ทว่ามีคนเดินไปมาจำนวนมาก ทุกคนต่างส่งเสียงกันเซ็งแซ่ สุดท้ายก็ไม่เกี่ยวกับการหายตัวไปของอู๋จุนแม้แต่น้อย
ซูจิ่นซีกับจวิ้นจู่และสาวรับใช้จำนวนหนึ่งเพิ่งเดินทางมาถึงหอโอสถสกุลจง ผู้ดูแลหอโอสถก็รีบเข้ามาต้อนรับ “กระหม่อมคำนับหลิงเซียวจวิ้นจู่ ขอจวิ้นจู่อายุยืนหมื่นปี หมื่นหมื่นปี”
หลิงเซียวจวิ้นจู่?
ซูจิ่นซีเพิ่งรู้ว่าที่แท้ จวิ้นจู่องค์นี้มีบรรดาศักดิ์เป็นหลิงเซียว
หลิงเซียวจวิ้นจู่ยื่นเทียบยาของซูจิ่นซีให้ผู้ดูแลหอโอสถ
“เทียบยานี้เป็นท่านหมอซูที่เขียนขึ้นเพื่อใช้ถอนพิษให้ฉีอ๋อง เจ้าสั่งให้หมอในหอโอสถจำนวนหนึ่งมาช่วยกันดู หากเทียบยาไม่มีอันใดผิดพลาดก็จัดสมุนไพรตามเทียบยาใบนี้ให้เรียบร้อย ข้ารีบใช้”
“พ่ะย่ะค่ะ จวิ้นจู่! จวิ้นจู่ ท่านหมอซู เชิญทางนี้! ”
ผู้ดูแลหอโอสถนำทางหลิงเซียวจวิ้นจู่กับซูจิ่นซีไปยังด้านหลังห้องโถงกลาง จากนั้นก็รีบไปตามหมอจำนวนหนึ่งมาดูเทียบยา
ซูจิ่นซีสังเกตท่าทางขณะหลิงเซียวจวิ้นจู่สั่งงานผู้ดูแลหอโอสถ รวมถึงการต้อนรับขับสู้ของผู้ดูแลที่มีต่อพวกนางทั้งสอง นางรู้สึกว่าเมื่อได้มาเห็นคนจากหอโอสถสกุลจงจริงๆ พวกเขาดูแตกต่างจากเสียงร่ำลือมากนัก
ตามคำร่ำลือ คนในสกุลจงและคนในหอโอสถสกุลจงจะต้อนรับคนภายนอกอย่างเย่อหยิ่งและโอ้อวด
เหตุใดตอนนี้นางจึงไม่พบเห็นกิริยาเหล่านั้นตามคำร่ำลือ?
แววตาของผู้ดูแลหอโอสถขณะต้อนรับพวกนางทั้งสอง เหตุใดจึงดูถ่อมตนอย่างเห็นได้ชัด?
อีกทั้งน้ำเสียงที่หลิงเซียวจวิ้นจู่ใช้ออกคำสั่งกับผู้ดูแลหอโอสถ ก็เหมือนพูดกับคนในครอบครัว
คนในครอบครัว?
ซูจิ่นซีคิ้วกระตุก นางมองหลิงเซียวจวิ้นจู่ที่ยืนอยู่ด้านข้างด้วยท่าทีแปลกใจ
คงไม่ใช่…
ซูจิ่นซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเพื่อหาคำพูดที่เหมาะสมมาหยั่งเชิงท่าทีของหลิงเซียวจวิ้นจู่
“กระหม่อมมาเยือนเย่หลินเป็นครั้งแรก และเป็นครั้งแรกมาที่มาหอโอสถสกุลจง ก่อนหน้านี้ได้ยินผู้คนร่ำลือกันว่าหอโอสถสกุลจงควบคุมพื้นที่ในแคว้นหนานหลีมากที่สุด มีสมุนไพรหลากหลายที่สุด วิชาแพทย์สูงส่งที่สุด ภายในหอโอสถประดับตกแต่งอย่างหรูหรา วันนี้ได้มาเห็นกับตาตนเอง ช่างสมคำร่ำลือจริงๆ ”
หลังสิ้นเสียงคำพูดของซูจิ่นซี หลิงเซียวจวิ้นจู่ก็แสดงสีหน้าพอใจเป็นอย่างมาก
“เป็นจริงดั่งที่ท่านกล่าวมา! ไม่ต้องพูดถึงทั่วทั้งแคว้นหนานหลี ต่อให้ทั่วทั้งอาณาจักรเทียนเหอ ก็ยากที่จะเทียบได้ หากหอโอสถสกุลจงพูดว่าตนเองเป็นอันดับสอง คงไม่มีหอโอสถใดกล้าบอกว่าเป็นอันดับหนึ่ง กระทั่งหอโอสถสกุลซูยังมีเพียงเจ็ดแห่งเท่านั้น ทว่าหอโอสถสกุลจงของพวกเรา กระจายอยู่ทั่วทั้งแคว้นหนานหลีและกระจายไปทั่วใต้หล้า”
“พวกเรา? ”
ซูจิ่นซีจับคำสำคัญในคำพูดได้อย่างหลักแหลม
แววตาของนางปรากฏท่าทีจริงจัง และพูดหยั่งเชิงต่อ
“มีคนกล่าวว่า สกุลจงสืบทอดมาจากสำนักแพทย์เทียนอี บรรพบุรุษสกุลจงเคยเป็นศิษย์ของสำนักแพทย์เทียนอี ไม่ทราบว่า… ความจริงเป็นเช่นไร? ”
แววตาของหลิงเซียวจวิ้นจู่ส่องประกายระยิบระยับด้วยความพอใจ สีหน้าพลันสดใส
“ยังต้องถามอีกหรือ? จริงแท้แน่นอน! ตอนนั้นบรรพบุรุษของเรามีพรสวรรค์และฉลาดหลักแหลม สามารถเรียนรู้เข้าใจได้อย่างถ่องแท้ ท่านเรียนรู้พื้นฐานวิชาการแพทย์ของสำนักแพทย์เทียนอี จากนั้นก็บุกเบิกเส้นทางใหม่และสร้างสกุลจงขึ้นมา ในตอนนั้น กระทั่งคุณชายจิ่ว เจ้าสำนักแพทย์เทียนอียังเอ่ยปากชมด้วยตนเองว่าบรรพบุรุษของพวกเรามีความคิดลึกซึ้งฉลาดหลักแหลมเหนือคนธรรมดา ทั้งยังคิดจะรับบรรพบุรุษของเราไว้เป็นศิษย์ น่าเสียดาย คุณชายจิ่วเคยสาบานไว้ว่าชั่วชีวิตนี้จะรับศิษย์เพียงคนเดียวเท่านั้น ในตอนนั้นเขาได้รับศิษย์แล้ว จึงไม่อาจรับบรรพบุรุษของเราเป็นศิษย์ได้อีก ไม่เช่นนั้น บรรพบุรุษของเราคงเป็นศิษย์เพียงผู้เดียวของคุณชายจิ่ว”
ปรากฏว่า ในตอนนั้นที่จิ่วหรงพูดว่าชั่วชีวิตนี้จะรับศิษย์เพียงคนเดียวก็เป็นเรื่องจริง ไม่ได้พูดล้อเล่น
การหยั่งเชิงของซูจิ่นซีสามารถดึงคำพูดของหลิงเซียวจวิ้นจู่ออกมาได้ เมื่อพูดถึงเรื่องชื่อเสียงของสกุลจง ก็ราวกับนางจะมีคำพูดมากมายไม่จบสิ้น
“ท่านหมอซู ข้าจะบอกเรื่องหนึ่งกับท่าน ปกติแล้ว เรื่องนี้คนสกุลจงจะไม่พูดให้คนภายนอกฟังง่ายๆ ”
เมื่อเห็นซูจิ่นซีส่งสายตาสนใจใคร่รู้ หลิงเซียวจวิ้นจู่จึงกะพริบตาอย่างสดใส นางขยับเข้าไปใกล้ซูจิ่นซีและพูดว่า “ท่านรู้หรือไม่ ในตอนนั้นที่บรรพบุรุษของเราเข้าสำนักแพทย์เทียนอี ท่านคำนับผู้ใดเป็นอาจารย์? ”
ซูจิ่นซีจะรู้เรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร?
แม้จิ่วหรงจะพยายามพูดมาตลอดว่าซูจิ่นซีคือลูกศิษย์เพียงคนเดียวของเขา ลวี่หลีก็เคยพูดว่าซูจิ่นซีเคยเรียนวิชาแพทย์กับจิ่วหรง
ทว่าความทรงจำที่เกี่ยวกับสำนักแพทย์เทียนอีราวกับถูกลบล้างออกไปจนหมดสิ้น
ต่อมา นางยังสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับสำนักแพทย์เทียนอี ทว่ามีบันทึกเพียงผิวเผิน กระทั่งตำแหน่งที่ตั้งอย่างชัดเจนของสำนักแพทย์เทียนอีก็ไม่มีบันทึกไว้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงข้อมูลภายในที่เกี่ยวกับสำนักแพทย์เทียนอี
กล่าวได้ว่าบุคคลในสำนักแพทย์เทียนอี ซูจิ่นซีรู้จักเพียงจิ่วหรงเท่านั้น คนที่เหลือนางไม่รู้จักจริงๆ นางไม่มีทางรู้ได้เลยว่าในตอนนั้น บรรพบุรุษสกุลจงเป็นลูกศิษย์ของใครในสำนักแพทย์เทียนอี
ภายในใจซูจิ่นซีครุ่นคิดอย่างหนัก ทว่าใบหน้ายังแสดงออกถึงความสนใจอย่างมาก
นางขยับเข้าไปใกล้หลิงเซียวจวิ้นจู่ “เป็นผู้ใดหรือ? เป็นคุณชายจิ่วแห่งสำนักแพทย์เทียนอีใช่หรือไม่? ”
ทันใดนั้น หลิงเซียวจวิ้นจู่ก็ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย
“ท่านหมอซู ท่านไม่เข้าใจจริงๆ หรือ? คุณชายจิ่วเคยสาบานไว้แล้ว ชั่วชีวิตนี้จะรับศิษย์เพียงคนเดียวเท่านั้น อีกทั้งตอนที่ท่านบรรพบุรุษเข้าไปในสำนักเทียนอี คุณชายจิ่วก็ได้รับศิษย์ไว้แล้ว ท่านบรรพบุรุษจะเป็นลูกศิษย์ของท่านเจ้าสำนักจิ่วได้อย่างไร?
“แหะ แหะ! ” ซูจิ่นซีแสดงท่าทางเกาศีรษะด้วยความเขินอาย “เป็นกระหม่อมที่เบาปัญญา”
ยิ่งซูจิ่นซีแสดงท่าทางว่าตนเองโง่เขลา หลิงเซียวจวิ้นจู่ยิ่งลำพองใจจนลืมตัว นางพูดในสิ่งที่ตนเองทราบออกมาทั้งหมดโดยไม่รู้ตัว
นางกระซิบข้างหูซูจิ่นซี “ท่านหมอซู ข้าจะเล่าให้ท่านฟัง ท่านก็อย่าแพร่งพรายเรื่องนี้ให้คนอื่นเล่า ในตอนนั้น ท่านบรรพบุรุษได้เข้ามาเป็นศิษย์ของท่านผู้เฒ่าอู๋จี๋แห่งสำนักแพทย์เทียนอี ท่านรู้หรือไม่ ท่านผู้เฒ่าอู๋จี๋ทำสิ่งใดก่อนที่จะมารับลูกศิษย์ในสำนักแพทย์เทียนอี? ”
ท่านผู้เฒ่าอู๋จี๋…
เป็นชื่อที่เจ๋งที่สุด!
ไม่ต้องพูดถึง เมื่อได้ยินชื่อที่ฟังดูเจ๋งเช่นนี้ ซูจิ่นซีก็อดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้
“ทำอันใดหรือ? ”
“เขาเป็นคนดูแลเรื่องเครื่องแต่งกายและรองเท้าภายในตำหนักอู๋จี๋ของคุณชายจิ่ว ต่อมาได้ศึกษาคัมภีร์แพทย์จนทะลุปรุโปร่ง คุณชายจิ่วจึงขนานนามว่าอู๋จี๋ และอนุญาตให้เขารับลูกศิษย์ได้ ท่านบรรพบุรุษคือลูกศิษย์ของท่านผู้เฒ่าอู๋จี๋ ทั้งยังเป็นศิษย์ที่เก่งกาจที่สุดในบรรดาลูกศิษย์ทั้งหมดของสำนัก”
ที่แท้… ก็เป็นคนดูแลเครื่องแต่งกายให้คุณชายจิ่ว!
ซูจิ่นซีพยายามกลั้นหัวเราะ นางเม้มริมฝีปากและขมวดคิ้วแน่น ท่าทางดูแปลกประหลาดยิ่งนัก
ทว่าหลิงเซียวจวิ้นจู่กลับคึกคะนอง ยิ่งพูดยิ่งลำพองใจ นางคิดเอาเองว่าซูจิ่นซีแสดงท่าทางเช่นนี้เพราะตกตะลึงในความลับที่นางเปิดเผยให้ฟัง
“ร้ายกาจใช่หรือไม่? ร้ายกาจใช่หรือไม่? ได้ยินมาว่าตำหนักอู๋จี๋ของคุณชายจิ่ว หาใช่สถานที่ที่คนทั่วไปจะเข้าไปได้โดยง่าย ทั่วทั้งสำนักแพทย์เทียนอี นอกจากลูกศิษย์คนเดียวของเขาแล้ว ก็มีเพียงบ่าวรับใช้ข้างกายเท่านั้นที่สามารถเข้าออกได้ คนที่ดูแลเรื่องเครื่องแต่งกาย คนที่คอยรับใช้ข้างกายคุณชายจิ่ว ช่างน่านับถือมากจริงๆ ! ”
หลิงเซียวจวิ้นจู่พูดพลางยืนกอดอก เชิดหน้าเล็กน้อย ใบหน้าเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
ซูจิ่นซียิ้มแห้ง “แหะ แหะ… ร้ายกาจ ร้ายกาจมาก! เจ๋ง ท่านเจ๋งที่สุด… ”
ทว่าภายในใจของซูจิ่นซีกลับคิดว่า เก่งกาจบ้าบออันใดกัน คนที่ดูแลเรื่องเครื่องแต่งกายยังน่านับถือเช่นนี้ หากวันใดรู้ว่าข้าเป็นลูกศิษย์เพียงคนเดียวของจิ่วหรง เจ้าคงวิ่งมาคุกเข่าแทบเท้าข้ากระมัง?
ความคิดภายในใจของซูจิ่นซีล่องลอยไปไกล หลิงเซียวจวิ้นจู่ได้ยินคำพูดของซูจิ่นซีก็ขมวดคิ้วมุ่น นางมองซูจิ่นซีด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย
“ท่านหมอซู อันใดคือเจ๋งหรือ? เจ๋งหมายความว่าอย่างไร? ”