“เพคะ? อืม พระองค์ทรงเป็นพระชายาฮวางเซจามิใช่หรือเพคะ เพราะฉะนั้นหม่อมฉันจึงเรียกว่า ‘ชายา’ อย่างไรเล่า”
ว่าแล้ว
ยอมินพยักหน้า พร้อมเอ่ยต่อว่า
“พระชายาฮวางแทจาเพคะ ทรงทราบหรือไม่เพคะว่าพระราชวังมกกุกแห่งนี้มีความซับซ้อนกว่าวังฮวากุกที่เป็นบ้านเกิดของพระองค์มากนัก”
ยอมินกลัวว่าตนนั้นจะกระทำข้ามเส้นไปจึงได้เอ่ยอธิบายอย่างระมัดระวัง กโยซึลไม่ได้มีท่าทางอันใดพร้อมกับพยักหน้าอย่างง่ายดาย
“เพราะฉะนั้นที่มกกุก แม้แต่คำเรียกพระองค์ก็ต้องทรงระมัดระวังด้วยเพคะ ที่พระราชวังแห่งนี้มี ‘ชายา’ อยู่หลายพระองค์นัก หากทรงเรียก ‘ชายา’ เฉยๆ คงไม่รู้ว่ากำลังเอ่ยถึงใครอยู่ จริงหรือไม่เพคะ ไม่สามารถรู้ได้ว่า ‘ชายา’ องค์นั้นเป็นหม่อมฉันที่นั่งอยู่ตรงนี้ หรือองค์ฮวังบี[1] หรือพระชายาแทจา หรือพระชายาเซจา เพราะฉะนั้นทรงต้องเรียกขานให้ชัดเจนเพคะ”
“อย่างนั้นหรือเพคะ หม่อมฉันไม่ทันคิดถึงเรื่องนั้นเลย”
กโยซึลตระหนก พร้อมกับพยักหน้าเข้าใจ
“อีกอย่าง…”
ยอมินเอ่ยต่อ ถึงตอนนี้นางตั้งใจจะพูดถึงเรื่องที่รบกวนใจนางมากที่สุด หัวใจของนางเจ็บแปล๊บขึ้นมาอีกครั้ง แต่ทว่าเมื่อได้พูดถึงเรื่องคำเรียกนี้ขึ้นมาแล้ว จุดประสงค์ที่นางมาในวันนี้คงจะคลี่คลายได้อย่างง่ายดาย
“ระหว่างเชื้อพระวงศ์นั้น เมื่อต้องการเรียกขานกันอย่างสนิทสนม พระชายาฮวางเซจานั้นย่อมเรียกว่าชายาฮวางเซจา พระชายาเซจานั้นย่อมเรียกว่าชายาเซจาเพคะ”
“เช่นนั้นพระชายาฮวางแทจาคงต้องเรียกว่าชายาฮวางแทจาใช่หรือไม่เพคะ”
“ถูกต้องแล้วเพคะ”
กโยซึลตอบออกไปราวกับลูกศิษย์ที่ตอบคำถามอาจารย์ ดังนั้นยอมินเองจึงตอบกลับไปอย่างอ่อนโยนราวกับอาจารย์ตอบลูกศิษย์เช่นเดียวกัน
“แล้วก็สามีจะเรียกชายาของตนอย่างสนิทสนมว่า ‘ชายา’ เพคะ อ้อ ฝ่าพระบาทฮวางแทจาทรงมีพระชายารองฮวางแทจาด้วย เพราะฉะนั้นก็จะทรงเรียกนางว่า ‘ชายารอง’ เพคะ”
กโยซึลพยักหน้ารับอีกครั้ง จะว่าไปแล้วพีบาอันเองก็เรียกตนเองว่า ‘ชายา’ เช่นกัน ในตอนแรกตนคิดว่าที่ฮวากุกเรียกกันแบบนี้เป็นปกติเลยไม่ติดใจอะไร แท้จริงแล้วเป็นการเรียกชายาของตนอย่างสนิทสนมนี่เอง
‘ฝ่าพระบาท… คงจะสนิทใจกับเราแล้วเล็กน้อยกระมัง’
กโยซึลคิดว่าตนเองอาจเกรงกลัวบีพาอันมากเกินไปก็รู้สึกขัดเขินขึ้นมา และคิดขึ้นมาได้ว่าเขาเองก็คงจะทำเพื่อนางและให้เกียรตินางในแบบของเขาเช่นกัน
“แล้วมีคำเรียกใดที่ต้องระวังอีกหรือไม่เพคะ”
“อืม หม่อมฉันมิทราบว่าพระองค์ทรงทราบหรือไม่ แต่ว่าทรงสังเกตุหรือไม่เพคะว่าทุกคนเรียกฝ่าพระบาทฮวางแทจาและ ฝ่าพระบาทแทจาว่าฝ่าพระบาท เพราะฉะนั้นจะทรงเรียกขานทั้งสองพระองค์แค่
‘ฝ่าพระบาท’ เฉยๆ มิได้ ส่วนฝ่าบาทฮวางเซจา และฝ่าบาทเซจาทั้งสองพระองค์เป็นฝ่าบาทเหมือนกัน จะทรงเรียกแค่ ‘ฝ่าบาท’ เฉยๆ มิได้เช่นกันเพคะ”
“ที่ฮวากุกพวกเราเรียกขานกันเพียงแค่ฝ่าพระบาทและฝ่าบาท หากหม่อมฉันเรียกเช่นนั้นไปอาจจะถูกตำหนิได้ว่าไม่มีมารยาทสินะเพคะ”
กโยซึลเอามือทาบอกคล้ายจะโล่งใจและถอยหายใจออกมา โล่งอกไปทีที่ยังไม่ได้เจอคนอื่น หากเป็นก่อนหน้านี้คงจะเรียกทุกคนว่าฝ่าพระบาท ฝ่าบาทเฉยๆเป็นแน่ ในเมื่อรู้แล้วก็ต้องระมัดระวังให้มาก
นี่สินะจักรวรรดิ เพียงแค่คำเรียกเล็กน้อยพวกนี้ก็ยังต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
“อีกอย่าง ที่พระราชวังมีฮวังบีอยู่สองพระองค์ ทรงต้องเรียกทั้งคู่ว่า ‘ฮวังบี เย’ และ ‘ฮวังบี ซู’ เพคะ และยังมีสนมขององค์จักรพรรดิที่ได้รับการแต่งตั้งอยู่ด้วยสามคน เวลาเรียกขานไม่ต้องเรียก ‘พระ’ นำหน้าก็ได้ เพียงใช้คำสุภาพเป็นพอเพคะ เช่น สนมซา สนมเจยง สนมยู แต่ข้อควรระวังพวกนี้ซังกุงฝ่ายอบรมมิได้แจ้งให้ทรงทราบหรือเพคะ”
หลังจากที่อธิบายอย่างขยันขันแข็ง ยอมินก็ได้เอ่ยถามกับกโยซึลขึ้น เมื่อครั้งที่ตนเข้ามาที่ราชสำนักเป็นครั้งแรก ตนเองก็ได้รับการอบรมเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ภายในวังจากซังกุงฝ่ายอบรมทั้งหมดเช่นกัน เพราะฉะนั้นเรื่องพวกนี้จึงเป็นสิ่งที่กโยซึลควรจะรู้อยู่แล้ว กโยซึลใบหน้าขึ้นสีหลังจากได้ฟังคำถามของยอมิน
“คือว่า ที่ผ่านมาหม่อมฉันมัวแต่กังวลเรื่องการปรับตัวในต่างแดน…”
ในตอนแรกกโยซึลที่มาจากต่างแดนให้ความสำคัญกับการปรับตัวกับบรรยากาศภายในวังเป็นอย่างแรกจึงไม่ได้มีการจัดตารางการอบรมกับซังกุงฝ่ายอบรม เมื่อเวลาผ่านไปจนถึงช่วงเวลาที่ควรจะเข้ารับการอบรม กโยซึลก็เอาแต่ไปเที่ยวเล่นที่สวนหลังวังฝ่ายนอกทุกวันเอาการอบรมไว้ทีหลัง เพราะพระชายาฮวางแทจาไม่อยู่ที่ตำหนักทุกวัน เหล่าแขกที่มาเยี่ยมเยียนเมื่อเจ้าของไม่อยู่ก็พากันกลับไปไม่น้อย จนกระทั่งถึงตอนที่หมอหลวงสั่งให้พักผ่อนจนกว่าจะหายดีตนเองก็ไม่ได้รับการอบรมเลย
“ช่วงนี้หม่อมฉันนอนอยู่แต่บนเตียง… จึงมิได้รับการอบรมเท่าใดเพคะ”
“ตายแล้ว ทรงมีโรคประจำตัวหรือเพคะ”
“เปล่าเพคะ มิใช่อย่างนั้น…”
เสียงที่ตอบออกไปสั่นไหวในตอนท้าย กโยซึลกลับไปเหม่อลอยอีกครั้ง ควรจะตอบไปว่าอย่างไรดีนะ จะบอกไปได้อย่างไรว่าตนเองเจ็บป่วยเพราะ ‘เขา’ ต่อหน้าชายาของ ‘เขา’ จะบอกไปได้อย่างไรว่าตนเองเจ็บป่วยเพราะความรู้สึกขอบคุณที่มีต่อ ‘เขา’ ที่ช่วยปลอบโยนตนในขณะที่หวาดหวั่นต่อฮวางแทจาผู้แสนเย็นชาผู้นั้นมันมากล้น
หลังจากที่กโยซึลเงียบไป ใบหน้าของยอมินที่ยิ้มแย้มให้กับกโยซึลก็หุบลง เป้าหมายของการมาเยือนวังตะวันออกที่เผลอหลงลืมไปชั่วครู่ผุดขึ้นมาอีกครั้ง
“หรือว่าทรงประชวรเพราะผู้ใดหรือเพคะ”
ใบหน้าที่มีเลือดฝาดของกโยซึลพลันซีดเผือดลง และสิ่งนั้นย่อมอยู่ในสายตาของยอมิน ใบหน้ายิ้มแย้มนั้นเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นและจ้องมองไปที่กโยซึล
“มิทราบว่าทรงประชวรเพราะ ‘ผู้ใด’ กันเพคะ ทรงเป็นไข้หวัด หรือว่าทรงเป็น ‘ไข้ใจ’ กันเพคะ”
“พระชายาฮวางเซจา”
กโยซึลสั่นไปทั้งตัวหลังจากถูกยอมินต้อนจนจนมุม แม่นมที่ยืนเงียบอยู่ข้างกายมาตลอดจึงพูดแทรกขึ้นมา
“เป็นเพียงนางกำนัลกล้าดีอย่างไรเข้ามาขัด! พระชายาทั้งสองกำลังสนทนากันอย่างสนุกสนาน เหตุใดจึงทำตัวไร้มารยาทเช่นนี้!”
ยอมินตวาดออกไปโดยไม่หันหน้าไปหาแม่นมเลยสักนิด แม่นมที่เข้ามาแทรกจึงทำได้เพียงปิดปากเงียบและก้มหัวถอยหลังกลับไป มือของแม่นมกำเข้าหากันแน่น หลังจากนั้นยอมินก็เอ่ยกับกโยซึลด้วยน้ำเสียงหวานอีกครั้ง
“ตรัสตอบหม่อมฉันสิเพคะ พระชายาฮวางแทจา เหตุใดจึงได้ล้มประชวร”
น้ำเสียงที่แกล้งทำเป็นอ่อนโยนถูกเปล่งออกมาจากปากของยอมิน หัวใจของกโยซึลตอนนี้เต้นแรงนัก
“หม่อม หม่อมฉัน…”
ยอมินจ้องมองอย่างรอคอยคำตอบโดยไม่พูดอะไร
“หม่อมฉัน…”
สีหน้าของกโยซึลนั้นเหยเกราวกับกำลังจะร้องไห้ แต่ยอมินก็มิได้นำพา ยังคงเร่งรัดกโยซึลต่อไป
“ตรัสมาเถิดเพคะ”
“หม่อมฉัน”
กโยซึลที่นัยน์ตาคลอไปด้วยน้ำตาหลับตาลง พลันไข่มุกสองเม็ดก็ร่วงหล่นลงบนผ้าแพรไหม
“ฮวาง ฮวาง…”
อย่างนั้นสิ ฮวาง! เอ่ยออกมาเลยว่าฮวางเซจา เอ่ยออกมา!
ยอมินกำมือแน่น
——
[1] ฮวังบี ชายารองของจักรพรรดิ