นโดยรอบ ทว่าการกระทำของเธอถูกควบคุมโดยพลังภายในที่ทรงพลัง จึงไม่สามารถตอบสนองอู๋จุนและไม่สามารถลืมตาได้
เมื่อลำแสงที่อยู่โดยรอบหายไป นางจึงฟื้นคืนสติ ปฏิกิริยาตอบสนองแรกคือวิ่งเข้าไปหาอู๋จุน
หลังตรวจดูชีพจร ใบหน้าของซูจิ่นซีก็เผยให้เห็นความรู้สึกผิดอย่างลึกซึ้ง ทั้งยังตื่นตระหนกจนทำอันใดไม่ถูก
วรยุทธ์ทั้งหมดของอู๋จุนในช่วงหลายปีมานี้ถูกทำลายไปจนสิ้น ตอนนี้เขาไม่มีพลังภายในหลงเหลืออยู่เลย ไม่เพียงไม่แตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไปเท่านั้น ทว่าชีวิตของเขายังตกอยู่ในสภาวะอันตรายตลอดเวลา
สิ่งแรกที่ซูจิ่นซีทำคือนำยาหนึ่งเม็ดจากระบบถอนพิษให้อู๋จุนทาน
จากนั้นจึงใช้เข็มเงินสกัดไปที่จุดเฟิ่งฉีของเขา
ทว่าวิธีการเหล่านี้เป็นเพียงการช่วยชีวิตของเขาไว้ชั่วคราว เขาได้รับบาดเจ็บภายใน หากต้องการรักษาอีกขั้นหนึ่ง จำเป็นต้องร่วมมือกับผู้ที่มีวรยุทธ์สูงส่ง เพื่อใช้พลังภายในรักษาเขาและฟื้นฟูจุดตันเถียนที่ได้รับความเสียหาย
ไม่เช่นนั้น ต่อให้รักษาอู๋จุนจนหายดีแล้ว ก็ยังมีความเป็นไปได้ที่เขาอาจไม่สามารถฟื้นฟูวรยุทธ์ได้อีก
ซูจิ่นซีใช้สมองครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว พลางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เรียนรู้การใช้พลังภายในเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของอู๋จุน
อย่างไรเสีย พลังภายในของนางก็ไม่ได้อ่อนแอ
ทว่านางทดลองอยู่หลายครั้ง ก็ไม่สามารถควบคุมพลังภายในตามความต้องการของตนเอง และถ่ายเทพลังภายในของตนไปยังร่างของอู๋จุนได้สำเร็จ
จะทำอย่างไร?
ทำอย่างไรดี??
ซูจิ่นซีมีท่าทีกังวล นางกัดริมฝีปากแน่น
อู๋จุนในตอนนี้ตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายอย่างมาก หากล่าช้าไปเพียงก้าวเดียว ก็ยิ่งอันตรายมากขึ้น
ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้ แววตาของซูจิ่นซีปรากฏความมุ่งมั่น นางพยุงอู๋จุนขึ้นมาอย่างยากลำบาก และดึงร่างของเขาขึ้นไปวางบนเตียง จากนั้นจึงเดินออกไปข้างนอก
นางคิดจะตามหาใครสักคนให้ไปเชิญมู่หรงฉี
คิดดูแล้ว ในยามนี้ ทั่วทั้งจวนฉีอ๋องมีเพียงมู่หรงฉีเท่านั้นที่มีวรยุทธ์สูงส่ง
ทว่าเมื่อเดินออกมา ซูจิ่นซีกลับไม่พบผู้ใดแม้แต่คนเดียว ดังนั้นนางจึงเดินไปหามู่หรงฉีด้วยตนเอง
ทางเดินและตรอกแคบ ศาลาในสวน และศาลาริมน้ำ ซูจิ่นซีเดินเป็นเวลานาน ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ดูเหมือนนางจะหลงทางเสียแล้ว……
เมื่อตอนกลางวัน เป็นมู่หรงฉีที่เดินนำนางกับอู๋จุนเข้ามาทางประตูหลัก ข้ามผ่านห้องโถงกลาง จากนั้นก็ตรงไปยังที่พักของนาง นางจำได้ว่า เวลานั้น ระหว่างทางเดินต้องผ่านระเบียงสองแห่ง สวนดอกไม้หนึ่งแห่ง แต่ไม่เจอภูเขาหินหรือศาลาริมน้ำ ทว่าตั้งแต่นางเดินมา นางพบศาลาริมน้ำถึงสามครั้ง
ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ นางเดินวนรอบจวนฉีอ๋องอยู่นาน ทว่าไม่พบแม้แต่บ่าวรับใช้หรือองครักษ์ คืนนี้คนในจวนฉีอ๋องไปที่ใดกันหมด?
บรรดาบ่าวรับใช้ไม่ต้องคอยรับใช้ และเหล่าองครักษ์ไม่ต้องลาดตระเวนหรือ?
เมื่อนึกถึงอู๋จุนที่กำลังจะตาย และกำลังดิ้นรนเพื่อให้มีชีวิตรอด ซูจิ่นซีก็รู้สึกวิตกกังวลมากขึ้น เขาจำเป็นต้องได้รับการรักษาโดยเร็ว ใบหน้าของนางแสดงออกถึงความสิ้นหวัง ทั้งยังเดินวนไปมาอยู่หลายครั้ง
ทำอย่างไรดี?
ทำอย่างไรดี??
ทำอย่างไรดี???
หากยังไม่เจอผู้ใด ยังหาทางออกไม่เจอ ทั้งยังตามหามู่หรงฉีไม่พบ อู๋จุนต้องตายเป็นแน่
ขณะที่กำลังรู้สึกกระวนกระวายใจ ทันใดนั้นสายตาของซูจิ่นซีก็มองไปที่ป่าไผ่ นางจำได้ว่าตอนกลางวันที่มู่หรงฉีพาพวกนางไปยังที่พัก ระหว่างทางได้เดินผ่านป่าไผ่ จากทิวทัศน์โดยรอบและทิศทางโดยประมาณ ซูจิ่นซีจึงคาดเดาได้คร่าวๆ ถึงตำแหน่งที่ตนเองอยู่ และรีบเดินไปทางป่าไผ่นั้นทันที
ช่วงกลางฤดูร้อน ลมหนาวยามค่ำคืนพัดพาความอบอุ่นเข้ามา ทำให้ซูจิ่นซีที่มีความกังวลยิ่งรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้น ด้วยเหตุนี้นางจึงรีบเดินอย่างรวดเร็ว
ทว่าเดินไปได้ครู่หนึ่ง ซูจิ่นซีก็เริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ
ก่อนหน้านี้นางหลงทางอยู่ที่จวนฉีอ๋อง ในเวลานี้นางยังหลงทางอยู่ในป่าไผ่อีก
บัดซบ!
ชีวิตช่างบัดซบเสียจริง ทุกหนแห่งล้วนมีความเสี่ยงและเหนือความคาดหมาย
ซูจิ่นซีสบถอยู่ในใจพลางขมวดคิ้วแน่น
ครู่หนึ่ง ท่าทางกังวลใจของนางก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความสงบนิ่ง นางหลับตาลงอย่างเชื่องช้า สัมผัสกำไลปี่อั้นที่อยู่บนข้อมือ และเปิดอาคมกำไลปี่อั้นจนถึงระดับสูงสุด
เมื่อเสียงต่างๆ ที่อยู่โดยรอบดังเข้ามาในหู ซูจิ่นซีจึงกระตุกมุมปากอย่างแรง
แม้จะฟังเสียงเหล่านั้นได้ไม่ชัดเจนนัก ทว่าซูจิ่นซีสามารถแยกความแตกต่างของเสียงได้ เสียงลม เสียงใบไผ่กระทบกัน เสียงของแมลง และเสียงนกโดยรอบที่ฟังดูผิดปกติ
หากนางเดาไม่ผิด ทุกที่ในจวนฉีอ๋องคงเต็มไปด้วยค่ายกล สาเหตุที่นางหลงทางเป็นเพราะนางเดินเข้าไปในค่ายกลนั่นเอง
มิน่าเล่า คืนนี้นางเดินรอบจวนฉีอ๋อง ทว่าไม่พบผู้ใดเลย ทั้งยังไม่เห็นองครักษ์ออกลาดตระเวนแม้แต่คนเดียว
เมื่อมีค่ายกลเช่นนี้ ผู้ใดจะกล้าออกมายามค่ำคืนเล่า? จำเป็นต้องมีองครักษ์ลาดตระเวนเพื่อการณ์ใด?
นึกมาถึงจุดนี้ ปฏิกิริยาแรกของซูจิ่นซีคือ แย่แล้ว!
ตอนนี้อู๋จุนแย่แล้ว
ไม่รู้ว่าเมื่อใดที่ลูกน้องของมู่หรงฉีจะสังเกตเห็นว่านางได้เดินเข้าสู่ค่ายกล ยิ่งไม่รู้ว่าเมื่อใดที่นางจะสามารถออกจากค่ายกลไปได้ ทว่าอู๋จุนไม่อาจรอได้นานถึงเพียงนั้น
ยามค่ำคืน คาดว่าคนส่วนใหญ่คงนอนหลับพักผ่อนเป็นแน่ หากพรุ่งนี้เช้านางถูกพบตัว เช่นนั้นอู๋จุนคงหมดหนทางช่วยเหลือแล้วจริงๆ
ซูจิ่นซียิ่งคิดก็ยิ่งกังวล ยิ่งคิด ภายในใจก็ยิ่งรู้สึกผิดต่ออู๋จุน
ไม่ได้ นางไม่อาจปล่อยให้เกิดเรื่องเช่นนี้กับอู๋จุน ไม่ได้อย่างแน่นอน
แม้ต้องเผชิญหน้ากับค่ายกลห้าธาตุซึ่งเป็นค่ายกลที่ยากที่สุด ทั้งพื้นที่ของค่ายกลยังใช้ประโยชน์จากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ไม่ได้ปรับแต่งด้วยค่ายกลอื่นใด ดังนั้นการใช้อาคมกำไลปี่อั้นแยกเสียงจึงไม่สามารถหาทิศทางของธาตุทอง ไม้ น้ำ ไฟ และดินได้ ยิ่งไม่สามารถระบุตำแหน่งของค่ายกลได้ด้วยตา ทว่าซูจิ่นซียังต้องพยายามอย่างสุดกำลัง
ดังนั้นซูจิ่นซีจึงปรับระดับอาคมกำไลปี่อั้น ปรับแล้วปรับอีกเพื่อให้แน่ใจว่าตนเองควบคุมการเคลื่อนไหวทั้งหมดได้ และจากความรู้ทั้งหมดเกี่ยวกับค่ายกลห้าธาตุที่เยี่ยโยวเหยาเคยสอน เมื่อครั้งที่พวกเขาทำลายค่ายกลด้วยกันหลายต่อหลายครั้ง คือต้องแยกแยะทิศทางและตำแหน่ง และเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า
เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม ไม่รู้ว่าซูจิ่นซีเดินไปที่ตำแหน่งใด ทันใดนั้นก็มีเสียงคำรามของกระบี่เหมันต์ดังขึ้นข้างหูราวกับเสียงมังกร และเสียงของคมกระบี่ที่กระทบต้นไม้อย่างต่อเนื่อง
ภายในใจซูจิ่นซีพลันตื่นตระหนก นางตั้งสมาธิฟังต่อไป พบว่าเสียงนั้นเป็นเสียงของคนฝึกกระบี่
เยี่ยมมาก ในที่สุดก็พบคนเป็นๆ แล้ว
ซูจิ่นซีรีบลืมตาขึ้น นางโยนกิ่งไม้ในมือเพื่อทำเครื่องหมาย และรีบวิ่งไปตามทิศทางของเสียงฝึกกระบี่
ผ่านไปราวหนึ่งกาน้ำชาเดือด เสียงนั้นยิ่งดังชัดเจนมากขึ้น ซูจิ่นซีเคลื่อนที่เข้าไปใกล้เรื่อยๆ นางมองเห็นร่างในชุดสีขาวนวลจันทร์ปรากฏอยู่เบื้องหน้า
มู่หรงฉี!!
บัดซบ… นึกจะเจอก็เจออย่างไม่ตั้งใจ ไม่ต้องใช้ความพยายามแม้แต่น้อย
คาดไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุการณ์พลิกผัน ผู้ที่นางกำลังตามหา ปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าแล้ว
ซูจิ่นซีรู้สึกยินดียิ่งนัก นางกำลังจะตะโกนเรียกชื่อมู่หรงฉี ทว่านางเพิ่งอ้าปาก เสียงที่อยู่ในลำคอยังไม่ทันเปล่งออกมา ทันใดนั้น หูของนางก็มีเสียงราวกับฟ้าร้องดังขึ้น
‘ตี๊ด ตี๊ด ตี๊ด… ’
ซูจิ่นซีตกตะลึงและหยุดฝีเท้า สีหน้าพลันเปลี่ยนไป