หนังตาซูจิ่นซีกระตุกเล็กน้อย
ตามความเข้าใจของนางก่อนหน้านี้ เกี่ยวกับเชื้อพระวงศ์แห่งแคว้นหนานหลีและสกุลจง นางไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าในกลุ่มเชื้อพระวงศ์แคว้นหนานหลีจะมีจวิ้นจู่
ฮ่องเต้แคว้นหนานหลีหายตัวไปหลายปี พระองค์มีพระโอรสเพียงผู้เดียวคือมู่หรงฉี ไม่มีธิดาแต่อย่างใด
ในสกุลจงก็มีมู่หรงเฟิงเป็นท่านอ๋องเพียงผู้เดียว ทั้งยังไม่ได้อภิเษกสมรสและไม่มีบุตรธิดา
สตรีที่อยู่ตรงหน้านี้ เป็นจวิ้นจู่มาจากที่ใด?
ซูจิ่นซีครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นสตรีผู้นั้นมองตนด้วยแววตาเกลียดชังอย่างลึกซึ้ง จึงประสานมือคำนับแล้วพูดว่า “กระหม่อมมีตาแต่ไร้แวว ไม่ทราบว่าพระองค์เป็นจวิ้นจู่จึงทำให้โกรธเคือง จวิ้นจู่โปรดประทานอภัยด้วยเถิด”
สตรีผู้นั้นไม่ได้ตอบรับ แววตาของนางยังคงจ้องมองซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีประสานมือคำนับต่อไป มุมปากเผยให้เห็นรอยยิ้ม “จวิ้นจู่เชื่อกระหม่อมเถิด แม้กระหม่อมไม่ใช่สหายสนิทของฉีอ๋อง ทว่าเคยได้รับความเมตตาจากพระองค์มาก่อน ตอนนี้บุญคุณที่ท่านอ๋องให้กระหม่อมอยู่อาศัยอย่างสุขสบายในจวนฉีอ๋องนี้ กระหม่อมต้องหาโอกาสตอบแทนอย่างแน่นอน จะกล้าเอาชีวิตฉีอ๋องมาล้อเล่นได้อย่างไร? ”
สีหน้าเกลียดชังของสตรีผู้นั้นคลายลงเล็กน้อย นางมองซูจิ่นซีขึ้นลงแล้วพูดว่า “เจ้าเป็นหมอหรือ? ”
“กระหม่อมเป็นหมอ รู้เรื่องวิชาแพทย์เพียงเล็กน้อย! ”
“ตอนนี้เจ้าอาศัยอยู่ในจวนฉีอ๋องหรือ? ”
“เป็นพระคุณของฉีอ๋อง! ”
“เจ้าแซ่ซูใช่หรือไม่? ”
“กระหม่อมแซ่ซู นามอวิ๋นคาย”
ซูอวิ๋นคายเป็นนามแฝงที่ซูจิ่นซีคิดได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ปลอมตัวเป็นชายเข้ามาในแคว้นหนานหลี
สายตาของสตรีนางนั้นจ้องซูจิ่นซีขึ้นลงอีกครั้ง จากนั้นก็จ้องมองใบหน้าของซูจิ่นซี
ผมที่ปักด้วยปิ่น เมื่อมองมาจากด้านหลังแล้วเหมือนสตรียิ่งนัก แต่เมื่อมองจากด้านหน้า แม้รูปร่างจะเล็ก ทว่าสีผิวกลับเป็นสีเหลืองขมิ้นเข้ม ใบหน้าที่ถูกตกแต่งเป็นพิเศษมีความแข็งแกร่งเหมือนบุรุษ
“มัดผมขึ้น! ”
ซูจิ่นซีใช้มือมัดผมขึ้นตามความต้องการของสตรีผู้นั้น สายตาของนางมองไปที่ติ่งหูของซูจิ่นซี
โชคดีที่ก่อนหน้านี้ซูจิ่นซีไม่ได้ละเลยรายละเอียดเพียงเล็กน้อย จึงได้ปิดรูที่ติ่งหูไว้นานแล้ว
สตรีผู้นั้นไม่พบเบาะแสใดๆ จากติ่งหูของซูจิ่นซี จึงพูดว่า “หันหลังกลับไป”
เมื่อซูจิ่นซีหันกลับไปตามความต้องการของสตรีผู้นั้น แววตาของนางก็ปรากฏความอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย
“เจ้าเป็นบุรุษใช่หรือไม่? ”
แม้ซูจิ่นซีจะมองออกว่าสตรีนางนี้มีความสงสัย ทั้งยังตั้งใจถามนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทว่าใบหน้าของนางยังคงเผยให้เห็นความตกตะลึงเล็กน้อย “หรือ… จวิ้นจู่คิดว่ากระหม่อมเป็นสตรี? ”
แววตาของสตรีผู้นั้นแสดงออกอย่างขออภัย “เมื่อครู่เห็นท่าทางที่เจ้ากอดพี่ฉี รวมถึงรูปร่างหน้าตาและเส้นผมของเจ้าที่ปลิวไสวอยู่ด้านหลัง ช่างเหมือนสตรียิ่งนัก ข้ามองเจ้าผิดไป… ต้องขออภัยท่านหมอซูด้วย!”
ท่านหมอซู…
ชื่อเรียกนี้ช่างแปลกใหม่เสียจริง
อย่างไรก็ตาม เมื่อมองไปยังรูปลักษณ์และใบหน้าของสตรีผู้นี้ ตลอดจนน้ำเสียงและการสนทนาเมื่อครู่ ซูจิ่นซีสามารถรับรู้ได้ว่านางเป็นสตรีที่ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมและมีจิตใจเรียบง่ายบริสุทธิ์
เพราะเหตุนี้ ซูจิ่นซีจึงไม่สนใจที่จะโต้เถียง
นางยกยิ้มมุมปากอย่างอ่อนโยน
“จวิ้นจู่ กระหม่อมไม่คู่ควร สถานะของกระหม่อมต่ำต้อย จะกล้ารับคำขอโทษจากพระองค์ได้อย่างไร! ทว่าฉีอ๋องได้รับพิษ ทั้งป่าไผ่นี้ยังมีน้ำค้างจำนวนมาก ยามนี้ร่างกายที่อ่อนแอของเขาไม่อาจทนรับความเย็นได้ ทางที่ดีรีบพาท่านอ๋องออกจากที่นี่ก่อนเถิด”
“ท่านหมอซูพูดถูก! ข้าจะไปเรียกคนมาพาพี่ฉีออกไป”
นางพูดพลางหยิบนกหวีดไม้ไผ่ออกจากอกเสื้อ นำมาวางไว้ที่ริมฝีปากและเป่าสามครั้ง จากนั้นจึงนำพลุส่งสัญญาณออกมาจุดไปทางทิศเหนือ
เมื่อดอกไม้ไฟถูกจุดในป่าไผ่ ครู่หนึ่งเหล่าองครักษ์ของจวนฉีอ๋องก็ปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้า
ซูจิ่นซีมองสตรีผู้นั้นเก็บนกหวีดไม้ไผ่ไว้ที่อกเสื้อ ก่อนจะมองไปที่เหล่าองครักษ์ และหันกลับไปมองสตรีผู้นั้นด้วยแววตาล้ำลึกเล็กน้อย
ตัวตนของสตรีผู้นี้ไม่ธรรมดาจริงๆ ดูแล้วสถานะของนางในจวนฉีอ๋องต้องไม่ธรรมดาแน่นอน ไม่เช่นนั้นมู่หรงฉีจะมอบสิ่งสำคัญอย่างวิธีออกจากค่ายกล และการติดต่อองครักษ์เงาให้นางได้อย่างไร?
เหล่าองครักษ์แบกมู่หรงฉีออกไป ซูจิ่นซีจึงตามออกไปพร้อมกัน ทว่าในใจของนางยังคงกังวลกับอาการบาดเจ็บของอู๋จุน อย่างไรก็ตาม ทางมู่หรงฉีก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องถึงชีวิต มีความสำคัญอย่างยิ่งเช่นกัน นางจึงไม่สามารถจากไปในตอนนี้ได้
อู๋จุนต้องการผู้ที่มีวรยุทธ์สูงส่งเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ ทว่าตอนนี้ กระทั่งมู่หรงฉียังถูกพิษ ซูจิ่นซีไม่รู้ว่าต้องไปตามหาผู้ใด ยังมีผู้ใดที่นางสามารถวางใจได้อีก
แม้ซูจิ่นซีไม่ได้แสดงความรู้สึกออกมาให้เห็นภายนอก ทว่าในใจกลับกังวลอย่างมาก ด้านหนึ่งคือหาวิธีถอนพิษให้มู่หรงฉี อีกด้านหนึ่งก็กังวลกับอาการบาดเจ็บของอู๋จุน
โชคดีที่แม้ระบบถอนพิษไม่ได้มอบวิธีถอนพิษและยาถอนพิษที่ชัดเจน ทว่าซูจิ่นซีได้อาศัยความสามารถและความเชี่ยวชาญของตน กอปรกับคำแนะนำอย่างละเอียดของระบบถอนพิษ ไม่นานนางก็เขียนเทียบยาที่ใช้ในการถอนพิษออกมาได้
สมุนไพรบางอย่างมีอยู่ในระบบถอนพิษ นางสามารถจัดหาได้โดยตรง ทว่ายังมีสมุนไพรบางอย่างที่จำเป็นต้องออกไปตามหา
ซูจิ่นซีเขียนรายชื่อสมุนไพรหลายชนิดที่จำเป็นต้องออกไปตามหาและมอบให้สตรีผู้นั้นอีกครั้ง
“นี่เป็นสมุนไพรที่จำเป็นต้องใช้ในการถอนพิษให้ฉีอ๋อง รบกวนจวิ้นจู่ส่งคนไปค้นหาโดยเร็ว”
สตรีผู้นั้นรับไปมองคร่าวๆ
“สมุนไพรเหล่านี้คงมีอยู่ที่หอโอสถสกุลจง ข้าจะไปหามาให้เดี๋ยวนี้”
นางพูดพลางจัดคนดูแลมู่หรงฉี และรีบวิ่งออกประตูไป
ในใจซูจิ่นซียังคงกังวลเรื่องของอู๋จุน นางคิดว่าหลังจากสตรีผู้นี้จากไปแล้ว นางจะเดินไปดูอาการของอู๋จุน
เพราะเมื่อเทียบระหว่างมู่หรงฉีที่อยู่ตรงหน้ากับอู๋จุนแล้ว อู๋จุนยังมีอาการสาหัสยิ่งกว่ามู่หรงฉี ชีวิตของเขาอาจตกอยู่ในอันตรายได้ตลอดเวลา เมื่อเทียบกันแล้ว มู่หรงฉียังโชคดีกว่ามาก อย่างไรเสีย เขายังรอยาถอนพิษได้
อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีกำลังจะก้าวเท้าออกจากประตู สตรีผู้นั้นก็ย้อนกลับมาอีกครั้ง
“ท่านหมอซู ท่านไปหอโอสถสกุลจงกับข้าดีกว่า! ที่นั่นมีหมอที่มีวิชาการแพทย์แข็งแกร่ง จะได้ให้พวกเขาพิจารณาเทียบยาของท่านหมอซู อย่างไรเสีย พี่ฉีก็มีสถานะสูงศักดิ์ การมอบยาถอนพิษให้เขาเป็นเรื่องที่ประมาทไม่ได้ หากมีคนเพิ่มขึ้น ก็มีความมั่นใจมากขึ้น ท่านเห็นด้วยหรือไม่? ”
ซูจิ่นซีหยุดชะงัด นางก้มหน้าลงต่ำพลางหรี่ตา
บัดซบ ผู้ใดบอกว่าสตรีนางนี้ไร้เดียงสา?
เห็นได้ชัดว่านางไม่เชื่อซูจิ่นซี! คิดจะให้ซูจิ่นซีไปหายาที่หอโอสถสกุลจง ขณะเดียวกันก็ให้หมอตรวจสอบเทียบยาของนาง
สกุลจง…
สตรีผู้นี้มีความเกี่ยวข้องอันใดกับสกุลจง?
เหตุใดจึงคิดว่าตนเองมีอำนาจมากที่สุดในแคว้นหนานหลี อีกทั้งหอโอสถสกุลจงที่มีชื่อเสียงในใต้หล้ายังต้องฟังนาง และตรวจสอบเทียบยาของซูจิ่นซีโดยง่าย?
หรือเพราะนางมีสถานะเป็นจวิ้นจู่?
เป็นไปไม่ได้!
ผ่านไปครู่หนึ่ง สตรีผู้นั้นยังไม่ได้รับคำตอบจากซูจิ่นซี จึงถามอีกครั้ง “ท่านหมอซู ท่านว่าอย่างไร? ”
ผู้ที่เป็นถึงจวิ้นจู่เอ่ยปากร้องขอแล้ว ซูจิ่นซีจะไม่ไปได้หรือ?
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ซูจิ่นซียังต้องพึ่งพาผู้อื่น เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้สูงศักดิ์ นางจะกล้าไม่ก้มหัว จะกล้าปฏิเสธหรือ?
“ตกลง ทว่าจวิ้นจู่ กระหม่อมยังมีเรื่องเร่งด่วนที่ต้องไปจัดการก่อน เกรงว่าต้องให้จวิ้นจู่รอสักครู่ เพียงแต่… กระหม่อมเกรงว่าฉีอ๋องจะรอไม่ไหว”
“ดูเจ้าพูดสิ เรื่องสำคัญอันใด แม้แต่เรื่องเร่งด่วนยังเอามาอ้างได้? ”