Dual Cultivation บทที่ 411: สถานการณ์ที่สิ้นหวัง

 

“จินซีเจ้ากลับมาได้แล้ว” ซูหยางกล่าวกับเธอหลังจากที่เธอได้รับชัยชนะ

 

“เอ๋ แต่ข้ายังสามารถที่จะไปต่อได้” เธอมองดูเขาหน้างงงัน

 

“ข้ารู้ว่าเจ้ามีแรงเหลือเฟือ แต่ข้าต้องการให้คนอื่นได้แสดงความแข็งแกร่งของตนเองด้วยเช่นกัน มิว่าอย่างไรนั่นย่อมต้องดูดีสำหรับนิกายถ้าศิษย์ทุกคนมีความสามารถเท่าเทียมกันใช่ไหม สุดท้ายเป้าหมายของพวกเราในการแข่งขันระดับภูมิภาคนี้ก็คือแสดงให้โลกเห็นว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยใหม่สามารถทำอะไรได้บ้าง”

 

จินซีพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว”

 

“ข้าจักกลับไปที่ม้านั่ง” จินซีกล่าวกับซื่อตงก่อนที่จะเดินออกไปจากเวที

 

ในเวลานั้นผู้ชมต่างพากันงงงันกับการกระทำของจินซี

 

“ทำไมเธอพลันลงจากเวทีไป สำหรับข้าแล้วเธอยังดูมีพลังอีกเหลือเฟือ”

 

“แม้ว่าเธออาจจะดูดีด้านนอก เจ้าเข้าใจหรือไม่ว่ามันจักส่งผลต่อร่างกายอย่างไรเมื่อต้องใช้สำนึกกระบี่ เธอบางทีอาจจะหมดแรงภายในหลังจากการโจมตีก่อนหน้านี้”

 

ไม่นานหลังจากนั้นศิษย์อีกคนจากแต่ละฝ่ายก็ก้าวขึ้นมาบนเวที

 

แน่นอนว่าก่อนที่ศิษย์นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจะก้าวขึ้นไปบนเวที ซูหยางก็ได้แตะที่หน้าผากของเธอเบาๆเช่นกัน

 

“เจ้าพร้อมแล้วหรือไม่” ซื่อตงถามพวกเขาหลังจากนั้นชั่วขณะ

 

ทั้งคู่พยักหน้า

 

“ฮ่า”

 

ศิษย์สำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์พลันปลดปล่อยสำนึกกระบี่ปลอมและพุ่งเข้าหาเด็กสาวตรงหน้าตนเอง

 

แต่ทว่าศิษย์สำนักนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ปลดปล่อยสำนึกกระบี่ของเธอเช่นกันและทำการป้องกันตนจากการโจมตี

 

“อะไรกัน นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมีจอมกระบี่อื่นอีกรึ”

 

คนหลายคนในหมู่ผู้ชมพากันยืนขึ้นด้วยความตระหนก เมื่อพวกเขาไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่พวกเขาเห็น

 

“เป็นไปไม่ได้” ผู้อาวุโสจงอุทาน “พวกเขามีจอมกระบี่มากกว่าหนึ่งคนได้อย่างไร”

 

“นี่เป็นเรื่องเหนือความคาดคิดจริงๆ…” เจ้าซีลูบปลายคางด้วยความสนใจเป็นอย่างยิ่ง นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยฝึกจอมกระบี่ขึ้นมามากมายได้อย่างไร

 

ในขณะที่ผู้ชมต่างพากันตกตะลึงจนพูดไม่ออกกับการปรากฏตัวของจอมกระบี่คนที่สอง ศิษย์ที่อยู่บนเวทีก็ได้ต่อสู้กันเป็นเวลาสองสามนาทีก่อนที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจะได้รักษาชัยชนะของตนเองเอาไว้เป็นรอบที่สาม

 

“ยอดเยี่ยมมาก พี่เหมย”

 

ศิษย์นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยต่างพากันชื่นชมเธอขณะที่กลับมาด้วยสีหน้าเหนียมอาย

 

“นั่นทำให้ประสาท…” ศิษย์เหมยพูด “ข้ามิเคยจินตนาการว่าจักมีสักวันที่ข้าสามารถเอาชนะอัจฉริยะจากสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ที่มีชื่อเสียงได้”

 

ต่อจากนั้น นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ส่งนักสู้คนใหม่ออกไป

 

แน่นอนว่าศิษย์คนนี้ก็มีความสามารถในการสร้างสำนึกกระบี่เช่นกัน

 

“โอเทพเจ้า นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมีจอมกระบี่สามคนจริงๆ”

 

“โลกนี้เพี้ยนไปแล้ว ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่จอมกระบี่กลายเป็นเรื่องปกติ”

 

“เรื่องปกติตูดสิ มีจอมกระบี่ไม่ถึงสิบคนในโลกนี้”

 

“ถ้าคนรุ่นหลังเหล่านี้สามารถกลายเป็นจอมกระบี่ได้ ข้าก็มิอยากเชื่อว่าข้ามิสามารถทำได้เช่นกัน”

 

ผู้ชมต่างพากันส่งเสียงอึกทึกกับสถานการณ์นี้

 

ส่วนสำหรับผู้อาวุโสจง เขามีสีหน้าเหมือนกับคนที่ไม่ได้นอนมาทั้งอาทิตย์และตกอยู่ในสภาพหลอน

 

“เป็นไปไม่ได้… นี่เป็นไปไม่ได้  พวกเขาต้องมีเคล็ดลับอะไรบางอย่างที่ยอมให้พวกเธอสร้างสำนึกกระบี่ได้ ข้าจักมิเชื่อว่าวัยรุ่นพวกนี้สามารถกลายเป็นจอมกระบี่ได้ในช่วงเวลาสั้นๆ” ผู้อาวุโสจงพึมพัมกับตนเองไม่รู้จบเหมือนกับคนแก่บ้า

 

สองสามนาทีหลังจากนั้น นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็รับชัยชนะอีกครั้ง

 

“พระเจ้าช่วย นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเอาชนะสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ที่ไร้เทียมทานสี่ต่อศูนย์ นี่เป็นประวัติการณ์”

 

ในที่สุดไป่ลี่ฮัวก็เข้าใจว่าทำไมนิกายดอกบัวเพลิงจึงตกลงที่จะร่วมเป็นพันธมิตรกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย

 

แน่นอนว่าจริงแล้วนิกายดอกบัวเพลิงก็คิดไม่ถึงกับความแข็งแกร่งที่เกินคาดของพวกเธอและตกตะลึงเช่นเดียวกับคนอื่นในที่แห่งนั้น

 

“ผู้อาวุโสหวัง… หรือว่านี่เป็นเหตุผลที่ท่านต้องการให้พวกเราร่วมเป็นพันธมิตรกับพวกเขาอย่างมากแบบนั้น เพราะว่าท่านรู้ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของพวกเขามาโดยตลอด”

 

ผู้นำนิกายดอกบัวเพลิงถามเธอด้วยเสียงสับสน

 

หวังชูเหรินแสดงรอยยิ้มขื่นขมและส่ายหน้า “ไม่… ข้าก็มิคิดว่าพวกเขาจะแข่งแกร่งถึงปานนี้เช่นกัน”

 

เมื่อเวลาผ่านไป นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ส่งนักสู้คนใหม่ทุกการแข่งขัน และตามที่ผู้คนได้คาดไว้ พวกเธอทั้งหมดสามารถสร้างสำนึกกระบี่ได้

 

“ข้าเคยได้ยินคำร่ำลือเกี่ยวกับเขาใช้สำนึกกระบี่ระหว่างที่เขาต่อสู้กับศิษย์นอกคนอื่น ซึ่งข้าได้เพิกเฉยไปในทันทีในเมื่อเป็นอะไรที่เป็นไปไม่ได้กับสิ่งผู้อาวุโสนั่นได้เห็น แต่อนิจจา…” ผู้อาวุโสซุนมองดูซูหยางด้วยดวงตาเบิกกว้าง

 

“น-นี่เป็นสิ่งที่บ้าเกินไปแล้ว ศิษย์ทุกคนจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเป็นจอมกระบี่รึ” ความสนใจของเจ้าซีเปลี่ยนไปเป็นตื่นตระหนกมานานแล้ว

 

“อย่างไรก็ตามนี่ก็ยืนยันความสงสัยของข้า ตอนนี้ข้ามั่นใจว่ามีอาจารย์จากทวีปศักดิ์สิทธิ์กลางคอยช่วยเหลือนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอยู่เบื้องหลัง แม้ว่าข้ามิรู้ว่าทำไมผู้อาวุโสท่านนี้จึงช่วยเหลือพวกเขา แต่ข้าก็จะหาวิธีพูดกับเขา”

 

เจ้าซีคิดว่าถ้าเขาสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับจอมยุทธที่ไม่มีใครรู้คนนี้ได้ ตระกูลซีอาจจะได้ความรู้เกี่ยวกับทวีปศักดิ์สิทธิ์กลางและบางทีได้ประสบการณ์จากจอมยุทธคนนี้บางอย่างด้วย ซึ่งย่อมต้องมีค่ามากกว่าสมบัติใดๆที่เขามีอยู่ในตอนนี้

 

ในเวลานั้นฝั่งของสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ ศิษย์ทุกคนล้วนมีสีหน้าเคร่งเครียด

 

“ตอนนี้พวกเราแพ้เจ็ดชนะศูนย์ และที่ทำให้สถานการณ์แย่ยิ่งกว่านี้ก็คือ ฟางซีหลานและซุนจิงจิงยังมิได้ขึ้นมาต่อสู้ นี่เป็นครั้งแรกที่ข้ารู้สึกสิ้นหวังเช่นนี้” หนึ่งในศิษย์ของพวกเขากล่าวเสียงเบา

 

“…”

 

“เฮ้อ….”

 

หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ ผู้อาวุโสจงก็ถอนหายใจลึก แม้ว่าเขาจะรู้อยู่แล้วว่าพวกเขาไม่ชนะการแข่งขันนี้ แต่เขาก็ไม่คิดว่าจะได้รับความสูญเสียอย่างหนักทั้งที่ยังไม่ได้สู้กับซูหยาง

 

“เมื่อมาคิดว่าความเหลื่อมล้ำระหว่างเราจะมีมากมายปานนี้ เขาทำให้ข้ากลายเป็นคนโง่” ผู้อาวุโสจงมองดูซูหยางด้วยสีหน้าพ่ายแพ้

 

แต่ทว่าเขาไม่ปรารถนาที่จะยอมแพ้กระทั่งในเวลาแบบนี้และกล่าวว่า “แม้ว่าเราอาจจะมิชนะในครั้งนี้ เราจักมิยอมพ่ายแพ้โดยมิได้ต่อสู้ ถ้าเราจักต้องพ่ายแพ้ อย่างน้อยเราต้องพ่ายแพ้อย่างสมศักดิ์ศรี”