บทที่ 1832 (1)

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 1832 ภาพลวงตา ความเป็นจริง? (1)

มวลบุปผาพฤกษาเหี่ยวเฉา หิมะน้ำแข็งปกคลุม

ผ่านไปครึ่งปี กู้ซีจิ่วกลับมาที่วังมรกตอีกครั้งหนึ่ง

และก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เธอรู้สึกต่อต้านกับสถานที่แห่งนี้อยู่บ้าง

วันนั้นที่เธอกลับจากตำหนักแก้วผลึกใต้สมุทร ก็ไปทดสอบ ‘สานุศิษย์สวรรค์’ คนนั้นที่อาณาจักรเฮ่าเยวี่ยก่อน ผลการทดสอบช่างน่าผิดหวัง คนผู้นั้นไม่ใช่เลยแม้แต่น้อย มู่เฟิงบอกเธอว่าตามกฎแล้วควรจะทำลายพลังวิญญาณของคนผู้นี้แล้วโยนเข้าไปในป่าทมิฬเสีย

เธอรู้สึกต่อต้านอย่างมิอาจบรรยายได้ กฎเกณฑ์อะไรกัน? กฎเกณฑ์อะไรมากมายถึงเพียงนี้?!

ดังนั้น เธอจึงเพียงแค่โยนคนผู้นั้นเข้าสู่ป่าทมิฬ ทว่าไม่ได้ทำลายพลังวิญญาณใดๆ…

หลังจากจัดการคนผู้นั้นเรียบร้อย เธอกลับวังมรกตก่อน ทว่าเมื่ออยู่ในวังมรกตจิตใจของเธอหงุดหงิดและหดหู่อย่างบอกไม่ถูก ดังนั้นเธอจึงรั้งอยู่ที่นั่นเพียงแค่ครึ่งวันแล้วจากไป

ในช่วงครึ่งปีนี้ เธอเดินทางไปทั่วทุกสารทิศ ตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าต้องการทำสิ่งใด คล้ายมีโพรงใหญ่ยักษ์ในใจ ไม่ว่าอย่างไรก็เติมไม่เต็ม ไม่มีความสนใจต่อเรื่องใดๆ…

เธอเดินเล่นชื่นชมทิวทัศน์ในวังมรกตไปเรื่อย เกล็ดหิมะพลิ้วไหวตามชายอาภรณ์ หมุนวนรอบพวงแก้มของเธอ

“มู่เฟิง เจ้าบอกว่าวังมรกตสี่ฤดูดุจวสันต์ตลอดปีไม่ใช่หรือ?” เธอเอ่ยปากถามมู่เฟิงที่เป็นเพื่อนอยู่ข้างกาย

มู่เฟิงยิ้มขื่น “เมื่อก่อนสี่ฤดูดุจวสันต์จริงๆ แต่ปีนี้ค่อนข้างพิเศษ” อันที่จริงวังมรกตหนาวเหน็บและหวีดหวิวเช่นนี้มาครึ่งปีแล้ว…

ไม่เพียงแต่วังมรกตเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ ความจริงอากาศทั่วทั้งทวีปก็ผิดแผกแปลกไป!

ครึ่งปีก่อนทวีปแห่งนี้เป็นคิมหันตฤดู ทว่าสารทฤดูคล้ายจะมาเยือนเร็วเป็นพิเศษ ลมสารทเริ่มพัดผ่าน ใบไม้เริ่มร่วงหล่นยามเดือนหก จากนั้นเริ่มหนาวเย็นขึ้นทุกวัน ไม่นานลมเหมันต์ก็พัดหวีดหวิว หิมะปกคลุมไปทั่วทั้งพื้นที่

กู้ซีจิ่วแหงนหน้ามองท้องฟ้า หิมะโปรยปรายลงบนดวงหน้าดุจบุปผาของเธอ

คนที่ฝึกฝนพลังวิญญาณมาถึงระดับนี้เช่นเธอไม่รู้สึกหนาวอีกต่อไปแล้ว

เธอหาม้านั่งหินตัวหนึ่งนั่งลง ชื่นชมทิวทัศน์หิมะโปรย

มู่เฟิงรออยู่ไม่ไกล มองดูนางในอาภรณ์ดำทั้งตัว เธอไม่ได้เปิดใช้เขตแดนคุ้มกาย เกล็ดหิมะจึงโปรยปรายถาโถมมาที่เรือนกายนาง จะอย่างไรก็ไม่มีวันหลอมละลาย

เธอนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบสงบ ราวกับรูปแกะสลักหิมะตนหนึ่ง

กลิ่นอายของเธอในตอนนี้แข็งกล้ายิ่งนัก ทว่ามักจะแฝงความเย็นยะเยือก อุณหภูมิรอบด้านจะลดลงโดยอัตโนมัติในทุกๆ ที่ที่เธอไป!

อันที่จริงมู่เฟิงก็สงสัยยิ่งนักว่าสภาพอากาศที่ผิดปกติของทวีปแห่งนี้เกี่ยวข้องกับอารมณ์ของเทพศักดิ์สิทธิ์ท่านนี้

ทว่าเขาไม่กล้าที่จะเอื้อนเอ่ย เพราะถึงอย่างไรยามนี้เดิมทีก็เป็นเหมันตฤดู หนาวนิดหนาวหน่อยไม่อาจจะกล่าวว่าสิ่งใดได้…

กระเรียนขาวคู่หนึ่งที่กำลังหาอาหารอยู่ในลานไม่ไกลน่าจะรู้สึกหนาวเย็นเช่นกัน ผ่านไปไม่นาน กระเรียนขาวทั้งสองตัวเริ่มเคล้าคลอเล้าโลม อิงแอบให้ความอบอุ่นซึ่งกันและกัน

กู้ซีจิ่วหรี่ตาลงเล็กน้อย ยามนี้เธอรำคาญสิ่งที่เป็นคู่กันยิ่ง!

สายลมสายหนึ่งพลันโบกพัดเมื่อเธอยกมือขึ้น หิมะมากมายพุ่งตรงไปยังกระเรียนขาวสองตัวนั้น พวกมันตกใจกลัว ส่งเสียงร้องกระพือปีกแล้วรีบโบยบินจากไป

มู่เฟิงนิ่งอึ้ง

อารมณ์ของเทพศักดิ์สิทธิ์ในตอนนี้ช่างแปลกประหลาดจริงๆ มักจะรำคาญสิ่งที่แสดงความรักกันต่อหน้านาง

ยามนี้มู่เฟิงกับอีกสามทูตต่างไม่กล้าปรากฏตัวออกมาเป็นคู่ๆ เลี่ยงไม่ทำให้เทพศักดิ์สิทธิ์ขุ่นเคือง…

ทุกสิ่งล้วนเป็นไปในทางที่ถูกต้อง

กู้ซีจิ่วกลายเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริง รับผิดชอบหน้าที่ของเทพศักดิ์สิทธิ์

เธอจำได้ว่าเธอเคยริษยาบุคคลที่มีตำแหน่งสูงส่ง ทว่าบัดนี้เธอกลายเป็นบุคคลแข็งแกร่งที่สุดในทวีปแห่งนี้แล้ว ไม่ว่าเดินไปที่ใดล้วนมีมวลประชาคำนับกราบไหว้เป็นจำนวนมาก

พวกชาวบ้านบูชาเธอ สร้างศาลเจ้าต่างๆ ให้เธอ ชีวิตของเธอมาถึงจุดสูงสุดแล้วอย่างเห็นได้ชัด

ทว่าเธอรู้สึกไม่มีความสุขแม้แต่น้อย จิตใจเสมือนแอ่งน้ำที่แห้งเหือด ไร้ซึ่งเกลียวคลื่น

เธอถึงขั้นที่ไม่รู้สึกถึงอารมณ์ของตัวเอง ก้าวย่างไปในทวีปแห่งนี้ ชมดอกไม้ผลิบานร่วงโรย เมฆาเคลื่อนคล้อย รู้สึกเพียงแค่โดดเดี่ยวและหงอยเหงา

บางทีนี่อาจจะเป็นความรู้สึกยิ่งสูงยิ่งหนาว?

เธอรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองเหมือนขาดหายไปห้องหนึ่ง ว่างเปล่ายิ่งนัก ครึ่งปีมานี้เธอจึงท่องไปทั่วทั้งทวีปแห่งนี้ ไม่เพียงแต่ในโลกมนุษย์ ยังเดินทางไปแดนมารกับแดนปีศาจด้วย ทิวทัศน์ของดินแดนทั้งสามแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง มีประติมากรรมวิจิตรตระการตามากมายที่ชวนให้คนหลงใหล แต่เธอไม่มีความสนใจใดๆ เลย

คล้ายว่าเธอกำลังตามหาบางสิ่งบางอย่าง แม้แต่ตัวเธอเองก็ไม่รู้ว่ากำลังตามหาอะไรอยู่กันแน่

ครึ่งปีที่ผ่านมานี้เธอไปเยี่ยมเยียนเพื่อนเก่าตามสถานที่ต่างๆ อย่างเช่นสำนักถามสวรรค์ของหลงซือเย่ พระราชวังเฮ่าเยวี่ยของเชียนหลิงอวี่ บ้านของหลานไว่หู่กับเยี่ยนเฉิน และที่ของหลีเมิ่งซย่า…

สถานที่ที่เธอไปไม่น้อย กลับตามหาความรู้สึกใดไม่พบ

ไม่ว่าเธอพบเจอผู้ใดล้วนสงบนิ่งดังวารี เรียกให้ไพเราะสักหน่อยก็คือสุขุมเยือกเย็น หากเรียกอย่างไม่น่าฟังก็คือเย็นชาห่างเหิน เธอไม่รู้สึกสนิทสนมกับผู้ใดทั้งนั้น

 “เจ้านาย ข้ารู้สึกว่าสภาพการณ์ของท่านผิดปกติไปมาก ท่านเจ็บป่วยเป็นอะไรหรือไม่?” หยกนภาเริ่มเจื้อยแจ้วในหัวของเธออีกแล้ว

กู้ซีจิ่วขี้เกียจต่อล้อต่อเถียง

เธอเป็นหมอ ย่อมรู้ดีว่าร่างกายของตัวเองไม่ได้เจ็บป่วยอะไรทั้งนั้น ซ้ำยังแข็งแรงเป็นอย่างมาก มันคล้ายกับทำสิ่งใดหล่นหาย ไร้ซึ่งชีวิตชีวาก็เท่านั้น

พักนี้หยกนภามักจะเจื้อยแจ้วในหัวของเธอ โน้มน้าวเธออย่างตั้งอกตั้งใจ กล่อมให้เธอเป็นมิตรกับผู้อื่นบ้าง ถึงขั้นที่สงสัยว่าเธอจะเป็นโรคซึมเศร้า…

โรคซึมเศร้าจะหงุดหงิดฉุนเฉียวง่าย มักอยากฆ่าตัวตายไม่ใช่หรือ?

ความจริงเธอไม่มีความคิดที่จะฆ่าตัวตายเลย เพียงรู้สึกว่าชีวิตที่ยืนยาวนี้ช่างน่าเบื่อหน่ายก็เท่านั้น

 “เจ้านาย ท่านยังไม่ได้ฝึกฝนวิชาอีกมากมาย ท่านไม่สู้ไปดูที่ห้องหนังสือเสียหน่อย? ที่นั่นมีม้วนตำราวิชาการฝึกฝนอยู่” หยกนภาพยายามหาบางสิ่งให้นางทำ

กู้ซีจิ่วไม่สนใจว่าจะอย่างไร เธอไปที่ห้องหนังสือจริงๆ

ห้องหนังสือยังมีสภาพดังเดิม สายตาเธอร่อนลงบนเก้าอี้สองตัวหลังโต๊ะเขียนหนังสือ

เบื้องหน้าพลันมืดมัว ราวกับมองเห็นคนสองคนนั่งอยู่บนเก้าอี้สองตัวนั้น คนหนึ่งกำลังอ่านหนังสือ อีกคนกำลังเขียนหนังสือ รู้สึกว่าเป็นช่วงเวลาที่สงบสุขยิ่งนัก

คนที่อ่านหนังสือไม่รู้ว่าพบเจอปัญหาอะไร เอียงหน้าเอ่ยถามคนข้างๆ ที่กำลังเขียนหนังสือ

คนที่เขียนหนังสือดึงรั้งคนที่อ่านหนังสือไว้ในอ้อมกอดทันที นิ้วมือชี้ไปที่หนังสือพลางอธิบาย…

คนที่อ่านหนังสือคนนั้นโอบคออีกฝ่ายในทันใด อีกทั้งยังแอบจุมพิตคางของอีกฝ่ายด้วย…

กู้ซีจิ่วกลั้นลมหายใจ อาการเจ็บปวดหัวใจที่คุ้นเคยปรากฏขึ้น

เธอรู้ว่าสิ่งที่เธอเห็นคือภาพลวงตา ในช่วงครึ่งปีมานี้มักจะมีภาพลวงตาปรากฏขึ้นอยู่เสมอ เพียงแต่ระยะเวลาที่ภาพลวงตาปรากฏขึ้นนั้นแสนสั้น หายวับไปในพริบตา เธอมองเห็นคนในภาพลวงตาไม่ชัดเจน เพียงแต่รู้สึกได้รางๆ ว่าภาพลวงตาที่ตัวเองเห็นมาหลายครั้งล้วนคือสองคนเดิม…

ทว่าระยะเวลาที่ภาพลวงตาปรากฏขึ้นครั้งนี้ค่อนข้างนาน สิบกว่าวินาที! ถึงแม้ภาพคนจะเลือนรางยิ่งนัก มองไม่เห็นใบหน้าชัดเจน แต่สัญชาตญาณเธอรู้สึกว่าเป็นบุรุษคนสตรีคน…

“ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์…” มู่เฟิงเห็นนางยืนเหม่อลอยหน้าประตู อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงเรียกสตินาง

เธอชะงักงันเล็กน้อย ภาพลวงตาเบื้องหน้าสลายหายไปอย่างรวดเร็ว ไม่พบร่องรอยใดๆ อีกเลย

เธอเอ่ยถามมู่เฟิงที่อยู่ข้างกายทันใด “เมื่อก่อนข้าเคยชอบคนผู้หนึ่งใช่หรือไม่?”

—————————