“เป็นสหายผู้หนึ่งของกระหม่อม เขาได้รับบาดเจ็บเช่นกัน เดิมทีกระหม่อมออกมาตามหาฉีอ๋อง เพราะต้องการให้ฉีอ๋องรักษาอาการบาดเจ็บให้สหายผู้นั้น ทว่าฉีอ๋องในยามนี้… เรื่องชีวิตคนสำคัญยิ่ง กระหม่อมจำเป็นต้องกลับไปก่อน”
สตรีผู้นั้นขมวดคิ้วครู่หนึ่ง
“ร้ายแรงถึงเพียงนั้นเชียวหรือ? เหตุใดเจ้าจึงไม่รีบบอกเล่า? สหายผู้นั้นของเจ้าอยู่ที่ใด? ข้าจะไปดูเขากับเจ้า เจ้าจะได้เขียนเทียบยาให้เขา และพวกเราก็ไปตามหายาที่หอโอสถสกุลจงพร้อมกัน”
สตรีผู้นี้ ช่างแน่วแน่ยิ่งนัก
ซูจิ่นซีคิ้วกระตุกอย่างแรง
“สหายผู้นั้นของกระหม่อม ขณะนี้อยู่ที่จวนฉีอ๋อง เขาอาศัยอยู่ที่เดียวกับกระหม่อม”
“ที่แท้ก็อยู่ในจวนฉีอ๋อง! เช่นนั้นพวกเราก็ไปพร้อมกันเถิด!”
สตรีผู้นั้นพูดจบ ทว่าไม่เห็นซูจิ่นซีขยับเขยื้อน “นำทางข้าไปสิ! ยืนเหม่อทำอันใด? สหายผู้นั้นของเจ้าบาดเจ็บสาหัสไม่ใช่หรือ ยังไม่รีบไปอีก? ”
ซูจิ่นซีลังเลเล็กน้อย และชี้ไปทางห้องของมู่หรงฉี “ท่านอ๋อง ฉีอ๋อง… ”
ซูจิ่นซียังไม่ทันพูดจบ สตรีผู้นั้นก็พูดขัดจังหวะขึ้นมา “ข้ามีความรู้ด้านวิชาแพทย์อยู่บ้าง แม้จะรู้ไม่มากนัก ทว่าก็พอมองออกว่าตอนนี้พี่ฉียังไม่เป็นอันตราย อย่างน้อย… ภายในสิบสองชั่วยามนี้ก็ยังไม่เป็นอันตราย สมุนไพรที่เจ้าเขียนมา ข้าเข้าใจดี คาดว่าหอโอสถสกุลจงคงมีทั้งหมด! เพียงหายาสมุนไพรพบ เจ้าก็รีบปรุงยาถอนพิษให้พี่ฉีทานเป็นอันใช้ได้”
ครั้งนี้ซูจิ่นซีไม่เพียงหางคิ้วกระตุก กระทั่งใจของนางยังเต้นแรง
นึกไม่ถึงว่าสตรีผู้นี้ยังมีความรู้ด้านวิชาแพทย์ ทั้งยังมองออกว่าภายในสิบสองชั่วยามนี้ มู่หรงฉีจะยังไม่เป็นอันตราย…
ก่อนหน้านี้ที่อยู่ในป่าไผ่ เหตุใดนางจึงไม่พูดออกมา?
ซูจิ่นซีครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว สตรีผู้นั้นเดินไปได้สองก้าวและหันกลับมา “ท่านหมอซู ยังเหม่ออันใดอีก? หรือต้องให้ข้าตามคนมาแบกเจ้า? ”
ซูจิ่นซีพลันได้สติและหันไปมองสตรีผู้นั้น เมื่อเห็นนางยกยิ้มมุมปากอย่างไร้เดียงสา จึงครุ่นคิดอย่างสับสน ทว่าซูจิ่นซีไม่ได้แสดงความรู้สึกออกมาทางใบหน้า ทำเพียงเดินไปหาอู๋จุนพร้อมกับสตรีผู้นั้น
ซูจิ่นซีเป็นห่วงอู๋จุนมาก นางรีบเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น เมื่อเดินมาถึงห้องพักก็รีบเข้าไปหาอู๋จุนในห้องทันที โดยไม่สนใจจวิ้นจู่ผู้สูงศักดิ์ที่เดินตามมาด้านหลัง
อย่างไรก็ตาม คิดไม่ถึงว่าตอนที่นางผลักประตูเข้าไป อู๋จุนจะไม่ได้อยู่ข้างในห้องแล้ว
ซูจิ่นซียืนตกตะลึงอยู่ในท่าผลักประตู ใบหน้าปรากฏความเคร่งเครียด ในใจรู้สึกสับสน
อู๋จุนได้รับบาดเจ็บสาหัส จากระดับของอาการบาดเจ็บ เขาไม่มีทางฟื้นคืนสติได้ในระยะเวลาอันสั้น กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เขาคงไม่ฟื้นขึ้นมาและเดินออกไปจากห้องได้เอง
ทว่าเวลานี้ เขาไม่ได้อยู่ในห้องจริงๆ
คนเล่า?
ไปที่ใดแล้ว?
ซูจิ่นซีร้อนใจอย่างมาก นางเดินเข้าประตูไปค้นหาทุกซอกทุกมุมที่สามารถหลบซ่อนตัวได้
“อู๋จุน เจ้าอยู่ที่ใด ออกมา! อู๋จุน… ”
ทว่านางไม่พบร่องรอยของอู๋จุนแม้แต่น้อย
“ท่านหมอซู สหายของท่านไปที่ใดเล่า? ” จวิ้นจู่เดินตามซูจิ่นซีเข้ามาพลางเอ่ยถาม
ซูจิ่นซีมีท่าทีสิ้นหวัง ทั้งยังรู้สึกสับสน นางต้องการแย้มยิ้มเมื่อเผชิญหน้ากับจวิ้นจู่ผู้นั้น ทว่านางทำไม่ได้
“จวิ้นจู่ สหายผู้นั้นของกระหม่อมบาดเจ็บสาหัส ไม่สามารถออกไปจากห้องนี้ได้ด้วยตนเอง ทว่าตอนนี้เขาหายตัวไปแล้ว กระหม่อมเป็นห่วง กลัวว่าเขาจะเจออันตราย พระองค์ช่วยให้องครักษ์ในจวนออกตามหาได้หรือไม่? ตอนนี้เขาตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายมากจริงๆ … ”
ตอนนี้มู่หรงฉีถูกพิษไม่ได้สติ ซูจิ่นซีทำได้เพียงขอความช่วยเหลือจากจวิ้นจู่ผู้นี้เท่านั้น
จวิ้นจู่ได้ฟังแล้วก็รีบออกคำสั่งให้องครักษ์ทั้งหมดในจวนออกตามหาร่องรอยของอู๋จุน
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม…
ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม…
ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม…
เหล่าองครักษ์แทบจะพลิกทั้งจวนเพื่อตามหา กระทั่งกลไกใต้ดินและทางลับเหล่านั้นก็ล้วนค้นหาทั้งหมด ทว่าไม่พบเบาะแสของอู๋จุนแม้แต่น้อย
บุรุษผู้นี้ ไปที่ใดกันแน่??
สีหน้าของซูจิ่นซียังคงไม่เปลี่ยนแปลง
ซูจิ่นซีกังวลใจและเป็นห่วงอู๋จุน จวิ้นจู่ก็กังวลพระทัยและเป็นห่วงมู่หรงฉีเช่นกัน
ผ่านไปครู่หนึ่ง นางพูดเกลี้ยกล่อมซูจิ่นซีว่า “ท่านหมอซู จากที่ข้าเห็น เจ้าไม่ต้องกังวลมากเกินไป หากมีคนร้ายบุกเข้ามาในจวนฉีอ๋องจริงและจับตัวสหายของเจ้าไป องครักษ์ในจวนต้องสังเกตเห็นอย่างแน่นอน ทว่าจนถึงตอนนี้ เหล่าองครักษ์ยังไม่พบร่องรอยว่ามีคนร้ายบุกเข้ามาในจวนฉีอ๋อง แสดงให้เห็นว่ามีความเป็นไปได้ที่หลังจากเจ้าออกไปแล้ว สหายของเจ้าจะฟื้นขึ้นมาและเดินออกไป ในเมื่อเขาสามารถจากไปได้เอง ก็แสดงว่าอาการบาดเจ็บที่ร่างกายไม่ได้สาหัสอย่างที่เจ้าคิด”
“เจ้าไม่ได้บอกว่าเขามีความรู้ทางวิชาแพทย์หรือ? ไม่แน่ว่าเขาคงจากไปเพื่อหาวิธีรักษาเองก็ได้! ”
ซูจิ่นซีรู้ดีว่าอาการบาดเจ็บของอู๋จุนเป็นอย่างไร การเกลี้ยกล่อมด้วยความหวังดีของจวิ้นจู่จึงไม่มีประโยชน์ต่อซูจิ่นซี
สำหรับวิชาแพทย์ของอู๋จุน…
กระทั่งอู๋จุนยังพูดเองว่าเขาถนัดด้านสมุนไพร ไม่ใช่วิชาแพทย์ ด้านวิชาแพทย์ของเขาเทียบไม่ได้แม้เพียงครึ่งหนึ่งของซูจิ่นซีด้วยซ้ำ เขาจะหาวิธีรักษาตนเองได้อย่างไร?
เมื่อเห็นท่าทางของซูจิ่นซียังไม่เปลี่ยนแปลง จวิ้นจู่ผู้นั้นจึงพูดเกลี้ยกล่อมอีกครั้งว่า
“หรือบางที เขาอาจถูกสหายที่รู้จักพาตัวไปก็เป็นได้ และสหายผู้นั้นยังมีวรยุทธ์สูงส่ง เหล่าองครักษ์ในจวนจึงไม่ทันสังเกตเห็น อย่างไรก็ตาม… ข้ารู้สึกว่าคนผู้นั้นต้องไม่ใช่ศัตรูของสหายเจ้าเป็นแน่ หากคิดจะทำร้ายสหายเจ้า เพียงตรงเข้าไปสังหารเขาในจวน หรือใช้ดาบแทงซ้ำตอนที่เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ? เหตุใดต้องเสียแรงมากมายเพื่อจับตัวเขาไป? ”
ในที่สุด แววตาเคร่งขรึมของซูจิ่นซีก็เริ่มมีแสงสว่างขึ้นมาเล็กน้อย
คำพูดของจวิ้นจู่ฟังดูมีเหตุผลจริงๆ
อาณาจักรเทียนเหอ บางครั้งก็มีเรื่องแปลกประหลาดเกินคาด
ตัวอย่างเช่น สัตว์เทพกิเลน อาคมกำไลปี่อั้น และจิ้งจอกน้อยที่นางเคยเห็นมันอยู่ข้างกายจิ่วหรง
ราวกับมีการเชื่อมต่อทางจิตวิญญาณกับจิ่วหรง
บางทีข้างกายอู๋จุนอาจมีสิ่งของที่เชื่อมต่อทางจิตวิญญาณกับเขาก็เป็นได้ เมื่อรู้สึกว่าเขาตกอยู่ในอันตราย มันจึงนำตัวเขาไป
ตัวอย่างเช่น ก่อนหน้านี้ที่อู๋จุนใช้กลไกหมูน้อยเพื่อติดต่อสื่อสารกับนาง
นี่เป็นเพียงเรื่องเดียวที่ซูจิ่นซีคาดเดาได้ในขณะนี้
อย่างไรก็ตาม นางหวังว่าจะเป็นไปตามที่จวิ้นจู่ผู้นั้นกล่าวมา และเป็นไปตามที่นางคิด อู๋จุนอาจรอดพ้นจากอันตรายและปลอดภัยแล้ว
“ท่านหมอซู ข้าจะส่งคนไปตามหานอกจวนอีกครั้ง เมื่อมีข่าวเกี่ยวกับสหายของเจ้า ก็จะแจ้งข่าวให้เจ้าทราบเป็นคนแรก ตอนนี้พวกเราไปที่หอโอสถสกุลจงเพื่อตามหาสมุนไพรให้พี่ฉีก่อนดีหรือไม่? พวกเรารออยู่ที่นี่ย่อมไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ดี! ชีวิตของพี่ฉีก็จะตกอยู่ในอันตรายอย่างมากเช่นกัน”
ซูจิ่นซีไม่ต้องการจากไป ทว่าผู้ที่ต้องการสมุนไพรคือมู่หรงฉี นางได้สูญเสียอู๋จุนไปคนหนึ่งแล้ว ไม่อาจปล่อยให้มู่หรงฉีเกิดเรื่องขึ้นอีกคน ซูจิ่นซีตอบตกลงจวิ้นจู่ และไปเยือนหอโอสถสกุลจงเพื่อตามหาสมุนไพรให้มู่หรงฉี
นอกจากนั้น เพื่อติดตามข่าวสารโดยรอบและสืบหาร่องรอยของอู๋จุน ระหว่างทางซูจิ่นซีจึงเปิดอาคมกำไลปี่อั้นจนถึงระดับสูงสุด
ทว่า…