บทที่ 1832 (2)+1833

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 1832 ภาพลวงตา ความเป็นจริง? (2)

มู่เฟิงเกาหนังศีรษะเล็กน้อย “นี่…เรื่องนี้ข้าน้อยไม่ค่อยชัดเจนเท่าใดนัก” เขาก็รู้สึกว่าความทรงจำของตัวเองขาดหายไปเช่นกัน ทว่านึกไม่ออกจริงๆ ว่าขาดหายสิ่งใดไปกันแน่

เขานิ่งงันไปครู่หนึ่ง คล้ายกับนึกบางเรื่องขึ้นมาได้ “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เคยมีความสัมพันธ์ช่วงหนึ่งกับเจ้าสำนักถามสวรรค์…ซึ่งไม่เลวเลย”

กู้ซีจิ่วมุ่นคิ้วเล็กน้อย เธอย่อมจำเรื่องบางเรื่องที่เกี่ยวกับหลงซือเย่ได้ ทว่าเรื่องเธอกับหลงซือเย่ในหัวก็มีส่วนที่ขาดหาย เรื่องราวตั้งมากมายดูเหมือนถูกบดบังไว้ด้วยเมฆหมอก… (มีเรื่องราวของเธอกับหลงซือเย่ไม่น้อยที่เกี่ยวพันถึงตี้ฝูอี เรื่องทุกเรื่องที่เกี่ยวพันกับตี้ฝูอีถูกลบออกไปสิ้น ดังนั้นความทรงจำช่วงนี้ของเธอจะขาดหายไม่สมบูรณ์ก็ถือเป็นเรื่องปกติ)

เธอจ้องมองเก้าอี้ที่อยู่ข้างกันสองตัวนั้น ขมวดคิ้วครุ่นคิด

หรือว่าภาพลวงตาทั้งสองที่ตัวเองมองเห็นจะเป็นตัวเองกับหลงซือเย่?

เธอรู้สึกได้รางๆ ว่าสิ่งที่ตัวเองปรารถนาจะตามหามาตลอดก็คือภาพลวงตาสองภาพนี้…

เธอหยิบเอาม้วนตำราเหล่านั้นเก็บเข้าช่องมิติเก็บของของตัวเอง ก่อนพลันหันกายเดินออกไป

มู่เฟิงรีบตามออกมาด้วย “เทพศักดิ์สิทธิ์ ท่านจะไปไหนหรือขอรับ?”

กู้ซีจิ่วไม่ได้ตอบกลับ เธอเป็นถึงเทพศักดิ์สิทธิ์ ไม่จำเป็นต้องบอกทุกการเคลื่อนไหวของตัวเองกับลูกน้อง…

หากมีเรื่องอะไรย่อมต้องติดต่อมาทางยันต์ถ่ายทอดเสียง

มู่เฟิงมองเบื้องหลังของนางเคลื่อนย้ายในพริบตาจากไปท่ามกลางพายุหิมะ เขาทอดถอนใจเบาๆ

ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ไม่ชอบให้มีใครติดตามนางไปด้วย นางชอบไปไหนมาไหนเพียงลำพังมากกว่า นอกจากมีสิ่งใดต้องทำ นางจึงติดต่อพวกเขามา…

เขามองเกล็ดหิมะด้านนอกที่หมุนวนอย่างบ้าคลั่ง พร้อมความรู้สึกไม่แน่ใจอยู่บ้าง

บัดนี้ย่างเข้าเดือนสองแล้ว ควรถึงเวลาที่ดอกไม้ผลิดอกออกผล แต่อากาศในตอนนี้ยังคงหนาวเย็นเหลือเกิน ฟ้าหนาวธุลีเหน็บ เกล็ดหิมะด้านนอกไม่มีทีท่าที่จะละลายแม้แต่น้อย…

เสียงขลุ่ยแว่วดังพลิ้วไหว กึกก้องไปทั่วทั้งใต้หล้า

เสียงขลุ่ยไพเราะยิ่งนัก กู้ซีจิ่วยืนอยู่บนต้นไม้ใหญ่ มองดูบุรุษอาภรณ์ขาวที่บรรเลงเพลงอยู่ริมทะเลสาบไม่ไกล เธอจิตใจเหม่อลอยอยู่บ้าง

ใบหน้าบุรุษอาภรณ์ขาวหล่อเหลาไร้ผู้ใดเทียม ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างสง่างาม ราวกับนกกระเรียนที่เดียวดายและละโลกีย์ไว้เบื้องหลัง

ที่อยู่ไม่ไกลจากเขาคือทะเลสาบกว้างใหญ่ที่ไม่ว่าจะหนาวเหน็บเพียงใดก็ไม่มีทางกลายเป็นน้ำแข็ง เกลียวคลื่นบางเบา กระทบและตกแต่งชายฝั่งหิมะขาวโพลน ทิวทัศน์และความรู้สึกเช่นนี้ประหนึ่งภาพวาด

ภาพฉากนี้งดงามยิ่งนัก งดงามจนทำให้จิตใจเบิกบาน

ทว่าเบื้องหน้าของกู้ซีจิ่วพลันพร่ามัว จู่ๆ บุรุษอาภรณ์ขาวผู้นั้นคล้ายกำลังสวมอาภรณ์ม่วงพลิ้วไหว…

หัวใจเธอพลันสั่นระรัว!

คนผู้นั้นเหมือนจะได้ยินการเคลื่อนไหว หันกายเงยหน้าขึ้นมองมาทางเธอ

หัวใจกู้ซีจิ่วพลันสั่นสะท้านอีกครั้ง!

ดวงเนตรสุนัขจิ้งจอก คาดแถบแพร เกศาดำขลับดุจน้ำหมึก ยามแย้มยิ้มดุจฟ้าดินไร้ซึ่งสีสัน…

แน่นอน นี่ก็คือภาพลวงตาอีกแล้ว และเป็นเพียงแค่ชั่วพริบตาเดียว ภาพลวงตานั้นก็จางหายไป คนที่เธอมองเห็นคือหลงซือเย่

หลงซือเย่ประหลาดใจยิ่งนัก “ซีจิ่ว!”

กู้ซีจิ่วค่อนข้างผิดหวังอยู่บ้าง เธอกระโดดลงมาบนพื้นดิน “ครูฝึกหลง วันนี้คุณว่างมากสินะ”

ดวงตาทั้งคู่ของหลงซือเย่ลึกล้ำดั่งห้วงเหว อมยิ้มเล็กน้อย “ฉันว่างมากอยู่ทุกวัน เพราะฉะนั้น ซีจิ่ว ไม่ว่าเธอจะมาเมื่อไหร่ฉันก็ยินดีต้อนรับทั้งนั้น”

หลงซือเย่รีบจัดโต๊ะอาหารใต้ต้นไม้เพื่อรับรองเธอ

กู้ซีจิ่วร่ำสุราด้วยกันกับเขา หลงซือเย่มีไมตรีจิตให้เธอ เธอกลับไม่มีความรู้สึกใดๆ ให้ ถึงขนาดที่ว่าความรู้สึกเดียวดายที่ติดเป็นเงาตามตัวยังคงไม่หายไปสักนิด ความรู้สึกอ้างว้างหงอยเหงาที่ไม่อาจบรรยายได้กลับยิ่งเพิ่มมากขึ้น

เธอไม่อยากยอมแพ้ไปเช่นนี้ เธอยังสนใจที่หลงซือเย่เป่าขลุ่ยยิ่งนัก จึงขอให้เขาเป่าอีกบทเพลงหนึ่ง

หลงซือเย่จรดริมฝีปากที่ลำขลุ่ย นัยน์ตาทั้งคู่ราวระลอกคลื่นวารีในฤดูใบไม้ร่วง “ซีจิ่ว ฉันไม่ได้ฟังเธอร้องเพลงมานานมากแล้ว วันนี้เธอร้องเพลงหนึ่ง ฉันจะบรรเลงให้เธอเอง?”

กู้ซีจิ่วก็ตรงไปตรงมา เธออารมณ์ไม่ดีมาตลอดอย่างที่ไม่อาจบรรยายได้ บางทีร้องเพลงสักหน่อยอาจจะช่วยบรรเทาความเศร้าหมองได้

บทเพลงที่หลงซือเย่เป่าบรรเลงคือเพลงที่ทั้งสองคนคุ้นเคยเป็นอย่างดี…บทเพลง ‘ริ้วทรายลอดหว่างนิ้ว’

“ปีนั้นใต้จันทรา ณ เจียงหนาน เจ้าบรรเลงผีผาเร่งเร้าข้าขึ้นอาชา

ใจเจ้าร่ำร้องต้องการรั้ง แต่ไม่อยากเพรียกหาให้ข้าอาวรณ์

เจ้าว่าวาสนาดั่งริ้วทรายลอดหว่างนิ้ว มิอาจยึดไว้จำต้องปล่อยไป

ปล่อยให้สายลมพัดพา ใช้ทั้งชีวิตเจ้าดิ้นรนเป็นเดิมพัน…”

เสียงขลุ่ยเงียบสงบ เสียงเพลงลอยล่อง การผสานกันของทั้งสองในครั้งนี้เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ

กู้ซีจิ่วฉงนงุนงง รู้สึกว่าสถานการณ์เช่นนี้ทิวทัศน์แบบนี้คุ้นตายิ่งนัก เบื้องหน้าพลันพร่ามัวอีกครั้ง คล้ายจะมองเห็นบุรุษผู้หนึ่งกึ่งลอยกึ่งจมอยู่ในทะเลสาบ…

—————————————————————-

บทที่ 1833 ไม่รู้ว่าดรุณีเจ็บช้ำเพราะผู้ใด

เรือนผมยาวดุจม่านน้ำตกแผ่สยายอยู่ในวารี อาภรณ์แดงดั่งบงกช แผ่พลิ้วอยู่รอบกายเขา บุรุษผู้นั้นคล้ายว่ากำลังมองเธอจากในน้ำ

เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเธอมองไม่เห็นสายตาของอีกฝ่าย ถึงขั้นที่แม้แต่ใบหน้าก็มองเห็นไม่ชัดด้วยซ้ำ ทว่ากลับสัมผัสได้ว่าสายตาของอีกฝ่ายค่อนข้างเศร้าสร้อย…

หัวใจเธอพลันเต้นถี่รัว!

เรือนกายพุ่งทะยาน กระโจนลงไปในน้ำทันที!

ความเร็วของเธอไม่อาจกล่าวได้ว่าชักช้า แต่พอลงสู่น้ำแล้วกลับคว้าได้เพียงความว่างเปล่า ในสระไม่มีอะไรเลย สิ่งที่เธอโอบกอดไว้ได้มีเพียงน้ำเย็นๆ เท่านั้น

แน่นอนว่าน้ำก็ไม่อาจโอบกอดไว้ได้ สุดท้ายอ้อมแขนของเธอก็ว่างเปล่า…

หลงซือเย่ถูกการเคลื่อนไหวอย่างปุบปับของเธอทำให้ตกใจ มองเธอที่ลอยผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในน้ำ “ซีจิ่ว? เธอไม่เป็นไรใช่ไหม? ในสระนั้นมีอะไรเหรอ?”

หัวใจกู้ซีจิ่วว่างเปล่าโหวงเหวง เธอรู้ว่าตัวเองประสาทหลอนไปอีกแล้ว…

เธอส่ายหน้าพลางเอ่ยตอบ “ไม่มีอะไร ฉันค่อนข้างร้อน เลยอยากแช่น้ำสักหน่อย”

ในใจของเธอมีเพลิงโหมอยู่จริงๆ อยากร้องไห้ออกมาโดยไม่มีสาเหตุ…

เธอเงยหน้ามองท้องฟ้า บนฟ้ามีเมฆทะมึนปกคลุม ละอองหิมะโปรยปรายลงมาเร็วขึ้นเรื่อยๆ มีเกล็ดหิมะบางส่วนตกลงบนแพขนตา ไหลเข้าสู่ดวงตาเธอ ทำให้เธอเคืองตา

เธอขยี้ตาเล็กน้อย กลับขยี้ถูกคราบน้ำ

เธอขมวดคิ้วนิดๆ ในครึ่งปีมานี้คล้ายว่าดวงตาของเธอจะมีปัญหาแล้ว มักจะน้ำตาไหลอย่างไม่มีสาเหตุเป็นประจำ บางครั้งพอตื่นนอนก็จะสัมผัสได้ว่ามือเลอะคราบน้ำ ในใจก็ฝาดเฝื่อนอย่างยิ่ง…

โชคดีที่ตอนนี้เธออยู่ในน้ำ ต่อให้น้ำตาไหลหลงซือเย่ก็มองไม่ออก

หลงซือเย่มองดูเธอที่อยู่ในน้ำ เธออยู่ในน้ำโดยไม่ได้ใช้พลังวิญญาณใดๆ เรือนผมยาวเปียกชุ่ม ดวงหน้าเฉิดฉันก็เปียกชื้น ตอนที่เธอเงยหน้ามองท้องฟ้า มีละอองหิมโปรยปรายอยู่รอบตัวเธอ เงาร่างนั้นดูอ้างว้างเป็นพิเศษ…

เขาปวดใจแปลบ เขาชอบเธอมาโดยตลอด แต่เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าข้างกายของเธอไม่มีผู้ใด และไม่เคยได้ยินว่าเธอชมชอบใครมาก่อน แต่เธอกลับคล้ายว่าสงวนตัวไว้เพื่อใครสักคน รักษาระยะห่างเย็นชาห่างเหินกับทุกคน ถึงคนอื่นอยากเข้าหาเธอก็ไม่อาจทำได้…

เขาก็เคยคิดจะติดตามอยู่ข้างกายเธอ แต่ตัวเธอในปัจจุบันวรยุทธ์สูงส่งเหลือเกิน ไม่ว่าจะไปที่ไหนแค่คิดจะไปก็หายวับไปได้ทันที เขาไม่มีทางไล่ตามเธอทัน…

ทำได้เพียงรอให้เธอเป็นฝ่ายมาหาเขาเองเช่นนี้…

เขาแนบขลุ่ยจรดริมฝีปาก จู่ๆ ก็บรรเลงบทเพลงหนึ่งออกมา

เพลง ‘ดรุณีประโคมโฉม’ ของเหมยจื่อ

ดรุณีประโคมโฉมใต้จันทรา

ไม่รู้ว่าดรุณีเจ็บช้ำเพราะผู้ใด

วิหคยังคงเคียงคู่ร้องขับขาน

….

กู้ซีจิ่วย่อมร้องเพลงนี้เป็นเช่นกัน หัวใจสั่นไหวแวบหนึ่ง เนื้อเพลงของบทเพลงนี้ผุดขึ้นมาในสมองอย่างไม่อาจควบคุมได้

ผู้คนกล่าวว่าคู่รักปองจะพบหน้ากันไปชั่วนิรันดร์

ตัวข้าไหนเลยจะไม่ใฝ่ฝันได้ร่วมเรียงเคียงคู่ท่าน

ตัวละครในงิ้วชอกช้ำระกำรัก

ได้แต่ถามไถ่ตนว่ายวนยางในมือเจ้าถักทอเพื่อผู้ใด

เหลียวมองจันทราเงาร่างเดียวดายค่อยๆ รางเลือน…

เธอไม่ได้ร้องตาม แช่อยู่ในน้ำพักหนึ่งก็เหินกายขึ้นสู่ฝั่ง

แน่นอนว่าหลังจากเธอร่อนลงบนฝั่งแล้ว อาภรณ์บนร่างก็แห้งสนิทเช่นกัน

เธอนั่งเอนหลังบนเก้าอี้ ฟังหลงซือเย่บรรเลงขลุ่ยอยู่ตรงนั้น รู้สึกอยู่เสมอว่าฉากนี้ค่อนข้างคุ้นตา

ความทรงจำที่อยู่ในส่วนลึกคล้ายกับว่า เธอก็เคยอยู่เป็นเพื่อนข้างกายใครสักคนเช่นนี้ ฟังคนผู้นั้นบรรเลงขลุ่ย…

เธอใจลอยอยู่บ้าง คล้ายจะเห็นเงาร่างในชุดม่วงยืนเป่าขลุ่ยอยู่ตรงนั้น หญิงสาวคนหนึ่งซุกซบอยู่บนแผ่นหลังของคนชุดม่วง สองแขนโอบรัดเอวของคนชุดม่วงผู้นั้น ฟังอย่างเอื่อยเฉื่อย…

“ครูฝึกหลง คุณชอบใส่ชุดสีม่วงหรือเปล่า?” เมื่อเพลงจบลง จู่ๆ กู้ซีจิ่วก็ถามคถามที่ไตร่ตรองเอาไว้แล้วออกมาประโยคหนึ่ง

หลงซือเย่ชะงักงัน ส่ายหน้าน้อยๆ เขาไม่ชอบชุดสีม่วง ถึงขั้นที่ในจิตใต้สำนึกค่อนข้างต่อต้านสีนี้ด้วยซ้ำ…

เพียงแต่…

“ซีจิ่ว เธอชอบให้ฉันใส่ชุดสีม่วงเหรอ?”

————————————————