ตอนที่ 13-2 ผู้หญิงของเขาคนนั้น

ซ่อนรักเคียงบัลลังก์

“เพคะ? อืม พระองค์ทรงเป็นพระชายาฮวางเซจามิใช่หรือเพคะ เพราะฉะนั้นหม่อมฉันจึงเรียกว่า ‘ชายา’ อย่างไรเล่า” 

 

 

ว่าแล้ว 

 

 

ยอมินพยักหน้า พร้อมเอ่ยต่อว่า 

 

 

“พระชายาฮวางแทจาเพคะ ทรงทราบหรือไม่เพคะว่าพระราชวังมกกุกแห่งนี้มีความซับซ้อนกว่าวังฮวากุกที่เป็นบ้านเกิดของพระองค์มากนัก”  

 

 

ยอมินกลัวว่าตนนั้นจะกระทำข้ามเส้นไปจึงได้เอ่ยอธิบายอย่างระมัดระวัง กโยซึลไม่ได้มีท่าทางอันใดพร้อมกับพยักหน้าอย่างง่ายดาย 

 

 

“เพราะฉะนั้นที่มกกุก แม้แต่คำเรียกพระองค์ก็ต้องทรงระมัดระวังด้วยเพคะ ที่พระราชวังแห่งนี้มี ‘ชายา’ อยู่หลายพระองค์นัก หากทรงเรียก ‘ชายา’ เฉยๆ คงไม่รู้ว่ากำลังเอ่ยถึงใครอยู่ จริงหรือไม่เพคะ ไม่สามารถรู้ได้ว่า ‘ชายา’ องค์นั้นเป็นหม่อมฉันที่นั่งอยู่ตรงนี้ หรือองค์ฮวังบี[1] หรือพระชายาแทจา หรือพระชายาเซจา เพราะฉะนั้นทรงต้องเรียกขานให้ชัดเจนเพคะ” 

 

 

“อย่างนั้นหรือเพคะ หม่อมฉันไม่ทันคิดถึงเรื่องนั้นเลย” 

 

 

กโยซึลตระหนก พร้อมกับพยักหน้าเข้าใจ 

 

 

“อีกอย่าง…” 

 

 

ยอมินเอ่ยต่อ ถึงตอนนี้นางตั้งใจจะพูดถึงเรื่องที่รบกวนใจนางมากที่สุด หัวใจของนางเจ็บแปล๊บขึ้นมาอีกครั้ง แต่ทว่าเมื่อได้พูดถึงเรื่องคำเรียกนี้ขึ้นมาแล้ว จุดประสงค์ที่นางมาในวันนี้คงจะคลี่คลายได้อย่างง่ายดาย  

 

 

“ระหว่างเชื้อพระวงศ์นั้น เมื่อต้องการเรียกขานกันอย่างสนิทสนม พระชายาฮวางเซจานั้นย่อมเรียกว่าชายาฮวางเซจา พระชายาเซจานั้นย่อมเรียกว่าชายาเซจาเพคะ” 

 

 

“เช่นนั้นพระชายาฮวางแทจาคงต้องเรียกว่าชายาฮวางแทจาใช่หรือไม่เพคะ” 

 

 

“ถูกต้องแล้วเพคะ” 

 

 

กโยซึลตอบออกไปราวกับลูกศิษย์ที่ตอบคำถามอาจารย์ ดังนั้นยอมินเองจึงตอบกลับไปอย่างอ่อนโยนราวกับอาจารย์ตอบลูกศิษย์เช่นเดียวกัน 

 

 

“แล้วก็สามีจะเรียกชายาของตนอย่างสนิทสนมว่า ‘ชายา’ เพคะ อ้อ ฝ่าพระบาทฮวางแทจาทรงมีพระชายารองฮวางแทจาด้วย เพราะฉะนั้นก็จะทรงเรียกนางว่า ‘ชายารอง’ เพคะ” 

 

 

กโยซึลพยักหน้ารับอีกครั้ง จะว่าไปแล้วพีบาอันเองก็เรียกตนเองว่า ‘ชายา’ เช่นกัน ในตอนแรกตนคิดว่าที่ฮวากุกเรียกกันแบบนี้เป็นปกติเลยไม่ติดใจอะไร แท้จริงแล้วเป็นการเรียกชายาของตนอย่างสนิทสนมนี่เอง 

 

 

‘ฝ่าพระบาท… คงจะสนิทใจกับเราแล้วเล็กน้อยกระมัง’ 

 

 

กโยซึลคิดว่าตนเองอาจเกรงกลัวบีพาอันมากเกินไปก็รู้สึกขัดเขินขึ้นมา และคิดขึ้นมาได้ว่าเขาเองก็คงจะทำเพื่อนางและให้เกียรตินางในแบบของเขาเช่นกัน  

 

 

“แล้วมีคำเรียกใดที่ต้องระวังอีกหรือไม่เพคะ” 

 

 

“อืม หม่อมฉันมิทราบว่าพระองค์ทรงทราบหรือไม่ แต่ว่าทรงสังเกตุหรือไม่เพคะว่าทุกคนเรียกฝ่าพระบาทฮวางแทจาและ ฝ่าพระบาทแทจาว่าฝ่าพระบาท เพราะฉะนั้นจะทรงเรียกขานทั้งสองพระองค์แค่  

 

 

‘ฝ่าพระบาท’ เฉยๆ มิได้ ส่วนฝ่าบาทฮวางเซจา และฝ่าบาทเซจาทั้งสองพระองค์เป็นฝ่าบาทเหมือนกัน จะทรงเรียกแค่ ‘ฝ่าบาท’ เฉยๆ มิได้เช่นกันเพคะ” 

 

 

“ที่ฮวากุกพวกเราเรียกขานกันเพียงแค่ฝ่าพระบาทและฝ่าบาท หากหม่อมฉันเรียกเช่นนั้นไปอาจจะถูกตำหนิได้ว่าไม่มีมารยาทสินะเพคะ” 

 

 

กโยซึลเอามือทาบอกคล้ายจะโล่งใจและถอยหายใจออกมา โล่งอกไปทีที่ยังไม่ได้เจอคนอื่น หากเป็นก่อนหน้านี้คงจะเรียกทุกคนว่าฝ่าพระบาท ฝ่าบาทเฉยๆเป็นแน่ ในเมื่อรู้แล้วก็ต้องระมัดระวังให้มาก 

 

 

นี่สินะจักรวรรดิ เพียงแค่คำเรียกเล็กน้อยพวกนี้ก็ยังต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ 

 

 

“อีกอย่าง ที่พระราชวังมีฮวังบีอยู่สองพระองค์ ทรงต้องเรียกทั้งคู่ว่า ‘ฮวังบี เย’ และ ‘ฮวังบี ซู’ เพคะ และยังมีสนมขององค์จักรพรรดิที่ได้รับการแต่งตั้งอยู่ด้วยสามคน เวลาเรียกขานไม่ต้องเรียก ‘พระ’ นำหน้าก็ได้ เพียงใช้คำสุภาพเป็นพอเพคะ เช่น สนมซา สนมเจยง สนมยู แต่ข้อควรระวังพวกนี้ซังกุงฝ่ายอบรมมิได้แจ้งให้ทรงทราบหรือเพคะ” 

 

 

หลังจากที่อธิบายอย่างขยันขันแข็ง ยอมินก็ได้เอ่ยถามกับกโยซึลขึ้น เมื่อครั้งที่ตนเข้ามาที่ราชสำนักเป็นครั้งแรก ตนเองก็ได้รับการอบรมเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ภายในวังจากซังกุงฝ่ายอบรมทั้งหมดเช่นกัน เพราะฉะนั้นเรื่องพวกนี้จึงเป็นสิ่งที่กโยซึลควรจะรู้อยู่แล้ว กโยซึลใบหน้าขึ้นสีหลังจากได้ฟังคำถามของยอมิน 

 

 

“คือว่า ที่ผ่านมาหม่อมฉันมัวแต่กังวลเรื่องการปรับตัวในต่างแดน…” 

 

 

ในตอนแรกกโยซึลที่มาจากต่างแดนให้ความสำคัญกับการปรับตัวกับบรรยากาศภายในวังเป็นอย่างแรกจึงไม่ได้มีการจัดตารางการอบรมกับซังกุงฝ่ายอบรม เมื่อเวลาผ่านไปจนถึงช่วงเวลาที่ควรจะเข้ารับการอบรม กโยซึลก็เอาแต่ไปเที่ยวเล่นที่สวนหลังวังฝ่ายนอกทุกวันเอาการอบรมไว้ทีหลัง เพราะพระชายาฮวางแทจาไม่อยู่ที่ตำหนักทุกวัน เหล่าแขกที่มาเยี่ยมเยียนเมื่อเจ้าของไม่อยู่ก็พากันกลับไปไม่น้อย จนกระทั่งถึงตอนที่หมอหลวงสั่งให้พักผ่อนจนกว่าจะหายดีตนเองก็ไม่ได้รับการอบรมเลย 

 

 

“ช่วงนี้หม่อมฉันนอนอยู่แต่บนเตียง… จึงมิได้รับการอบรมเท่าใดเพคะ” 

 

 

“ตายแล้ว ทรงมีโรคประจำตัวหรือเพคะ” 

 

 

“เปล่าเพคะ มิใช่อย่างนั้น…” 

 

 

เสียงที่ตอบออกไปสั่นไหวในตอนท้าย กโยซึลกลับไปเหม่อลอยอีกครั้ง ควรจะตอบไปว่าอย่างไรดีนะ จะบอกไปได้อย่างไรว่าตนเองเจ็บป่วยเพราะ ‘เขา’ ต่อหน้าชายาของ ‘เขา’ จะบอกไปได้อย่างไรว่าตนเองเจ็บป่วยเพราะความรู้สึกขอบคุณที่มีต่อ ‘เขา’ ที่ช่วยปลอบโยนตนในขณะที่หวาดหวั่นต่อฮวางแทจาผู้แสนเย็นชาผู้นั้นมันมากล้น 

 

 

หลังจากที่กโยซึลเงียบไป ใบหน้าของยอมินที่ยิ้มแย้มให้กับกโยซึลก็หุบลง เป้าหมายของการมาเยือนวังตะวันออกที่เผลอหลงลืมไปชั่วครู่ผุดขึ้นมาอีกครั้ง 

 

 

“หรือว่าทรงประชวรเพราะผู้ใดหรือเพคะ” 

 

 

ใบหน้าที่มีเลือดฝาดของกโยซึลพลันซีดเผือดลง และสิ่งนั้นย่อมอยู่ในสายตาของยอมิน ใบหน้ายิ้มแย้มนั้นเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นและจ้องมองไปที่กโยซึล 

 

 

“มิทราบว่าทรงประชวรเพราะ ‘ผู้ใด’ กันเพคะ ทรงเป็นไข้หวัด หรือว่าทรงเป็น ‘ไข้ใจ’ กันเพคะ” 

 

 

“พระชายาฮวางเซจา” 

 

 

กโยซึลสั่นไปทั้งตัวหลังจากถูกยอมินต้อนจนจนมุม แม่นมที่ยืนเงียบอยู่ข้างกายมาตลอดจึงพูดแทรกขึ้นมา 

 

 

“เป็นเพียงนางกำนัลกล้าดีอย่างไรเข้ามาขัด! พระชายาทั้งสองกำลังสนทนากันอย่างสนุกสนาน เหตุใดจึงทำตัวไร้มารยาทเช่นนี้!” 

 

 

ยอมินตวาดออกไปโดยไม่หันหน้าไปหาแม่นมเลยสักนิด แม่นมที่เข้ามาแทรกจึงทำได้เพียงปิดปากเงียบและก้มหัวถอยหลังกลับไป มือของแม่นมกำเข้าหากันแน่น หลังจากนั้นยอมินก็เอ่ยกับกโยซึลด้วยน้ำเสียงหวานอีกครั้ง 

 

 

“ตรัสตอบหม่อมฉันสิเพคะ พระชายาฮวางแทจา เหตุใดจึงได้ล้มประชวร” 

 

 

น้ำเสียงที่แกล้งทำเป็นอ่อนโยนถูกเปล่งออกมาจากปากของยอมิน หัวใจของกโยซึลตอนนี้เต้นแรงนัก 

 

 

“หม่อม หม่อมฉัน…” 

 

 

ยอมินจ้องมองอย่างรอคอยคำตอบโดยไม่พูดอะไร 

 

 

“หม่อมฉัน…” 

 

 

สีหน้าของกโยซึลนั้นเหยเกราวกับกำลังจะร้องไห้ แต่ยอมินก็มิได้นำพา ยังคงเร่งรัดกโยซึลต่อไป 

 

 

“ตรัสมาเถิดเพคะ” 

 

 

“หม่อมฉัน” 

 

 

กโยซึลที่นัยน์ตาคลอไปด้วยน้ำตาหลับตาลง พลันไข่มุกสองเม็ดก็ร่วงหล่นลงบนผ้าแพรไหม 

 

 

“ฮวาง ฮวาง…” 

 

 

อย่างนั้นสิ ฮวาง! เอ่ยออกมาเลยว่าฮวางเซจา เอ่ยออกมา! 

 

 

ยอมินกำมือแน่น 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

[1] ฮวังบี ชายารองของจักรพรรดิ