“ลิเป้…! อะไรน่ะ…!”
ลิเป้ยื่นห่อผ้าที่ตัวเองถืออยู่ไปให้บลิสที่ถามด้วยความตกใจ
เมื่อเปิดออกดู บลิสจึงรู้ว่ามันคือชุดสำหรับเด็กรับใช้ในวัง
จู่ๆ ลิเป้ก็หายไปเหมือนไม่เคยยกยิ้มร้ายมาก่อนแล้วจู่ๆ ก็กลับมา ขณะที่บลิสกำลังคิดว่าเธอกำลังทำอะไร ลิเป้กลับเอาชุดเด็กรับใช้มาให้เธอ
บลิสมองลิเป้อย่างงุนงงอีกครั้งราวกับจะถามว่าเอาชุดนี้มาทำไม
“ถ้าอยากเจอยายก็ใส่ไปไม่ต้องบ่น”
“…หืม”
แล้วจะทำอย่างไร…
“เอ๋…! อ๊ะ!”
เดี๋ยวสิ อย่าบอกนะลิเป้ ว่าเธอ! จะให้ฉันไปเจอยายทั้งที่ชุดเด็กรับใช้นี่น่ะ!
ลิเป้เข้าใจดีว่าบลิสอยากพูดอะไรแม้เจ้าตัวจะตกใจจนทำได้แค่ส่งเสียงร้องอุทานออกมาก็ตาม เธอพยักหน้าตอบบลิสอย่างไม่ใส่ใจนัก
“ถึงยังไงความทรงจำก็ต้องโดนลบอยู่ดี แค่ไปเจอน่ะไม่เป็นไรหรอก ป่านนี้ยายคงเมาจนหลับเป็นตายเหมือนเดิม ยายพูดไม่ได้หรอกว่าเห็นพวกเรา”
ถึงอย่างนั้นก็ยังเหลือเวลาอยู่อีกระยะหนึ่งกว่าจะถึงวันพิธีราชาภิเษก ดังนั้นพวกเธอต้องแอบเคลื่อนไหวกันอย่างเงียบเชียบ
พวกเธอไม่อยากโดนจับได้ให้โดนดุ
และชุดเด็กรับใช้จะเป็นตัวป้องกันไม่ให้เรื่องนั้นเกิดขึ้น
“ลิเป้ เธอนี่อัจฉริยะจริงๆ!”
บลิสชื่นชมลิเป้จากใจจริง น้องสาวของเธอปราดเปรื่องจริงๆ
ตัวเธอคิดได้แค่ไปแอบมองอยู่หลังเสาแต่น้องสาวเธอกลับมีแผนที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้เชียว!
“หึ ถ้าเข้าใจแล้วก็ไปเปลี่ยนชุดซะ เราต้องรีบไปรีบมาให้ทันเวลา”
ราวกับได้ยินบ่อยจนชิน ลิเป้จึงไม่แสดงสีหน้ายินดีปรีดาแต่อย่างใดแม้จะได้รับคำชมว่าอัจฉริยะก็ตาม
ลิเป้อธิบายเพิ่มว่าระหว่างกลับมาจากขโมยชุด เธอได้ยินว่าอาเรียอยู่ในห้องทำงาน ดังนั้นตอนนี้จึงเป็นโอกาสเหมาะพอดี
“อืม! อืม! อ้อ ว่าแต่ลิเป้!”
“อะไร”
เวลายิ่งไม่ค่อยมี ยังจะมัวพูดอะไรอยู่ได้
บลิสชี้ห่อเสื้อผ้าที่ถืออยู่พลางเอ่ยถามอย่างระมัดระวังพร้อมสีหน้ารู้สึกผิดน้อยๆ เมื่อลิเป้ตอบเสียงหงุดหงิด
“ไอ้นี่มันใส่ยังไงหรือ ฉันไม่เคยใส่เสื้อผ้าคนเดียวเลยน่ะ”
ยิ่งเป็นชุดเด็กรับใช้ที่เพิ่งเคยใส่เป็นครั้งแรก ต่างจากชุดของชนชั้นสูงที่เธอเคยชินกับขั้นตอนการใส่การถอดยิ่งแล้วใหญ่
แต่หากเป็นอัจฉริยะอย่างลิเป้ละก็อาจจะรู้
เมื่อบลิสเอาแต่รอคอยคำตอบโดยไม่อาจลบเลือนแววความคาดหวังออกไปจากสายตาได้ ลิเป้จึงได้แต่เกาแก้มพลางเอ่ยตอบด้วยสีหน้าเคอะเขิน
“…ฉันไม่รู้”
“อาฮะ”
สุดท้าย เด็กน้อยทั้งสองก็ต้องเสียเวลาเปลี่ยนเสื้อผ้ากันไปกว่าสามสิบนาที
แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็ไม่ได้เลวร้ายนัก แม้ว่าใบหน้าและเส้นผมจะโดดเด่นไปหน่อยก็ตามที
ถึงอย่างนั้นคารินอาจจะกำลังเมาอยู่และพวกเธอทั้งสองก็คิดจะใช้พลังเคลื่อนย้ายผ่านอากาศอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่มีอะไรต้องกังวล
“ฉันจะย้ายไปที่ตู้เสื้อผ้าเผื่อไว้ก่อนแล้วกันนะ”
“อื้ม!”
ลิเป้บอกว่าเธอจะทำให้สมบูรณ์แบบที่สุดพลางยื่นมือออกไป บลิสเอ่ยตอบเต็มเสียงแล้วจับมือน้องสาวไว้แน่น
หลังจากนั้น เด็กน้อยทั้งสองก็ได้ย้ายมาอยู่ในตู้เสื้อผ้าในห้องที่คารินพักอยู่
พวกเธอได้ยินเพียงเสียงลมหายใจสม่ำเสมอดังอยู่ด้านนอกตู้ ดูท่าคารินน่าจะเมาเหล้าหลับไปอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ
‘เอี๊ยดด’
ลิเป้เปิดประตูตู้ออกไปเล็กน้อยเพื่อแอบดูด้านนอกให้แน่ใจ
โชคดีที่นอกจากคารินซึ่งนอนอยู่บนเตียงแล้ว ในห้องก็ไม่มีใครอยู่อีก
มันจะมีเวลาไหนเป็นใจไปมากกว่าตอนนี้อีกหรือ
ลิเป้ไม่อาจเก็บเสียงหัวเราะคิกคักเอาไว้ได้ เธอส่งสัญญาณมือไปให้บลิสซึ่งยังคงกลั้นหายใจอยู่
“ออกมา เงียบๆ นะ”
“อืม ฮิๆๆ”
นี่คือเรื่องบ้าบิ่นเรื่องแรกที่ได้ทำกับน้องสาวของตัวเอง และระหว่างนั้นเธอจะยังได้เจอยายอีกด้วย
เสียงหัวเราะคิกคักยังดังออกมาจากริมฝีปากของบลิสอย่างต่อเนื่องราวกับสถานการณ์ในตอนนี้เป็นเรื่องสนุกสนานและน่าตื่นเต้นมากสำหรับเธอ
ถึงอย่างนั้นหากเธอส่งเสียงดังอาจทำให้มีใครเข้ามาได้
บลิสใช้ฝ่ามือปิดปากเพื่อกลั้นเสียงหัวเราะขณะค่อยๆ เดินเข้าไปหาคารินอย่างระมัดระวัง
“ว้าว… ยายยังเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย สวยมาก มากๆ”
แม้จะอยู่ในสภาพนอนเหยียดเพราะเมาไม่ได้สติ แต่ความงดงามของคารินยังคงเดิม
ด้วยความที่เธอพยายามทุ่มเทให้กับสิ่งที่อยู่ภายในจิตใจมากกว่ารูปโฉมภายนอกหลังจากมาอยู่ในตำแหน่งมาร์เชอเนส ต่างจากเมื่อครั้งอยู่ที่ตระกูลเคานต์ ทำให้คารินคนปัจจุบันไม่ได้เปลี่ยนไปจากอนาคตมากนัก
“แม่ก็เหมือนกัน หรือมันจะเป็นเอกลักษณ์ในครอบครัวเรา”
หน้าตาคือสิ่งที่ต้องเปลี่ยนแปลงไปเองตามกาลเวลาเหมือนอย่างซาร่า เจสซี่ และแอนนี่
ดูเหมือนครอบครัวของพวกเธอจะมีพันธุกรรมพิเศษ
ลิเป้ที่กำลังประหลาดใจ ส่งมือออกไปสัมผัสแก้มของคารินที่หลับเป็นตายอย่างระมัดระวังโดยไม่รู้ตัว
“…ผิวก็เหมือนเดิม”
“จริงๆ เลยนะ!! ฉันจับด้วยสิ!”
มือของบลิสเลื่อนไปแตะลงบนแก้มคารินทันทีที่พูดจบ
“ละ เหล้า… ฉันจะดื่มมันให้หมด…”
ถึงอย่างนั้นคารินก็แค่ละเมอออกมาว่าจะดื่มอีกเท่านั้น ไม่ได้มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาแต่อย่างใด
นั่นทำให้มือของบลิสและลิเป้ยิ่งขยับต่อไปอย่างย่ามใจ
ไม่ใช่เพียงแก้มเท่านั้นแต่ยังขยับไปสัมผัสทั้งหน้าผาก ริมฝีปาก หรือกระทั่งเปลือกตาที่กำลังหลับอยู่
หากไม่ใช่วันนี้พวกเธอก็ไม่มีโอกาสอื่นอีกแล้ว
ขณะที่เด็กๆ กำลังพากันสัมผัสไปตามใบหน้าของคารินเป็นเวลานานด้วยแววตาเป็นประกายนั้นเอง
หมับ คารินก็คว้าเข้าที่ข้อมือของลิเป้แล้วลืมตาขึ้นมาช้าๆ
“อะไรกัน พวกเธอ”
แววตาเธอเย็นยะเยือกราวกับไม่ได้เมา แต่เมื่อได้เห็นหน้าเด็กๆ ชัดๆ ดวงตาก็พลันเบิกโพลง
“อา… เรียหรือ”
ใบหน้าของอาเรียไม่ได้มีเพียงหนึ่งแต่มีถึงสอง
“นะ นี่มันอะไรกัน…! อาเรียมีสองคนหรือ…!”
คารินที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นได้แต่ขยี้ตาด้วยมืออีกข้างที่ยังว่าง
ระหว่างที่คารินได้แต่มองหน้าบลิสกับลิเป้สลับกันไปมาด้วยสีหน้าตกตะลึง ลิเป้ซึ่งสงบจิตสงบใจได้อย่างรวดเร็วกลับเอ่ยตอบพร้อมรอยยิ้ม
“ฝันค่ะ!”
“ฝันหรือ…”
“ค่ะ! พวกเรามาเพราะกลัวว่าคุณจะเบื่อค่ะ! พวกเราคือเทพธิดาคู่หูค่ะ!”
มีที่ไหนล่ะประชากรในโลกแห่งความฝันที่จะพูดว่า ‘นี่คือความฝันค่ะ’ เวลาอยู่ในฝันน่ะ
เทพธิดาคู่หูใบหน้าแช่มชื่นอย่างนั้นหรือ
ทั้งคำพูดและการกระทำของลิเป้ที่ต่างไปจากในเวลาปกติ ทำให้บลิสรู้สึกขนลุกจนถอยหลังไปก้าวหนึ่งโดยไม่รู้ตัวแล้วขมวดคิ้ว
อย่างไรก็ตาม คารินที่ยังอยู่ในสภาพแข็งค้างกะพริบตาช้าๆ พลางถามกลับ
“เทพธิดาคู่หู… เพื่อนดื่มงั้นหรือ…”
“ค่ะ! แต่ถ้าคุณไม่ต้องการพวกเราจะหายไปค่ะ”
หากเธอใช้พลังหายตัวไปจากตรงนี้ เธอก็จะจบบทบาทของเทพธิดาลงได้อย่างสมบูรณ์แบบ
และหากได้เจอกันหลังจากนี้ก็แค่ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไป ตอนนี้เธอกำลังเมา ดังนั้นวิธีนี้น่าจะได้ผลที่สุด
ลิเป้ยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจกับแผนการที่คิดเอาเองว่าเข้าท่าที่สุด และแน่นอนว่าคำตอบของคารินย่อมเป็น
“เพื่อนดื่มอะไรกัน! ฉันไม่ได้มีงานอดิเรกเป็นการดื่มกับเด็กน้อยเสียหน่อย ต่อให้เป็นในฝันฉันก็ดื่มทั้งที่มีเด็กน้อยหน้าตาเหมือนลูกสาวฉันนั่งอยู่ข้างๆ ไม่ได้หรอก”
หืม…! ไม่ใช่แบบนี้สิ ลิเป้ได้แต่กะพริบตาปริบๆ เพราะความสับสนเมื่อมันไม่ได้เป็นไปอย่างที่เธอคิด
‘มะ ไม่ได้เมาหรอกหรือ แล้วถ้าโดนไล่ออกไปทั้งแบบนี้ล่ะ! เธอจะไม่เรียกทหารใช่ไหม’
ในช่วงเวลาสั้นๆ นั้น ลิเป้กำลังขบคิดด้วยความกังวลล้านแปด ขณะเดียวกันคารินซึ่งจับข้อมือบลิสที่ยังยืนงงเพราะตามสถานการณ์ไม่ทันก็ยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย
“เป็นเด็กก็ต้องเล่นแบบเด็กๆ สิถึงจะถูก เตรียมตัวให้พร้อมเถอะ”
* * *
“นี่มันอะไรกัน…”
หากกำลังพูดถึงสถานการณ์ในตอนนี้ อาเรียกำลังตกใจอย่างถึงที่สุดหลังจากกลับเข้ามาในห้องคารินอีกครั้ง
เธอไปที่ห้องของบลิสในทีแรก ทว่าเด็กๆ ที่ควรจะอยู่ที่นั่นอย่างเรียบร้อยกลับหายไป เธอจึงมาเพราะคิดว่าเด็กๆ อาจอยู่ที่นี่
อาเรียไม่เข้าใจว่าเหตุใดเด็กๆ ทั้งสองถึงมาอยู่ที่นี่และทำไมแม่ของเธอถึงได้เป็นแบบนั้น
อาเรียมองคารินที่เอาผ้าเช็ดหน้าปิดตาแล้วพยายามหาเด็กๆ ที่ซ่อนอยู่ตรงมุมห้องอย่างงุนงง
“…แม่”
“ตายจริง พอปิดตาดันได้ยินเสียงอาเรีย ฝันนี่น่าทึ่งจริงๆ”
“ลูกคิดว่าแม่หลับไปแล้วเสียอีก แล้วนี่กำลังทำอะไรอยู่คะ”
น้ำเสียงเย็นเยียบที่ย้ำเตือนให้รู้ถึงความเป็นจริง ทำให้คารินคิดได้ว่าบางทีนี่อาจไม่ใช่ความฝัน
คารินที่อยู่ในสภาพกึ่งนั่งกึ่งยืนรีบเอาผ้าเช็ดหน้าลงแล้วมองเด็กๆ ที่ยังซ่อนอยู่ด้านหลังตามเดิมสลับกับอาเรีย
“ไม่ใช่เทพธิดาคู่หูหรอกหรือ…”
เทพธิดาคู่หูหรือ
อาเรียกอดอกให้กับสถานการณ์แปลกประหลาดที่ไม่อาจทำความเข้าใจแล้วส่งสายตาของผู้ตัดสินไปหาบลิสกับลิเป้
สายตาที่บอกว่าหากทั้งสองไม่พูดความจริงจะต้องโดนเธอดุอย่างแน่นอน
“คะ คือ คือว่า…”
บลิสเปิดปากพูดเป็นคนแรก อาจเพราะความเป็นพี่ บลิสจึงกลอกตาวนไปมาแล้วพยายามหาข้ออ้างอย่าง ‘คือว่า เรื่องนี้ มันแบบว่า ความจริงแล้ว’ หรืออะไรทำนองนี้
ทว่าลิเป้ไม่ใช่คนที่จะโยนความรับผิดชอบทั้งหมดให้พี่สาว เธอยกมือขึ้นก่อนจะก้าวออกมาด้านหน้าแล้วยอมรับว่าเป็นความผิดของเธอเอง
“หนูทำเองค่ะ …หนูโกหกเพราะอยากเจอเธอ เธอเมาอยู่หนูเลยคิดเอาว่าเธอคงจะจำอะไรไม่ได้ค่ะ ไม่ใช่ความผิดหรอกนะคะ…”
“ลิเป้…! ไม่ใช่สักหน่อย! ฉันเป็นคนไปแอบมองอยู่หลังเสาก่อนต่างหากล่ะ!”
บลิสสารภาพความผิดของตัวเองออกมาทันทีและห้ามไม่ให้น้องสาวแบกรับทุกอย่างไว้คนเดียว
“อยู่เฉยๆ ไปเถอะ”
และลิเป้ที่รีบเอ่ยห้ามทันทีเช่นกัน สายสัมพันธ์พี่น้องยิ่งลึกซึ้งขึ้นพร้อมกับสถานการณ์แปลกประหลาด
ซึ่งนับเป็นเรื่องที่ดี เพราะพวกเธอมักจะต่อล้อต่อเถียงกันอยู่ตลอดเวลา
แต่ขณะที่อาเรียกำลังจะหลุดขำเพราะรู้สึกเหมือนเธอกำลังดูละครฉากหนึ่งอยู่นั้น
คารินที่เฝ้ามองสถานการณ์มาตลอดก็พูดแรกขึ้นมาสีหน้าจริงจัง
“ถ้าอย่างนั้นนี่ก็ไม่ใช่ความฝันสินะ แล้วพวกเธอเป็นใครกันแน่ หืม อาเรีย”
จากนั้นก็ยกมือกุมขมับราวกับรู้สึกปวดหัว เพราะอาการปวดหัวเธอจึงรู้ว่านี่ไม่ใช่ความฝัน
ตอนนั้นเอง อาเรียถึงเพิ่งรู้ตัวว่าเธอลืมคนที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ไปเสียสนิท เธอไม่อาจลบสีหน้างงงวยออกไปได้เลย
‘จะบอกว่าเป็นลูกที่พ่อซ่อนไว้เหมือนที่เคยเข้าใจผิดครั้งแรกก็ไม่ได้ด้วยสิ’
เพราะหากทำอย่างนั้นคารินคงไม่ใช่แค่ปวดหัวแต่อาจจะเป็นลมไปเลยก็ได้
จะกุเรื่องว่าเป็นญาติก็ไม่ได้อีก
เด็กๆ ทั้งสองหน้าเหมือนเธอและพ่อแท้ๆ ของเธอ ดังนั้นเธอควรบอกว่าเป็นญาติทางฝั่งพ่อ แต่หากทำอย่างนั้นเด็กทั้งสองจะมีศักดินาเป็นชนชั้นสูงและเธอก็ต้องโกหกเพิ่มไปเรื่อยๆ
‘…ทำไมต้องเป็นตอนนี้ด้วยนะ’
สุดท้ายมันก็ไม่มีวิธีอื่นอีกแล้ว หากมีเวลาอีกสักหน่อยเธออาจจะหาวิธีที่ดีได้ แต่สถานการณ์ในตอนนี้นั้นจวนตัวเกินไป
บลิสกับลิเป้ถึงกับพูดอะไรไม่ออกเพราะความเสียดายและรู้สึกผิดที่ถาโถมเข้ามา เมื่อเห็นอาเรียกัดปากขบคิดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
และในระหว่างที่อาเรียกำลังพยายามคิดหาเหตุผลที่สมเหตุสมผลที่สุดอยู่นั้น คารินก็ค่อยๆ ละล่ำละลักถามเธอโดยไม่อาจปกปิดสีหน้าตกอกตกใจเอาไว้ได้
“ยะ อย่า อย่าบอกนะว่า ถึงแม่จะคิดว่าไม่ใช่ก็เถอะ แต่ทั้งหน้า ทั้งสีผมนั่น… อย่าบอกนะว่าเป็นลูกเก็บของสามีลูก—”
“ไม่ใช่ค่ะ!”
อาเรียตัดบทฉับ เธอไม่มีเวลาให้คิดแล้ว
หากนี่คือความทรงจำที่สุดท้ายแล้วก็ต้องเลือนหายไปละก็
อาเรียถอนหายใจยาวแล้วบอกความจริงออกไปด้วยสีหน้าจริงจัง
“ลูกไม่ทราบว่าแม่จะเชื่อหรือไม่ แต่เด็กๆ คือลูกสาวของลูกเองค่ะ …ยิ่งถ้าลูกบอกว่าพวกเธอมาจากอนาคต แม่คงยิ่งไม่เชื่อใช่ไหมคะ”
หืม หืมม หืมมม อย่าบอกนะว่ารู้ทุกอย่างอยู่ก่อนแล้ว…!
เมื่อเธอพูดจบ บลิสที่ยังคงเข้าใจผิดคนเดียวตลอดมาจนกระทั่งถึงเมื่อครู่นี้ก็ทรุดฮวบลงกับพื้นทันที
………….