นั่นเป็นเสียงของระบบถอนพิษที่เตือนว่ามีสารพิษจำนวนมากอยู่โดยรอบ
ซูจิ่นซีกำลังจะร้องเตือน นางเห็นมู่หรงฉีที่ถือกระบี่พลิกตัวไปมาอย่างรวดเร็วและงดงามอยู่กลางอากาศ ปิ่นปักผมที่แตกหักหล่นออกมาจากอกของเขา
ตอนที่ปิ่นปักผมยังไม่ทันตกถึงพื้น มู่หรงฉียังคงใช้กระบวนท่าห่านเหินลงบนผืนทรายและคว้าปิ่นปักผมไว้ได้พอดี ทั้งยังยืนอย่างมั่นคงภายใต้ต้นไผ่สีเขียวที่ก่อให้เกิดเสียงดังกรอบแกรบเขามีท่าทางเศร้าซึม มือจับปิ่นปักผมไว้แน่น จนคราบเลือดไหลซึมออกมาระหว่างนิ้วมือ
ที่แท้ มู่หรงฉีไม่อาจลืมจงจื่อเยียนได้จริงๆ ดังนั้นในยามกลางคืน เขาจึงกวัดแกว่งกระบี่อย่างบ้าคลั่งเพียงลำพังด้วยความเจ็บปวดใจ
โดยปกติ สถานการณ์เช่นนี้ควรปล่อยให้เขาได้มีพื้นที่ส่วนตัวจึงจะเหมาะสมที่สุด คงไม่เป็นการดีหากเข้าไปรบกวนอย่างไม่ตั้งใจ
ทว่าตอนนี้ เรื่องอู๋จุนเป็นเรื่องเร่งด่วนและไม่อาจล่าช้าได้ ซูจิ่นซีครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรโดยไม่รบกวนมู่หรงฉี ทั้งไม่เป็นการทำลายความเป็นส่วนตัวของเขา เมื่อซูจิ่นซีก้าวออกมาปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้า เสียงแจ้งเตือนของระบบถอนพิษก็ดังขึ้นอีกครั้ง
‘ตี๊ด ตี๊ด ตี๊ด… ’
ทันใดนั้น ซูจิ่นซีก็เห็นหิ่งห้อยที่แลดูงดงามฝูงใหญ่กำลังเคลื่อนที่ไปทางมู่หรงฉี
ในเวลาเดียวกันนั้น มู่หรงฉีก็มองเห็นฝูงหิ่งห้อยเช่นกัน
หากเป็นยามปกติ จู่ๆ มีฝูงหิ่งห้อยปรากฏขึ้นตรงหน้าเช่นนี้ แม้มู่หรงฉีจะมองไม่ออกว่าเป็นหิ่งห้อยพิษ ก็ต้องสัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง
ทว่าวันนี้ ภายในใจของเขากลับถูกบดบังด้วยรอยแผลที่เจ็บปวดจนขาดการรับรู้ ทำให้มองสิ่งใดไม่เห็น อย่างไรก็ตาม ขณะที่มู่หรงฉีมองหิ่งห้อยนั้น ความทรงจำบางอย่างก็ผุดขึ้นภายในใจ ท่าทีของเขาแปรเปลี่ยนเป็นหม่นหมองมากยิ่งขึ้น
“มู่หรงฉี ระวัง… ”
สีหน้าของซูจิ่นซีเปลี่ยนไปอย่างมาก นางส่งเสียงเตือนและรีบวิ่งไปดึงมู่หรงฉีออกมา
ทว่าสายเกินไปเสียแล้ว
ระยะห่างมากเกินไป อีกทั้งฝูงหิ่งห้อยเหล่านั้นยังเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว
มู่หรงฉีได้ยินเพียงเสียงของซูจิ่นซีเท่านั้น เขาไม่ทันได้ตอบสนองต่อสิ่งที่ต้องระวัง ทำเพียงมองไปยังทิศทางของเสียง ซึ่งเป็นทิศทางที่ซูจิ่นซียืนอยู่
ในเวลานั้นเอง ฝูงหิ่งห้อยที่เต็มไปด้วยพลังทำลายล้างราวกับสัตว์ประหลาดฝูงหนึ่ง ก็กลืนกินร่างของมู่หรงฉีที่อยู่ในชุดสีขาวนวลจันทร์
ใบหน้าตื่นตระหนกของซูจิ่นซีแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ในระยะที่คนไม่สามารถต่อสู้แบบประชิดกับเหล่าหิ่งห้อยพิษได้ ซูจิ่นซีพลิกฝ่ามือ ทันใดนั้นผงพิษจำนวนมากก็ปรากฏบนฝ่ามือและถูกสาดออกไปอย่างรวดเร็ว
ในเวลาปกติ ระยะทางไกลเช่นนี้ ซูจิ่นซีคงไม่มีพละกำลังพอที่จะสาดผงพิษออกไปได้ ทว่าความรู้สึกสิ้นหวังของนางได้ส่งผลต่อพลังภายในอันแข็งแกร่งโดยไม่รู้ตัว ทำให้ผงพิษนั้นสาดออกไปอย่างแม่นยำ และตกลงบนตัวหิ่งห้อยพิษเหล่านั้นตามความต้องการของนางพอดิบพอดี
เวลาเพียงชั่วครู่ เหล่าหิ่งห้อยพิษที่เปล่งแสงสว่างไสวสวยงามก็สูญสิ้นแสงสว่าง พวกมันค่อยๆ ร่วงหล่นกระจัดกระจายอยู่บนพื้นราวเกล็ดหิมะ ขณะเดียวกันก็เผยให้เห็นร่างในชุดสีขาวนวลจันทร์ที่รอดพ้นจากอันตราย
ซูจิ่นซีรู้สึกยินดีอยู่ในใจ นางรีบเดินเข้าไปหามู่หรงฉี
นั่นคือพิษเผ่าเหมียวชนิดหนึ่งซึ่งมีฤทธิ์ร้ายแรง มีชื่อเรียกว่าพิษหยิงกู่ เป็นพิษที่ร้ายแรงยิ่งกว่าแมลงปอโลหิตแห่งแคว้นจงหนิงก่อนหน้านี้เสียอีก
ในระบบถอนพิษของซูจิ่นซียังไม่มีข้อมูลการจดบันทึกที่สมบูรณ์เกี่ยวกับพิษหยิงกู่ ดังนั้นในตอนนี้ ระบบถอนพิษจึงไม่อาจเสนอวิธีการเตรียมยาถอนพิษ หรือแนวทางการถอนพิษได้
หลังจากที่ซูจิ่นซีตรวจสอบและยืนยันชีพจรของมู่หรงฉีแล้ว ในสมองก็ครุ่นคิดอย่างรวดเร็วเพื่อหาวิธีถอนพิษให้มู่หรงฉี ด้วยเหตุผลบางประการ ทันใดนั้นนางก็นึกถึงเรื่องที่เลือดของตนเคยช่วยแก้พิษในร่างกายของเยี่ยโยวเหยาได้ ซูจิ่นซีจึงไม่คิดสิ่งใดมาก นางดึงปิ่นหยกบนศีรษะออกมากรีดไปที่ข้อมือ และยื่นบาดแผลไปทาบริมฝีปากของมู่หรงฉี
เลือดพิเศษของนางเคยช่วยชีวิตเยี่ยโยวเหยา ทั้งยังเคยช่วยชีวิตไทเฮาของแคว้นจงหนิง บางทีอาจสามารถใช้กับพิษหยิงกู่ได้
แม้ไม่อาจขับสารพิษได้อย่างสมบูรณ์ ทว่าขอเพียงสามารถขจัดพิษได้ ก็สามารถยื้อเวลาให้นางคิดค้นวิธีการถอนพิษได้มากขึ้น
เลือดรสหวานเจื่อนไหลเข้าไปในปากของมู่หรงฉีที่ยังคงไม่ได้สติ เขารู้สึกถึงความผิดปกติและต้องการปฏิเสธ ทว่าซูจิ่นซีใช้มืออีกข้างประคองมู่หรงฉีขึ้นมา นางเอียงลำคอของเขา และใช้แรงกดข้อมือไว้ที่ปากของเขา
“มู่หรงฉี ดื่มลงไป! ”
“มู่หรงฉี ท่านได้ยินหรือไม่? เพียงดื่มลงไป ท่านจึงจะมีโอกาสรอด! ”
“นี่คือเลือดที่สามารถช่วยชีวิตท่าน มู่หรงฉี ดื่มลงไป… ”
มู่หรงฉีรู้สึกตัวอยู่บ้าง เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น ไม่รู้ว่าเขามองเห็นชัดเจนหรือไม่ว่าผู้ที่อยู่ข้างกายคือซูจิ่นซี ทว่าเขาก็ดื่มเลือดอย่างเชื่อฟัง
ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากด้วยความยินดี นางเร่งบีบมือตนเองสองครั้ง พยายามทำให้เลือดไหลเวียนได้เร็วขึ้น
ทว่าในตอนนั้นเอง เสียงของบางอย่างตกลงบนพื้นและแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ก็ดังเข้ามาในหูอย่างชัดเจน
เนื่องจากซูจิ่นซีเปิดอาคมกำไลปี่อั้น เสียงที่ดังข้างหูของนางจึงดังชัดเจนมากกว่าปกติ
เวลานี้ยังมีผู้ใดสามารถปรากฏตัวที่นี่ได้อีก?
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วพลางมองไปยังทิศทางของเสียงนั้น
นางเห็นเพียงแสงจันทร์สาดส่องลงมาจากกิ่งไผ่ ระหว่างกิ่งไผ่สีเขียวที่พลิ้วไหวสลับกับเงาของแสงจันทร์ มีสตรีนางหนึ่งในชุดสีม่วงอ่อนยืนอยู่
สตรีนางนั้นมัดผมมวยคู่อย่างงดงาม ใบหน้าผิวพรรณขาวนวล ดวงตากลมโต คิ้วดกหนา มองดูแล้วคงอายุรุ่นราวคราวเดียวกับซูจิ่นซี
กล่องและจานใส่อาหารตกแตกกระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น
เสียงที่ดังเมื่อครู่ คงมาจากกองสิ่งของที่แตกกระจายเหล่านั้น
สตรีนางนั้นเห็นซูจิ่นซีมองมาทางตน แววตาตกตะลึง พลันคืนสติ นางรีบวิ่งมาทางซูจิ่นซีและมู่หรงฉี
“พี่ฉี ท่านเป็นอย่างไรบ้าง? พี่ฉี… ”
สตรีนางนั้นวิ่งเข้ามากอดร่างมู่หรงฉีออกจากอ้อมแขนของซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วและหรี่ตาลงเล็กน้อย จากการแต่งกายและการพูดคุยกับมู่หรงฉี คาดว่าสตรีนางนี้คงมีสถานะสูงส่งในราชวงศ์ของแคว้นหนานหลี ซูจิ่นซีจึงไม่พูดอันใด ทำเพียงดึงมือกลับอย่างเงียบงัน ปกปิดความเจ็บปวดของบาดแผลไว้ในแขนเสื้อกว้าง
สตรีนางนั้นร้องเรียกมู่หรงฉีสองครั้ง เมื่อเห็นมู่หรงฉีไม่มีอาการตอบสนอง ดวงตางดงามจึงจ้องมองมาที่ซูจิ่นซี “เจ้าคือผู้ใด? เจ้าทำสิ่งใดกับพี่ฉี? ”
เพียงชั่วพริบตา ซูจิ่นซีก็เข้าใจในทันที มีความเป็นไปได้ว่าสตรีผู้นี้จะเข้าใจนางผิด
ซูจิ่นซีจึงลุกขึ้นยืนและประสานมือคำนับสตรีผู้นั้น “ข้าเป็นสหายของฉีอ๋อง ฉีอ๋องถูกพิษหยิงกู่ ดังนั้นจึงไม่ได้สติ อย่างไรก็ตาม แม่นางโปรดวางใจ แม้ท่านอ๋องจะถูกพิษ ทว่าข้าให้ฉีอ๋องเสวยโอสถแล้ว ตอนนี้จึงไม่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต รอจนหายาถอนพิษมาให้ฉีอ๋องเสวยได้ พระองค์ก็จะปลอดภัย”
แววตาวิตกกังวลและตึงเครียดของสตรีนางนั้นผ่อนคลายลงเล็กน้อย ทว่าดูเหมือนนางจะไม่วางใจในตัวซูจิ่นซี ยิ่งไปกว่านั้นยังมองซูจิ่นซีด้วยท่าทีเกลียดชัง “ข้าจะเชื่อเจ้าได้อย่างไร? ”