“อาเรีย! นี่เราไม่ได้เจอกันมานานแค่ไหนแล้วเนี่ย!”
หลังจากมาถึงพระราชวัง คารินก็ดึงอาเรียเข้ามากอดทันทีที่เห็นเธอ เพราะที่ผ่านมาคารินมัวแต่ยุ่งเสียจนไม่มีเวลามาเจออาเรียเลย
ตำแหน่งคุณผู้หญิงแห่งตระกูลมาร์ควิสเปียสต์นั้นต่างจากตอนเป็นเคาน์ติสซึ่งมีรูปลักษณ์เป็นเพียงขุนนางโดยสิ้นเชิง
มารยาทของชนชั้นสูงที่แค่เรียนรู้จากสายตาก็เลียนแบบได้ หรือคำสั่งมั่วซั่วโดยไม่มีความรู้ในเรื่องนั้นๆ ไม่อาจเข้ากันได้กับสมาชิกในตระกูลมาร์ควิส
คารินเพิ่งมารู้ซึ้งว่าภาระหน้าที่ของขุนนางช่างใหญ่หลวงนักก็เมื่อได้มาเป็นมาร์เชอเนสแห่งเปียสต์นี้เอง
ด้วยเหตุนี้คารินจึงเริ่มเรียนรู้มารยาทเป็นครั้งแรกในอายุสามสิบกว่า ได้เรียน และพยายามทำตัวให้ดูฉลาดหลักแหลม
ซึ่งสิ่งนี้ไม่อาจเรียนให้บรรลุได้เพียงชั่วข้ามคืน นั่นจึงทำให้เธอไม่อาจมาหาอาเรียได้ และอาเรียที่ต้องยุ่งกว่าเธอแน่นอนย่อมมาหาเธอถึงคฤหาสน์มาร์ควิสไม่ได้เช่นกัน
“ไม่ได้เจอกันนานนะคะ ร่างกายแข็งแรงดีใช่ไหมคะ”
“แน่นอน! แม่เดินเล่นกับพ่อลูกทุกวัน แข็งแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเชียวล่ะ ว่าแต่อาเรีย ลูกน่ะ…”
คารินยกมือขึ้นแตะที่แก้มอาเรีย
ตอนนี้เธอโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว ไม่รู้เพราะเหตุใดคารินจึงรู้สึกเจ็บปวดที่หัวใจกับบรรยากาศที่เธอดูเติบโตขึ้นทุกครั้งที่เจอกันและได้เห็นแก้มที่ซูบผอมนั่น
“ได้ทานอาหารพอหรือเปล่า ถูกใช้งานหนักไปไหม หากเธอไม่ไหวก็ลงมาได้ตลอดนะ ทุกคนรออยู่”
ไม่ใช่เพียงสมาชิกในตระกูลแต่รวมถึงพระจักรพรรดิด้วย
คำพูดเฉียบขาดของคารินที่ดังตามมาทำให้อาเรียหัวเราะออกมาเบาๆ
นี่เธอกำลังบอกให้ตนซึ่งกำลังจะได้เป็นจักรพรรดินีข้ามไปยังโครอาอย่างนั้นหรือ แล้วยังบอกว่าโรฮันรออยู่อีก
นี่คารินรู้ตัวหรือเปล่านะว่าพูดอะไรออกมา
“ไม่ต้องห่วงนะคะ ลูกสุขภาพดียิ่งกว่าตอนอยู่ที่คฤหาสน์โรสเซนต์เสียอีกค่ะ แล้วก็ไม่เคยอดอาหารสักมื้อด้วยค่ะ”
ทุกคนในพระราชวังต่างใส่ใจและเป็นห่วงเป็นใยอาเรียไม่เหมือนเมื่อก่อนนี้
อาเรียแย้มยิ้มอย่างงดงามราวกับเธอไม่อาจมีความสุขไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว นั่นทำให้คารินบุ้ยปากอย่างทำอะไรไม่ได้
หลังการพบกันของสองแม่ลูกจบลง พ่อแท้ๆ อย่างโคลอี คุณยายไวโอเล็ต และคุณตาต่างก็ตามเข้ามากล่าวคำทักทายด้วยความรักใคร่
“ไม่เจอกันนานนะขอรับ”
“สบายดีไหมคะ”
การปรากฏตัวของพ่อบังเกิดเกล้าที่เธอเคยเข้าใจผิดว่าเขานอกใจและก่นด่าเขาอยู่เป็นเวลานาน ทำให้อาเรียต้องซ่อนความรู้สึกผิดไว้แล้วยิ้มตอบไปอย่างอ่อนโยน
“หืม”
ระหว่างที่ทั้งสี่กำลังถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันอยู่นั้น คารินก็หรี่ตาลงเพราะเห็นอะไรบางอย่างเข้า
“นั่นมัน… อะไรน่ะ”
ด้านหลังอาเรีย อีกด้านหนึ่งของเสา
ทำไมต้องไปซ่อนอยู่หลังเสาแล้วโผล่หน้ามาแบบนั้น
ตัวเล็กๆ แบบนั้นน่าจะเป็นเด็ก เป็นน้องของอาซอย่างนั้นหรือ
คารินยิ่งพยายามหรี่ตามองบางสิ่งที่ซ่อนอยู่หลังเสาให้ชัดยิ่งขึ้น
“…หืม!”
แต่แล้วคารินก็เป็นอันต้องตาโตเป็นไข่ห่าน ทำไมเด็กน้อยจึงหน้าเหมือนอาเรียเหลือเกิน
หนูน้อยดูเหมือนอาเรียในวัยเด็กที่มักจะวิ่งเล่นไปตรงนั้นตรงนี้ทั้งใบหน้าสกปรกมอมแมมอย่างกับถอดแบบกันมา
คารินที่กำลังตกใจหันมองอาเรียกับเด็กน้อยสลับกันไปมาโดยไม่รู้ตัว
‘นี่มันเรื่องอะไรกัน…’
โชคไม่ดีที่อาเรียไม่ทันสังเกตเห็นเพราะอยู่ในอ้อมกอดของไวโอเล็ตผู้กำลังรู้สึกซาบซึ้ง ส่วนอาซที่ตามมาทีหลังก็ได้กล่าวคำทักทายคารินกับโคลอีอย่างสุภาพ
“ทุกท่านเดินทางมาไกล คงจะเหนื่อยแย่เลยนะครับ”
“ไม่หรอกค่ะ พวกดิฉันสนุกที่ได้แวะที่นั่นที่นี่… เอ่อ ไม่สิ ฝ่าบาทคะ ที่อยู่ตรงนั้นคืออะไรหรือคะ”
คารินที่ถูกทักโดยไม่ทันตั้งตัวจู่ๆ ก็เข้าไปจับแขนอาซแล้วชี้ไปทางเสาที่บลิสกำลังชะโงกหน้าออกมา
ในเวลาเดียวกันนั้น ลิเป้ที่จับมือบลิสอยู่ก็รีบใช้พลังเคลื่อนย้ายไปทันที
อาซยิ้มพลางพยายามซ่อนความรู้สึกที่อยากยกมือขึ้นกุมขมับเมื่อเห็นเส้นผมสีทองปลิวไสวหายไปนั้น
“ผมไม่เข้าใจว่าคุณหมายถึงอะไรน่ะครับ”
“เมื่อกี้ยังมีอยู่เลยนี่นา!”
คารินสลัดมารยาทของชนชั้นสูงที่ร่ำเรียนมาแล้ววิ่งกระหืดกระหอบไปหลังเสาต้นนั้น
ทว่า ณ ที่ตรงนั้นกลับว่างเปล่าเช่นเดียวกับคำตอบของอาซที่ตีหน้าตายทำไม่รู้ไม่เห็น
“อะไรกัน มีจริงๆ นะ…! ตัวเล็กๆ ตาเป็นประกายเหมือนอาเรีย—”
คำอธิบายอันแสนคุ้นเคยทำให้อาเรียพอจะเดาสถานการณ์ออกแม้ว่าจะยังอยู่ในอ้อมแขนของไวโอเล็ตก็ตาม
สุดท้ายเธอจึงแอบเดาะลิ้นแล้วเข้าไปจับมือคารินเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายพูดอะไรอีก
“สงสัยคงจะเหนื่อยเพราะเดินทางมาไกลสินะคะ แม่มาถึงเร็วกว่าที่ลูกคิด แต่ลูกได้เตรียมที่หลับที่นอนเอาไว้ให้เผื่อแล้ว ขึ้นไปพักเลยดีไหมคะ”
“หะ หืม”
“แล้วลูกยังเตรียมแชมเปญที่แม่ชอบเอาไว้ให้เยอะแยะเชียวล่ะค่ะ”
เพราะฉะนั้นรีบขึ้นไปเร็วๆ เถอะ อาเรียดันหลังคารินพลางส่งสายตาให้เจสซี่
“ดิฉันเตรียมชีสแบบที่มาร์เชอเนสชอบไว้ด้วยนะคะ ดิฉันจะไปสั่งให้หัวหน้าห้องครัวของพระราชวังอบแคร็กเกอร์ให้เดี๋ยวนี้เลยค่ะ”
“ตายจริง เจสซี่ เชื่อถือได้จริงๆ ไม่สิ เธอเป็นเด็กที่ฉันถูกใจมาแต่ไหนแล้วล่ะ”
โชคดีที่ดูเหมือนคารินจะสนใจเหล้าที่เธอสามารถดื่มได้อย่างเต็มที่เท่าที่ต้องการหลังจากไม่ได้ดื่มมานานและชีสมากกว่าเด็กน้อยที่ไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนาม จึงตกหลุมพรางคำประจบประแจงของอาเรียกับเจสซี่เข้าอย่างจัง
ด้วยเหตุนี้โคลอีที่ตอนแรกกำลังตื่นเต้นเมื่อคิดว่าจะได้กอดอาเรียจึงได้แต่พูดว่าครั้งหน้าคงเป็นคราวของเขาบ้าง และเดินตามหลังคารินกับอาเรียไปเงียบๆ พลางเก็บซ่อนสีหน้าบูดบึ้งเอาไว้
* * *
“เธอนี่จริงๆ…! ทำไมทำแบบนี้ตลอดเลย! ถ้าถูกจับได้ขึ้นมาจะทำยังไง!”
บลิสแก้ตัวทั้งน้ำตาเมื่อถูกลิเป้เขกหัวอย่างแรง
“อะไรล่ะ ฉันก็แค่อยากเห็นหน้ายายเป็นครั้งสุดท้ายเอง… ถึงยังไงเธอก็จำไม่ได้อยู่แล้ว”
ยิ่งคิดว่าเป็นครั้งสุดท้ายกลับยิ่งอาลัยอาวรณ์
เธอจะได้เจอแม่อีกไม่นาน ไม่สิ พ่อด้วย อ๊ะ! ไหนจะเจสซี่กับแอนนี่อีก! ซาร่าด้วยหรือ!
อะไรนะ! ยายกับยายทวดก็มาหรือ! ตา! บลิสอยู่นี่!
แววตาของบลิสที่กำลังอธิบายเสียงเจื้อยแจ้วว่าเหตุใดสถานการณ์จึงกลายเป็นแบบนี้ ทำให้สีหน้าของลิเป้เริ่มเย็นชาลงทุกที
“นะ แน่นอนว่ามีแค่ฉัน! คนที่จะหายไปมีแค่ฉันคนเดียว ไม่ใช่เธอนะลิเป้ ฉันเลยต้องหาวิธีไง! หืม! ไม่ต้องห่วงนะ! เชื่อพี่คนนี้สิ!”
บลิสรีบละล่ำละลักพูดออกมา
แม้จะเป็นคำอธิบายที่ไม่ค่อยน่าเชื่อถือเพราะหลังจากได้ดื่มน้ำทะเลสาบแล้วเจ้าตัวก็เอาแต่เล่นสนุกไปเรื่อยเปื่อย แต่ขณะเดียวกันก็มาจากใจจริง
“…ใช่ เธอพูดถูก”
แต่ลิเป้ที่บลิสคิดว่าจะโกรธเธอแม้เธอจะแก้ตัวแล้วก็ตาม กลับตอบรับคำพูดของเธอด้วยสีหน้าคล้ายไม่ใส่ใจโดยไม่รู้สาเหตุ
“แม่… เจอเราแล้ว ยังไงอนาคตที่พลังของเราถูกปลุกขึ้นมามันก็ไม่มีแล้วล่ะ…”
“หะ หืม…!”หะ หืม…!”
อย่าบอกนะว่าคำแก้ตัวข้างๆ คูๆ ของเธอได้ผล
ไม่สิ บางทีเธออาจไม่ได้พูดถูกแต่เพราะอีกฝ่ายตอบแบบขอไปทีมากกว่า
“เธอพูดอะไรน่ะ ลิเป้…”
ตอบดีๆ เถอะนะ บลิสถามด้วยสีหน้ากึ่งคาดหวังกึ่งกังวล
ทันใดนั้น จู่ๆ ลิเป้ก็ลุกพรวดออกจากที่แล้วมาเข้าข้างพี่สาวตัวเองราวกับเธอไม่เคยต่อว่าบลิสมาก่อน
“เธอพูดถูกแล้วล่ะ เพราะสุดท้ายยังไงอนาคตก็ต้องเปลี่ยนอยู่แล้ว”
“จะ จริงหรือ เธอคิดอย่างนั้นจริงๆ หรือ!”
บลิสไม่อาจเก็บอาการดีใจเอาไว้ได้เมื่อลิเป้เพิ่งเอ่ยชมเธอเป็นครั้งแรก
ทุกครั้งลิเป้มักจะโวยวายใส่เธอว่าอย่าพูดอะไรไร้สาระคงเพราะลิเป้เป็นคนฉลาด แต่ในที่สุดความจริงใจของเธอก็สำเร็จผลแล้ว
“อืม จริงสิ แต่ยังทำตอนนี้ไม่ได้ เพราะถ้าทำละก็ เธอได้โดนแม่ว่าก่อนอนาคตจะเปลี่ยนแน่”
เพราะอาเรียเพิ่งกำชับพวกเธอไว้เมื่อไม่กี่นาทีก่อนว่าให้อยู่เงียบๆ ไปจนกว่าสถานการณ์จะเป็นใจ
“แล้วจะทำยังไงดีล่ะ”
“ก็ทำตามแม่บอกไง”
“…?”
ก็แล้วมันยังไงเล่า แววตาของบลิสมีแต่ความสงสัยและความระแวง
ลิเป้จุ๊ปากเหมือนบลิสเป็นคนโง่แล้วบอกแต่ให้เชื่อตัวเองด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย
* * *
“ฉันคิดถึงมันเหลือเกิน!”
คารินทรุดนั่งลงบนโซฟาพร้อมแชมเปญในอ้อมแขน
แม้จะดื่มหมดไปถึงสองขวดแล้ว แต่เธอยังยินดีที่จะประกบปากกับขวดใหม่ราวกับยังอยากดื่มอยู่
แม้ชีวิตของมาร์เชอเนสจะสง่างามและสูงส่ง แต่มันก็ควรมีเวลาแห่งความสุขให้เธอดื่มอย่างเต็มที่แบบนี้บ้าง
“คาริน เลิกดื่มแค่นี้แล้วพักผ่อนไม่ดีกว่าหรือ หากดื่มมากไปร่างกายคงได้—”
“อาซ ถ้าคุณไม่ยุ่งมากช่วยพาคุณพ่อฉันเดินชมพระราชวังหน่อยได้ไหมคะ ฉันอยากเปิดใจถึงเรื่องที่ผ่านมากับแม่น่ะค่ะ”
อาเรียพูดขัดโคลอีที่พยายามจะห้ามคาริน
คารินไม่คิดฟังคำห้ามปรามและนี่ก็เป็นเวลาที่เธอรอมานาน ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องเอาเท้าราน้ำแต่อย่างใด
“เอาเลยค่ะ ไปกันเลย ไม่ต้องห่วงฉัน”
คำพูดเธอดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าไรเมื่อเธอยังกอดขวดแชมเปญอยู่อย่างนั้น
นอกจากนี้เรื่องชมพระราชวังก็เคยพาชมแล้วทุกซอกทุกมุมตั้งแต่เมื่อครั้งพิธีอภิเษก
แต่ในเมื่ออาเรียพูดอย่างนั้น แล้วเขาจะไปตอบอะไรได้
“พระชายาทรงปราดเปรื่องเหลือเกินครับ กระผมว่าไปพักผ่อนคลายเหนื่อยจากการเดินทางที่ห้องข้างๆ นี่พร้อมพ่อแม่กระผมก็ดีเหมือนกันขอรับ”
โคลอีพยายามกลั้นน้ำตาไว้แล้วดึงพ่อแม่ของตัวเองมาด้วยก่อนจะกล่าวเห็นด้วยกับคำพูดอาเรียว่าเป็นความคิดที่ดี
“เช่นนั้น เดี๋ยวผมมานะครับ”
อาซยิ้มออกมาเพราะเห็นว่าอาเรียที่รู้จักปั่นหัวคนนั้นคนนี้นั้นช่างน่ารักน่าเอ็นดูแล้วลุกออกไปพร้อมโคลอี
“อาเรียเอ๊ย มีแค่ลูกจริงๆ รู้ไหมว่าอยู่ที่คฤหาสน์มาร์ควิสนี่มันเหนื่อยขนาดไหน! แชมเปญชั้นดีขนาดนี้แต่วันหนึ่งดื่มได้ไม่เกินหนึ่งแก้วลูกว่ามันสมเหตุสมผลหรือ!”
มันทั้งสมเหตุสมผลแล้วก็น่าโล่งใจเลยล่ะ แต่อาเรียที่รู้ดีว่าเหตุใดคารินจึงติดเหล้าขนาดนี้ทำได้เพียงยิ้มตอบ
“ถึงจะแค่ไม่กี่วันแต่แม่จะดื่มมันวันละสิบขวดจนกว่าจะถึงตอนนั้นเลย แม่จะเหมาแชมเปญของจักรวรรดิให้หมด เตรียมพร้อมไว้ได้เลย”
ใครกันแน่นะที่ต้องเตรียมพร้อม
ท้องไส้ของคารินต่างหากล่ะที่ต้องเตรียมตัว
อาเรียทิ้งคารินที่เริ่มคุยกับขวดแชมเปญราวกับเมาแล้วไว้ข้างหลังก่อนจะปิดประตูลงเงียบๆ แล้วส่งสายตาให้เจสซี่
“…เรียบร้อยดีใช่ไหม”
“ค่ะ ดิฉันกำลังไปเอาขนมที่ทั้งสองชอบที่ดิฉันเตรียมไว้หลายอย่างเพราะกลัวพวกเธอจะเบื่อมาน่ะค่ะ”
ถ้าอย่างนั้นคงตื่นเต้นจนเงียบไปสักพักล่ะนะ
อาเรียพอใจกับการจัดการอย่างไร้ที่ติของเจสซี่ก่อนจะเหลือบมองคารินที่เริ่มสัปหงก
คารินที่เธอรู้จักไม่ใช่คนที่จะมาคอพับคออ่อนเพราะแชมเปญเพียงสองขวด ดูท่าแม่เธอจะดื่มได้น้อยลง
อาเรียคิดว่าเธอควรขอบคุณพ่อในหลายๆ ด้านจริงๆ เธอหันไปสั่งมหาดเล็กที่ยืนประจำการอยู่ให้พาคารินไปนอนลงบนเตียง
“ฉันยังดื่มได้อีก…”
“แน่นอนค่ะ แต่แม่น่าจะล้าจากการเดินทางไกล ไว้เอนตัวก่อนแล้วค่อยดื่มต่อนะคะแม่”
ความใส่ใจของอาเรียที่ละคำว่า ‘ในฝัน’ เอาไว้ทำให้คารินยอมเอนตัวลงนอนทั้งที่ยังไม่ยอมปล่อยขวดแชมเปญออกจากอ้อมแขน
“ก็ได้ เอาอย่างนั้นก็ได้…”
สำเนียงที่เธอพูดทำให้อาเรียนึกถึงใครบางคน ทั้งที่เมามายจนแทบไม่ได้สติแต่ยังยืนกรานหนักแน่นว่าจะนอนดื่มให้ได้
ทว่าเนื้อสัมผัสอ่อนนุ่มที่ทำให้เธอไม่รู้สึกตัวทันทีที่นอนลงนั้น ทำให้คารินปล่อยขวดแชมเปญหลุดจากมือจนได้
ลมหายใจของเธอหนักหน่วง เมื่อได้ยินเสียงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ อาเรียก็โบกมือสั่งให้มหาดเล็กทุกคนที่อยู่ในห้องออกไปให้หมด
หากตื่นขึ้นมาคารินอาจดื่มอีกรอบ ดังนั้นเธอจึงต้องกล่อมให้หลับเพียงเท่านี้
หลังจากกล่อมมาร์เชอเนสจนกลับออกมาจากห้อง เทียเรนซึ่งกำลังเดินผ่านระเบียงทางเดินมาพอดีก็เข้ามาหาเธอด้วยสีหน้ายินดี
“พระชายา! ดิฉันกำลังจะไปหาอยู่พอดี ประทับอยู่ที่นี่เองหรือคะ ดิฉันเขียนใบแผนการที่พระชายาตรัสบอกดิฉันแล้วค่ะ หากพระชายาประทานอนุญาต ดิฉันจะรีบส่งคนไปที่หมู่บ้านทันทีค่ะ”
เธอกำลังจะไปกำชับเด็กๆ ซ้ำอีกครั้งว่าให้อยู่เงียบๆ แต่นี่ก็เป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน
“ทำดีมาก ฉันจะดูตอนนี้เลยแล้วกัน มาที่ห้องทำงานด้วยกันสิ”
ด้วยเหตุนี้อาเรียซึ่งไม่สามารถปล่อยเทียเรนกลับไปทั้งอย่างนี้ได้จึงต้องเปลี่ยนทิศทางของฝีเท้าจากทางไปห้องเด็กๆ เป็นฝั่งตรงข้ามแทน
ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นแผนที่เธอจะอนุมัติอยู่แล้วจึงคิดเพียงแต่จะรีบทำให้เสร็จ
เธอหวังว่าเด็กน้อยทั้งสองคงทานขนมและยอมอยู่เงียบๆ จนถึงตอนนั้น
………………