ตอนที่ 14-1 คำโกหก

ซ่อนรักเคียงบัลลังก์

ยอมินเกลี้ยกล่อมกโยซึลด้วยน้ำเสียงหวาน 

 

 

“ตรัสมาเถิดเพคะ พระชายาฮวางแทจา เหตุใดจึงได้ทรงประชวรหรือเพคะ” 

 

 

น้ำเสียงที่แกล้งทำเป็นอ่อนโยนถูกเปล่งออกมาจากปากของยอมิน หัวใจของกโยซึลตอนนี้เต้นแรงนัก 

 

 

“หม่อม หม่อมฉัน…” 

 

 

ยอมินจ้องมองอย่างรอคอยคำตอบโดยไม่พูดอะไร 

 

 

“หม่อมฉัน…” 

 

 

สีหน้าของกโยซึลนั้นเหยเกราวกับจะร้องไห้ แต่ยอมินก็มิได้นำพา ยังคงเร่งรัดกโยซึลต่อไป 

 

 

“ตรัสมาเถิดเพคะ” 

 

 

“หม่อมฉัน” 

 

 

กโยซึลที่นัยน์ตาคลอไปด้วยน้ำตาหลับตาลง พลันไข่มุกสองเม็ดก็ร่วงหล่นลงใบผ้าแพรไหม 

 

 

“ฮวาง ฮวาง…” 

 

 

ทันทีที่คำว่าฮวางหลุดออกมาจากปากของกโยซึล ตาของยอมินก็เป็นประกายขึ้น ต้องอย่างนี้สิ คำว่าฮวางออกมาแล้ว 

 

 

อย่างนั้นสิ ฮวาง! เอ่ยออกมาเลยว่าฮวางเซจา เอ่ยออกมา! 

 

 

ยอมินกำมือแน่น กโยซึลเริ่มขยับริมฝีปากที่สั่นระริกในขณะที่ตนเองยังคงหลับตาแน่น  

 

 

“ฝ่า… พระบาทฮวางแทจาเพคะ เพราะฝ่าพระบาททรงเย็นชากับหม่อมฉันนัก หม่อมฉันก็เลยตรอมใจ…” 

 

 

เสียงของกโยซึลค่อยๆ เบาลงเรื่อยๆ  

 

 

“อา” 

 

 

ยอมินรู้สึกเหมือนกำลังจะล้มลง และนึกขึ้นได้ว่าตนเองทำอะไรลงไป พลันใบหน้าก็เริ่มแดงขึ้น กโยซึลที่นั่งอยู่ตรงหน้าสะอื้นไห้ ส่วนตนเองนั้นได้ตะคอกนางกำนัลด้วยน้ำเสียงที่ดังอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน 

 

 

ทำเรื่องไม่งามเช่นนี้ ตนที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาผู้เพียบพร้อมกลับทำเรื่องสะเพร่าเช่นนี้กับพระชายาฮวางแทจางั้นหรือ ไม่รู้ว่าสิ่งใดดลใจจึงทำให้เผลอทำเรื่องไม่งามเช่นนี้ 

 

 

“ขะ ขอพระราชทานอภัยเพคะ หม่อมฉันเสียมารยาทกับพระชายาฮวางแทจาแล้ว…” 

 

 

ยอมินที่เพิ่งเคยพบเห็นตนเองในด้านที่ดูไม่ดีจึงลนลาน น้อมตัวลงขอโทษ 

 

 

“ขอทรง ขอทรงพระกรุณาประทานอภัยต่อความผิดของหม่อมฉันด้วยเพคะ” 

 

 

ยอมินตัวสั่นระริกด้วยความรู้สึกรังเกียจตนเอง กโยซึลไม่พูดอะไร ยอมินได้แต่น้อมตัวลงร้องขอคำอภัยจากกโยซึล 

 

 

“ผู้น้อยผู้โง่เขลาคนนี้ทำให้พระชายาฮวางแทจาทรงไม่พอพระทัยแล้ว ขอทรงพระราชทานอภัยให้หม่อมฉันด้วยเพคะ หม่อมฉันจะไม่มาที่วังตะวันออกแห่งนี้ตามอำเภอใจอีกจนกว่าพระชายาฮวางแทจาจะทรงอนุญาติ หม่อมฉันจะไม่มาให้พระองค์เห็นให้ทรงเคืองพระทัย จะระมัดระวังให้มากขึ้นเพคะ” 

 

 

พระราชวังมกกุกแห่งนี้เป็นสถานที่ที่เดิมทีแม้อยู่เฉยๆ ชีวิตก็หาไม่ได้ได้ตลอดอยู่แล้วเพราะความขัดแย้งที่รุนแรงในการแย่งชิงบัลลังก์ แต่ทว่าพระชายาของฮวางเซจาที่เป็นผู้สืบทอดบัลลังก์อันดับสามกลับขึ้นเสียงใส่พระชายาของฮวางแทจาผู้เป็นผู้สืบทอดบัลลังก์อันดับหนึ่ง หากองค์ฮวางแทจาทรงรักใคร่หลงใหลพระชายาของตน และพระชายาฮวางแทจาทรงเป็นคนที่ชอบเหยียดหยามผู้อื่นแล้วล่ะก็ เกรงว่าอาจไม่มีใครรับประกันชีวิตของพระชายาฮวางเซจาได้แล้ว 

 

 

ถึงแม้ว่าองค์ฮวางแทจาจะไม่ได้มีความรักใคร่ต่อชายาของตน หรือถึงแม้ว่าพระชายาฮวางแทจาจะเป็นหญิงสาวที่อ่อนไหว เสียน้ำตาง่าย แต่ในสถานการณ์นี้ถึงตนจะอ้อนวอนร้องขอด้วยชีวิตก็เห็นจะไม่เพียงพอ ยอมินนั้นน้อมตัวลงที่พื้นด้วยตัวที่สั่นไหวอยู่พักใหญ่จึงได้ลุกขึ้นมา และก้มหน้าออกจากห้องไปโดยที่ไม่กล้าแม้แต่จะมองไปที่กโยซึล 

 

 

หลังจากที่ยอมินออกไปได้ครู่หนึ่ง แม่นมจะได้เข้าไปหากโยซึล 

 

 

“พระชายา” 

 

 

“แม่นม!” 

 

 

กโยซึลที่สะอึกสะอื้นอยู่โผลเข้าไปกอดแม่นม 

 

 

“เพคะ แม่นมอยู่นี่เพคะ หม่อมฉันกำลังกอดพระองค์อยู่ แม่นมอยู่ข้างๆ พระชายาตรงนี้เพคะ” 

 

 

“แม่นม คุณแม่… คุณแม่ เราจะทำอย่างไรดี” 

 

 

น้ำตาหลั่งไหลออกมาจากดวงตาของกโยซึล แม่นมดึงร่างบอบบางของกโยซึลเข้ามากอดพร้อมลูบแผ่นหลังของนาง 

 

 

“เราโกหก เราไม่สามารถพูดความจริงต่อหน้านางได้” 

 

 

“ไม่เป็นไรเพคะ ไม่เป็นไรเพคะพระชายา ทุกคนเองก็คงจะคิดอย่างเดียวกันเพคะ ไม่มีใครคิดว่าพระองค์ทรงโกหกแน่นอนเพคะ” 

 

 

“แม่นม ที่จริงแล้วก็มีส่วนจริงอยู่บ้าง ฝ่าพระบาท… ที่ฝ่าพระบาทฮวางแทจาทรงทำตัวเย็นชาก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เราป่วย แต่ว่า ‘เขา’ นั้นทำให้เราป่วยยิ่งกว่า ทำไมเขาถึงปิดบังเรากันนะ หรือเขาตั้งใจล้อเล่นกับความรู้สึกของเด็กน้อยโง่เขลาจากฮวากุกกัน? เขาหลอกเราใช่หรือไม่” 

 

 

อาจเป็นเพราะความกลัวที่ถาโถมเข้ามาทำให้กโยซึลเริ่มพรั่งพรูความเป็นจริงข้อที่ตนไม่เคยนึกถึงออกมาจากปาก แม่นมได้แต่ลูบแผ่นหลังของนางช้าๆ 

 

 

“เราไม่รู้จริงๆ ไม่รู้ว่าทำไมเราถึงเป็นเช่นนี้ เราเพียงแค่ อยากจะได้รับความรักเท่านั้น…” 

 

 

น้ำเสียงของกโยซึลนั้นเบาบางลง 

 

 

“ท่านแม่ ท่านพี่…” 

 

 

กโยซึลที่เหน็ดเหนื่อยจากการร้องไห้เริ่มสงบลงในอ้อมแขนของแม่นมแล้วก็ได้ผล็อยหลับไปในที่สุด แม่นมนำหมอนอิงที่วางอยู่บนเบาะรองนั่งออกแล้ววางตัวกโยซึลนอนลง 

 

 

“อาจเป็นเพราะพระชายาทรงได้รับความรักมากมายยามที่อยู่ฮวากุก พอทรงประทับอยู่ที่แห่งนี้ที่ทรงไม่ได้รับความเอ็นดูเลย พระองค์เลยทรงโหยหามันเพคะ” 

 

 

นางลูบใบหน้าของกโยซึลแล้วนำผ้าห่มที่อยู่บนเตียงมาห่มให้กับกโยซึลที่นอนอยู่บนเบาะรองนั่ง ร่างเล็กของกโยซึลนั้นสั่นระริก 

 

 

*** 

 

 

ณ ตำหนักนัมบีแห่งวังใต้ ตำหนักของยอมิน 

 

 

ยอมินที่เหม่อลอยกำลังนั่งอยู่บนเบาะรองนั่ง **บเครื่องแป้งขนาดเล็กวางอยู่บนโต๊ะหนังสือ กระจกที่**บเครื่องแป้งสะท้อนใบหน้าที่ตกแต่งอย่างงดงามของยอมิน 

 

 

“น่าเกลียดนัก” 

 

 

ยอมินเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไร้เรี่ยวแรง 

 

 

“น่าเกลียด ช่างน่าเกลียดอะไรเช่นนี้ หญิงโง่เขลาที่ขี้หึงหวงอย่างน่ามืดตามัวเหตุใดจึงมานั่งอยู่ที่ตำหนักนัมบีแห่งนี้” 

 

 

ดวงตาของยอมินคลอไปด้วยน้ำตา ยอมินที่จ้องมองตนเองที่สะท้อนอยู่ในกระจกปิด**บดังพลั่ก 

 

 

“เหตุใดจึงน่าเกลียดเช่นนี้…” 

 

 

ยอมินหลั่งน้ำตาออกมาพร้อมกับนอนราบลงไปทับหมอนข้าง 

 

 

“ยอมิน ยอมินคงจะรักฝ่าบาทฮวางเซจามากเกินกว่าที่ตนเองคิดไว้สินะเพคะ” 

 

 

ไหล่ของนางสั่นระริก โบจินนางกำนัลคนโปรดของยอมินที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในห้องได้ ไม่กล้าบังอาจปลอบใจนางจึงได้แต่ยืนน้ำตาไหลอยู่ข้างผนังห้อง 

 

 

*** 

 

 

ใจกลางพระราชวังมกกุกอันกว้างใหญ่ ณ สถานที่ที่อยู่ลึกที่สุด 

 

 

ณ สถานที่ลับที่ใครก็ไม่อาจล่วงล้ำเข้ามาได้ง่ายๆ มีชายสองคนกำลังนั่งหันหน้าเข้าหากันอยู่ ชายที่ท่าทางสง่างามน่านับถือที่นั่งอยู่บนที่สูงกว่านั้นคือองค์จักรพรรดิ ออฮยูลเจแห่งฮวากุก และชายหนุ่มผู้ที่มีใบหน้าพิมพ์เดียวกันที่นั่งอยู่บนพื้นสีแดงใจกลางโถงนั้นคือบีพาอัน 

 

 

บรรยากาศตึงเครียดที่แพร่กระจายเนื่องจากที่ทั้งสองหารือกันเรื่องงานบ้านเมืองจางหายไปหลังจากที่ออฮยูลเจเอนตัวไปพิงพนักบัลลังก์ด้านหลัง ขณะที่บีพาอันกำลังจะทำความเคารพและขอตัวออกไป ออฮยูลเจพลันกระดิกนิ้วที่วางอยู่บนพนักวางแขนแล้วเอ่ยขึ้น 

 

 

“จะว่าไปแล้วเมื่อไม่กี่วันก่อนข้าพเจ้าได้ยินเรื่องขำขันเรื่องหนึ่ง” 

 

 

บีพาอันที่กำลังจะเอ่ยคำคารวะหยุดชะงักหลังจากที่ได้ยินออฮยูลเจพูดขึ้น