Dual Cultivation บทที่ 410: ต่อสู้กับสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์

 

“น-นั่นต้องมีอะไรผิดปกติแน่ ข้าต้องฝันไปหรืออะไรบางอย่าง ปกติแล้วต้องเป็นมิมีทางที่บางคนในเขตสัมมาวิญญาณจะปลดปล่อยสำนึกกระบี่ได้” ผู้อาวุโสจงรู้สึกเหมือนกับว่าโลกหมุนเร็วกว่าปกติจนทำให้เขาเวียนหัว

 

ไม่ว่าอย่างไรในฐานะจอมกระบี่ ผู้อาวุโสจงรู้เป็นอย่างดีว่ายากแค่ไหนในการที่จะตีความสำนึกกระบี่ อย่าว่าจะสร้างมันขึ้น ความต้องการนั้นปกติแล้วจะลึกซึ้งเกินสำหรับคนทั่วไปในเขตสัมมาวิญญาณ

 

แม้ว่าซูหยางสามารถสร้างสำนึกกระบี่ได้เช่นกัน แต่เขาก็อยู่ในเขตอัมพรวิญญาณแล้ว ดังนั้นผู้อาวุโสจงจึงไม่รู้สึกแปลกเกินไปแม้ว่าเขาจะอายุยังน้อย ยิ่งไปกว่านั้นใช่ว่าศิษย์เหล่านี้จะมีอาจารย์จากทวีปศักดิ์สิทธิ์กลางมาสั่งสอนพวกเธอ

 

“ข…ข้ายอมแพ้..”

 

แม้ว่าศิษย์สำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์จะมีพลังการฝึกปรือเหนือกว่าอย่างมากต่อจินซี แต่เขาก็ยอมแพ้โดยไม่แม้จะยกกระบี่ขึ้นเมื่อเขาไม่คิดที่จะสู้กับคนที่เชี่ยวชาญสำนึกกระบี่ สิ่งที่กระทั่งผู้อาวุโสสำนักของพวกเขาก็ยังไม่สามารถมีได้

 

“อะไรกัน” ผู้อาวุโสจนมองดูศิษย์ของตนเองด้วยสายตาเบิกกว้าว

 

“ทำไมเจ้าจึงยอมแพ้โดยมิต่อสู้กับเธอ” เขาพลันอบรมศิษย์คนนั้นหลังจากที่กลับมาทันที

 

“พ-เพราะว่าเธอมีสำนึกกระบี่… คนที่สามารถสร้างสำนึกกระบี่เป็นจอมยุทธที่น่าหวาดหวั่นโดยมิต้องคำนึงถึงพลังการฝึกปรือของพวกเขา เพียงแค่ดูสำนึกกระบี่ของเธอ ข้าสามารถบอกได้ว่าเธอเข้าใจกระบี่สูงกว่าข้ามาก ข้ามิอาจเปรียบเทียบเธอได้” ศิษย์คนนั้นส่ายหน้าและอธิบายเหตุผลเบื้องหลังการกระทำของตนเอง

 

“ในอีกความหมายหนึ่งก็คือเจ้ากลัวเธอใช่ไหม” ผู้อาวุโสจงส่ายหน้าและถอนหายใจ “เมื่อมาคิดว่าสำนักของข้าเลี้ยงดูคนขลาดเช่นนี้ ดูเหมือนว่าพวกเราทั้งหมดได้อยู่อย่างสุขสบายมาตลอดในช่วงหลายปีนี้”

 

จากนั้นเขาก็หันไปมองดูศิษย์คนอื่นพร้อมหรี่ตาและพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดว่า “ข้ามิสนว่าพวกเจ้ามิมีโอกาสชนะ พวกเจ้าจักต้องมิยอมแพ้โดยมิได้ต่อสู้และนำความอับอายมาสู่ทั้งสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ ส่วนสำหรับเจ้าผู้ที่ยอมแพ้ ก็ให้เจ้าถือว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายในฐานะศิษย์ของสำนัก”

 

“ท-ท่านเจ้าสำนัก ข-ข้าผิดไปแล้ว” ศิษย์ซึ่งยอมแพ้พลันคุกเข่าลงพร้อมกับสีหน้าสิ้นหวัง

 

ทว่าผู้อาวุโสจงเพียงแค่แค่นเสียงด้วยสีหน้าเย็นชาและกล่าวว่า “มิว่าเจ้าจักมีพรสวรรค์เพียงใด ถ้าเจ้ามิสามารถที่จะแสดงศักดิ์ศรีออกมาได้แม้แต่น้อย ข้ามิต้องการให้เจ้าอยู่ในสำนักของข้าอีกต่อไป ในตอนนี้จงไสหัวไป”

 

“….”

 

ศิษย์คนอื่นต่างพากันเงียบ ในเมื่อพวกเขาไม่ต้องการทำให้ผู้อาวุโสจงโกรธอีกต่อไป

 

“ท่านเจ้าสำนักบางทีอาจจะโกรธที่รุ่นหลังบางคนจากไหนก็ไม่รู้สามารถเข้าใจสำนึกกระบี่ในขณะที่เขาต้องใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตในการทำเช่นนั้น…” เหล่าศิษย์พากันคิดในใจขณะที่พวกเขามองดูผู้อาวุโสจง

 

“ศิษย์หลู… มิใช่แล้ว หลูเฉียน เจ้าเพียงได้แต่โทษตนเองที่เป็นคนขี้ขลาดและนำความอับอายมาสู่สำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์” หนึ่งในเหล่าศิษย์พลันพูดขึ้น

 

“ศ-ศิษย์พี่หญิง เย่… ท่านช่วยข้าหน่อยได้ไหม”

 

“หา ศิษย์พี่หญิงรึ อย่าพยายามทำเหมือนกับว่าพวกเรามีความสัมพันธ์อะไรกันในตอนนี้ หลูเฉียน” หญิงสาวแค่นเสียงเย็นชา “เจ้าได้ทรยศพวกเราทันทีที่เจ้าก้าวลงจากเวทีโดยมิต่อสู้ ถ้ามิใช่คนนับล้านกำลังดูพวกเราอยู่ที่นี่ ข้าคงจักฆ่าเจ้าไปเรียบร้อยแล้ว”

 

“…”

 

“ถ้ายังไงพวกเราค่อยคุยกันในภายหลัง ตอนนี้พวกเราต้องเน้นกับการแข่งขัน” ผู้อาวุโสจงกล่าวกับพวกเขา

 

ไม่นานหลังจากนั้น สำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ก็ส่งศิษย์อีกคนขึ้นไปบนเวที

 

“ในนามของสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ ข้าต้องขออภัยสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ซึ่งมิได้มีผลกระทบใดต่อค่าของสำนักของเรา” ศิษย์คนนั้นกล่าวกับจินซีด้วยท่าทางเยือกเย็น

 

“จริงแล้วข้ามิได้สนใจอะไรในเรื่องนั้น” จินซียักไหล่

 

“ดีแล้ว เช่นนั้นให้ข้าได้สนองการต่อสู้กับเจ้าให้สมอยาก”

 

ศิษย์สำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ยกกระบี่ขึ้น และรังสีที่คล้ายกับศิษย์คนก่อนก็คลุมกายของเขา

 

จินซีดูชายหนุ่มด้วยสีหน้าจริงจัง

 

ต่อจากนั้นจินซีก็หรี่ตาและกระบี่ในมือเธอก็พุ่งเข้าหาชายหนุ่มคนนั้นด้วยความเร็วและความคมกริบที่น่าเหลือเชื่อ

 

“!!!”

 

ชายหนุ่มค่อนข้างประหลาดใจกับการเข้ามาหาของจินซีในทันที แต่เขาก็สามารถที่จะป้องกันการโจมตีด้วยกระบี่ของเธอด้วยวิชากระบี่ของตนเองได้อย่างฉิวเฉียด

 

“ช่างเป็นการโจมตีที่หนักหน่วง” ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าแขนของตนเองค่อนข้างชาเล็กน้อยหลังจากการโจมตีของจินซีซึ่งมีความแข็งแกร่งที่ไม่ควรจะเป็นของคนที่อยู่ในเขตสัมมาวิญญาณ

 

“กุสุมาลย์พ้นพิสัยศิลป์ กลีบดอกพร่างพรม”

 

แต่ทว่าจินซีไม่ได้ปล่อยโอกาสให้ศิษย์คนนั้นได้พักแม้แต่วินาที เธอติดตามด้วยการโจมตีครั้งที่สองในทันที

 

เงาของดอกกลีบดอกไม้นับพันพลันปรากฏขึ้นและรายล้อมศิษย์สำนักกระบี่ศักดิ์สิทธ์ และกลีบดอกแต่ละกลีบแฝงความคมของกระบี่จริง

 

เมื่อโหลวหลานจีเห็นเช่นนั้น ดวงตาของเธอก็เบิกกว้างด้วยความตระหนก และเธอก็พึมพัมกับตนเอง “ทำไมวิชาแค่ระดับมนุษย์จึงสามารถแสดงความแข็งแกร่งได้ถึงขนาดนั้น ในสภาพนี้แน่นอนว่ามันไม่ได้ด้อยไปกว่าแม้กระทั่งวิชาเขตปฐพีวิญญาณ”

 

“ฮ่าาา”

 

ศิษย์สำนักกระบี่ศักดิ์สิทธ์พยายามที่จะฝ่าออกไปจากวิชากระบี่ของจินซี แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามอย่างหนักเพียงใด เขาก็ไม่สามารถที่จะหนีออกไปได้

 

รู้สึกเหมือนกับสัตว์ร้ายที่ถูกกักขัง ศิษย์คนนั้นตัดสินใจที่จะใช้กำลังฝ่าออกไปจากวิชานั้น แต่น่าเสียดายวินาทีที่ร่างของเขาสัมผัสกับกลีบดอกไม้ กลีบดอกไม้ทั้งหมดก็จู่โจมเขาโดยพร้อมเพรียงกัน

 

“อาาาา”

 

ศิษย์สำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์รู้สึกเหมือนกับว่าเขาถูกแทงด้วยกระบี่เล็กๆนับพันภายในเสี้ยววินาที และไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นเขาก็ล้มลงบนพื้นด้วยดวงตาว่างเปล่า

 

“นักสู้ของสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์หมดสติ นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยชนะรอบที่สอง”

 

ผู้ชมพากันส่งเสียงโห่ร้องตะโกนผิวปากหลังจากที่ซื่อตงประกาศ

 

“เกิดอะไรขึ้น ทำไมนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยพลันเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งมากขึ้นอย่างมากโดยมิมีปี่ขลุ่ย”

 

“การเติบโตก้าวกระโดดแบบอสูรนี้มิใช่อะไรที่จักใช้พรสวรรค์ได้เพียงอย่างเดียว นั่นต้องมีอะไรอื่นอีกที่ช่วยพวกเขา”

 

ผู้คนที่นั่นต่างพากันคิดสงสัยว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมีสมบัติที่ท้าทายสวรรค์บางอย่างที่ยอมให้ศิษย์ของพวกเขาเปลี่ยนเป็นเก่งกาจ ในเมื่อนั่นจึงจะสมเหตุผลที่สุดสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นหลักๆนั่น