ส่วนที่ 5 ตอนที่ 22-2 ปรองดองมีสุข

จารใจรัก [ส่วนที่ 5]

ด้านในศาลาริมน้ำ เวลานี้คนที่ควรมาก็มาถึงกันครบแล้ว ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวากับหลี่หรูปี้ ฉินชิงกับหลินไท่เฟยก็เช่นกัน 

 

           เซี่ยฟางหวาแปลกใจ ไม่นึกว่าฉินชิงไปเชิญหลินไท่เฟยมาเร็วขนาดนี้ 

 

           นางกวาดตามองรอบหนึ่ง พบว่าเซี่ยอีกำลังนั่งอย่างเรียบร้อยข้างกายฮูหยินหมิง ฉินอวี้ และพวก 

 

ฉินห้าว หลี่มู่ชิง เฉิงหมิง และซ่งฟางกำลังนั่งดื่มน้ำชาในบริเวณหนึ่ง เยี่ยนถิงยืนอยู่หน้าฉินชิง คืนกรงใส่จิ้งหรีดให้เขา พร้อมทั้งเอ่ยหยอกล้อประโยคหนึ่ง ใบหน้าฉินชิงแดงขึ้นมาทันที 

 

           พระพักตร์หลินไท่เฟยเต็มไปด้วยรอยยิ้ม มองสิ่งใดไม่ออก สมกับที่เป็นสตรีซึ่งอยู่ในวังมาแทบทั้งชีวิต 

 

           พระชายาอิงชินอ๋องกับไทเฮา และเหล่าฮูหยินนั่งอยู่อีกบริเวณหนึ่ง รายล้อมด้วยกระถางดอกไม้พลางสนทนากันด้วยรอยยิ้มประดับใบหน้า 

 

           หลูเสวี่ยอิ๋งกับเยี่ยนหลัน และพวกจินเยี่ยนนั่งทานของว่างพลางสนทนากันในอีกบริเวณหนึ่ง หยอกล้อกันบ้างเป็นครั้งคราว หลี่หรูปี้นอกจากผอมลงไปบ้างก็ยังคงเหมือนวันวาน ทั้งวาจา รอยยิ้ม และอากัปกิริยาล้วนเป็นมาดของบุตรีตระกูลใหญ่ 

 

           ด้านในศาลาริมน้ำ สายลมและแสงแดดผสมกันอย่างลงตัว แลดูปรองดองมีความสุข บรรยากาศคึกครื้นผ่อนคลายเป็นอย่างมาก 

 

           เห็นได้ชัดว่ายังไม่เกิดเรื่องใดทั้งนั้น 

 

           เซี่ยฟางหวามาถึง ก็ถูกเยี่ยนหลันมองเห็นจากหางตา พร้อมตะโกนเรียกขึ้น “ฟางหวา รีบมาเล่นไพ่กัน ขาดเจ้าไปคนหนึ่งพอดีเลย” 

 

           เซี่ยฟางหวามองเยี่ยนหลัน เลิกคิ้วเล็กน้อย ยิ้มพลางเดินเข้ามาหาเหล่าคุณหนูในศาลาริมน้ำ “วันนี้มิใช่มาเพื่อชมดอกไม้หรือ ไฉนถึงเล่นไพ่กันแทน” พูดจบ ก็มองไปยังหลี่หรูปี้ ยิ้มกล่าวว่า “คุณหนูหลี่ผอมไปแล้ว แต่ก็ยังสวยอยู่ดี” 

 

           “เจ้าเองก็เหมือนกัน” หลี่หรูปี้ยิ้มพลางตอบกลับ 

 

           เยี่ยนหลันมองหลี่หรูปี้แวบหนึ่ง กล่าวกับเซี่ยฟางหวา “ชมดอกไม้พลางเล่นพลาง รีบมานั่งเร็ว” 

 

           “คนเยอะขนาดนี้ ยังขาดคนเล่นไพ่อีก” เซี่ยฟางหวากวาดตามองแล้วยิ้มถาม 

 

           “สองคนต่อไพ่หนึ่งแถว เจิ้งเย่เวยคู่กับหวางจื่อหมิง เฉิงอวี้ปิ้งคู่กับซ่งฉินหร่าน ข้าคู่กับหลี่หรูปี้ เจ้าคู่กับเยี่ยนหลัน แปดคนเล่นไพ่แปดมือแข่งกัน นี่มิใช่ขาดเจ้าหรือ” 

 

           “มิใช่ยังมีพี่สะใภ้ใหญ่อยู่หรือ” เซี่ยฟางหวามองไปยังหลูเสวี่ยอิ๋ง 

 

           “นางบอกว่าไม่เล่น คอยปรนนิบัติรินน้ำชาให้เราแทน” เยี่ยนหลันตอบ “เซี่ยอีถูกแม่ของนางเรียกไปคุยเรื่องสู่ขอแล้ว จึงมาเล่นด้วยไม่ได้ เจ้าต้องร่วมเล่นด้วยแล้ว” 

 

           เซี่ยฟางหวาขยับคิ้ว ยิ้มถามขึ้น “หลินไท่เฟยกับฉินชิงมาตั้งแต่เมื่อไร” 

 

           “เพิ่งมาถึงนี่เอง” เยี่ยนหลันตอบ 

 

           เซี่ยฟางหวาคิดว่าตอนเซี่ยอีวิ่งมา เกรงว่าจะสายไปแล้ว หลินไท่เฟยกับฉินชิงคงมาถึงก่อนก้าวหนึ่ง นางยื่นมือดันหลูเสวี่ยอิ๋งให้นางไปนั่งข้างจินเยี่ยน แล้วกล่าวกับพวกนาง “ข้ายังมิได้ไปถวายบังคมไทเฮากับ 

 

ฝ่าบาท พี่สะใภ้ใหญ่เล่นแทนข้าไปก่อนแล้วกัน” 

 

           หลูเสวี่ยอิ๋งได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้า “ก็ได้ เจ้ารีบกลับมาแล้วกัน” 

 

           เซี่ยฟางหวาผงกศีรษะ 

 

           เยี่ยนหลันมิได้แย้ง เหล่าคุณหนูจึงเริ่มเล่นไพ่ด้วยกัน 

 

           เซี่ยฟางหวาเดินไปยังบริเวณที่พวกพระชายาอิงชินอ๋องนั่งอยู่ ก่อนถวายบังคมไทเฮากับหลินไท่เฟย 

 

           “พระชายาน้อยเว้นพิธีตั้งนานแล้ว” ไทเฮาแย้มสรวลพลางดึงมือนางมา  

 

           “มิได้พบพระชายาน้อยหลายวัน สีหน้าดูดีขึ้นมาก” หลินไท่เฟยเองก็แย้มสรวลพลางโบกพระหัตถ์  

 

           เซี่ยฟางหวายืดตัวตรง ยิ้มตอบว่า “วันนี้ไทเฮาทรงดูอ่อนเยาว์กว่าเดิมมาก หลินไท่เฟยเองก็ดูอ่อนเยาว์กว่าตอนอยู่ในวังหลวงเช่นกันเพคะ” 

 

           “เป็นฝ่าบาทตรัสว่าให้ข้าแต่งตัวสบายๆ ออกมาเที่ยวนอกวังทั้งที ไม่ควรแต่งตัวจุกจิกเยอะเกินไป ไม่นึกเลยว่าหลังข้าเข้ามาในจวน ก็ได้รับคำชมไม่น้อย” ไทเฮาแย้มสรวล  

 

           “ข้าเป็นแค่ยายแก่แท้ๆ แลดูอ่อนเยาว์ก็เพราะกาลเวลาช่วย พระชายาน้อยช่างพูดจาเอาอกเอาใจคนอื่นเป็น” หลินไท่เฟยเองก็แย้มสรวลเช่นกัน  

 

           เซี่ยฟางหวากำลังจะกล่าวต่อ เยี่ยนถิงที่ไปนั่งข้างฉินอวี้แล้วก็ตะโกนเรียกนาง “ฟางหวา มานี่หน่อย” 

 

           เซี่ยฟางหวาผินหน้ามอง เยี่ยนถิงกวักมือเรียกนาง ฉินอวี้กับพวกหลี่มู่ชิงกำลังมองมา 

 

           “เด็กคนนี้ เมื่อครู่เพิ่งคืนจิ้งหรีดให้ฉินชิง ตอนนี้ไม่รู้ว่าจะก่อเรื่องใดอีก” พระชายาอิงชินอ๋องยิ้มกล่าว 

 

           ไทเฮาทรงทราบว่าฉินอวี้ออกจากวังมาคงมิใช่แค่มาพักผ่อนหย่อนใจกับนาง จึงแย้มสรวลแล้วโบก 

 

พระหัตถ์ “รีบไปเถอะ” 

 

           เซี่ยฟางหวาพยักหน้า ก่อนเดินออกไป 

 

           นางย่อมไม่ถวายบังคมฉินอวี้ มาถึงก็อ้าปากถามเยี่ยนถิง “เจ้าจะก่อเรื่องใดอีก” 

 

           “เจ้าพูดอะไร ข้าก่อเรื่องที่ไหนกัน” เยี่ยนถิงถลึงตามองนาง  

 

           “เจ้าควรเรียกว่าพระชายาน้อย” ฉินอวี้เอ่ยขึ้น 

 

           “ไฉนเจ้าถึงไม่เรียกด้วย” เยี่ยนถิงถามเขาทันที  

 

           ฉินอวี้ชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง ตอบอย่างควรจะเป็น “ข้าเป็นฮ่องเต้” 

 

           เยี่ยนถิงอึ้งไป ก่อนกลอกตาหน่าย “นี่มิใช่เหตุผล” พูดจบก็บอกเซี่ยฟางหวา “เรือนลั่วเหมยของเจ้าซ่อนสุราดีไว้ไม่น้อย ยกมาให้เราสักสองสามไหสิ” 

 

           “ที่แท้เจ้าเรียกข้ามาเพื่อเรื่องนี้” เซี่ยฟางหวายิ้มขำ  

 

           “เจ้าคิดว่าเรื่องใด” เยี่ยนถิงมองนาง 

 

           เซี่ยฟางหวาครุ่นคิดแล้วเอ่ยขึ้น “จวนอ๋องก็เตรียมสุราให้พวกเจ้ามิใช่หรือ ไยต้องดื่มสุราในเรือน 

 

ลั่วเหมยของข้าด้วย” 

 

           “สุราในเรือนลั่วเหมยรสชาติดี” เยี่ยนถิงตอบ 

 

           เซี่ยฟางหวามองของหลายสิ่งที่วางอยู่บนโต๊ะพวกเขา เลิกคิ้วถาม “นี่กำลังพนันกัน?” 

 

           เยี่ยนถิงพยักหน้า “คนแพ้ต้องดื่ม” 

 

           “ดื่มสุราแบบนี้มิใช่เป็นการดูถูกสุราดีหรือ” เซี่ยฟางหวากล่าวอย่างเด็ดขาด “สุราในเรือนลั่วเหมยต้องค่อยๆ ลิ้มรส ดื่มแบบนี้ไม่ได้” พูดจบก็หมุนตัวเดินกลับไปหาพวกพระชายาอิงชินอ๋องกับไทเฮา 

 

           เยี่ยนถิงมองตาปริบๆ ส่งเสียงเรียกก็แล้ว ทว่าเซี่ยฟางหวาไม่แม้แต่จะหันกลับมา เขาหันไปมองฉินอวี้ 

 

           ฉินอวี้หลุดยิ้ม 

 

           หลี่มู่ชิงเองก็ยิ้มขำเช่นกัน 

 

           เยี่ยนถิงทำได้เพียงโบกมือ บอกสี่ซุ่นว่า “อาสี่ซุ่น นำสุราในจวนอ๋องมาแล้วกัน เลือกดีๆ หน่อย” 

 

           สี่ซุ่นรับคำแล้วเดินออกไป คิดในใจว่ารัชทายาทกลายเป็นฝ่าบาท ครั้นมาที่จวนอิงชินอ๋องและนั่งร่วมกับพวกท่านโหวน้อยเยี่ยนยังสนิทสนมกลมเกลียวกันเหมือนเมื่อก่อน หายากที่โอรสสวรรค์ไม่วางตัวสูงส่ง 

 

           เซี่ยฟางหวาเดินกลับมา นั่งลงข้างพระชายาอิงชินอ๋อง ยิ้มบอกว่า “พวกเขาจะเอาสุราล้ำค่าในเรือน 

 

ลั่วเหมยไปเป็นของเดิมพัน ดูถูกสุราดี ข้าไม่ให้หรอก” 

 

           “ทำถูกแล้วที่ไม่ให้ เจิงเอ๋อร์อุตส่าห์ซ่อนสุราดีไว้หลายไห เจ้าเยี่ยนถิงคนนี้มักจะโหยหาแล้วดื่มจนเกลี้ยง” พระชายาอิงชินอ๋องยิ้มขำ  

 

           “เยี่ยนถิงเป็นนักดื่มนั้นเลื่องชื่อนัก แต่ดื่มได้ไม่มาก ครู่เดียวก็เมาแล้ว” หลินไท่เฟยยิ้มตรัส 

 

           “เด็กกลุ่มนี้อยู่ด้วยกันแล้ว พลอยทำให้ข้าคล้ายคิดว่าอดีตฮ่องเต้ยังอยู่ ทุกอย่างยังเหมือนเดิม” ไทเฮาทอดถอนใจขึ้น 

 

           หลินไท่เฟยปลอบโยนนาง “อดีตฮ่องเต้ไปเสวยสุขแล้ว เจ้าอย่าคิดถึงพระองค์จนทำร้ายตัวเองเลย” 

 

           “ข้ารู้” ไทเฮาพยักพระพักตร์ 

 

           “เมื่อครู่เราคุยกันถึงไหนแล้ว พอมีเรื่องแทรกข้าก็ลืมหมด ตอนนี้ความจำนับวันยิ่งแย่ลง ใกล้จะกลายเป็นคนแก่เลอะเลือนแล้ว” หลินไท่เฟยหันไปถามฮูหยินหมิง 

 

           ฮูหยินหมิงมองเซี่ยอีที่อยู่ด้านข้างแวบหนึ่ง พบว่าตั้งแต่นางกลับมาก็เอาแต่ก้มหน้าตลอดเวลา นอกจากถวายบังคมหลินไท่เฟยก็ไม่พูดขึ้นอีกเลย ไม่รู้ว่าเพราะเขินหรืออย่างไร นางยิ้มตอบว่า “ฟางหวามาถึง ข้าก็ลืมแล้วเช่นกันว่าคุยถึงไหนแล้ว” 

 

           เวลานี้ไทเฮาก็แย้มสรวลตรัสขึ้น “ข้าจำได้ เมื่อครู่คุยถึงเรื่ององค์ชายแปดชอบแม่นางอีของครอบครัวหก ไท่เฟยบอกว่าหากฮูหยินหมิงคิดว่างานสมรสครั้งนี้เป็นไปได้ ก็ถือโอกาสคุยกันเสียวันนี้ ข้ากับพี่สะใภ้ก็จะช่วยพูดให้เช่นกัน ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องมงคลเรื่องหนึ่ง”