ตอนที่ 14-2 คำโกหก

ซ่อนรักเคียงบัลลังก์

“ไม่นานมานี้ข้าพเจ้าได้พบกับสนมยูที่อุทยานดอกไม้จึงได้ร่วมสนทนากัน” 

 

 

หลังจากได้ยินชื่อของสนมยูใบหน้าของบีพาอันก็ขมวดขึ้นในทันที ก่อนหน้านางเป็นเพียงนางกำนัลคนหนึ่งเท่านั้น แต่เพราะหน้าตาที่สะสวยมาตั้งแต่เกิดจึงได้เลื่อนขั้นขึ้นมาเป็นพระสนม ทว่าชาติกำเนิดนั้นไม่อาจปกปิดกันได้ นางจึงเป็นหญิงที่เหลาะแหละ ไร้มารยาท อีกทั้งยังไม่รู้ความว่าตอนไหนควรวางตัวเช่นไร ช่างเจื้อยแจ้วเจรจาเป็นอย่างมากจึงทำให้ออฮยูลเจหมดความเอ็นดูในตัวนางไปนานแล้ว นางนั้นพูดมากจนถึงขั้นมีคำกล่าวว่าข่าวลือต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในราชสำนักนั้นล้วนแล้วแต่มาจากนางทั้งสิ้น 

 

 

หญิงงามแต่ช่างพูดเช่นนางนั้น บีพาอันเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมออฮยูลเจถึงยังปล่อยให้อยู่ในตำแหน่งสนมอยู่ ออฮยูลเจที่เอ่ยออกมาอย่างช้าๆ เหลือบมองไปที่บีพาอันแวบหนึ่งแล้วตวาดขึ้นมา 

 

 

“ฮวางแทจา!” 

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ องค์จักรพรรดิ” 

 

 

คำตอบรับที่ออกมาโดยอัตโนมัติ บีพาอันที่น้อมตัวตอบรับยิ้มเยาะให้กับปฏิกิริยานั้นของตน 

 

 

“เช่นนี้อีกแล้ว!” 

 

 

“ขอทรงตรัสถึงสาเหตุได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ขอทรงประทานโอกาสให้กระหม่อมได้สำนึกผิดและรู้ถึงความผิดของตนเองเพื่อที่จะได้ไม่ทำผิดเป็นครั้งที่สองด้วยพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ออฮยูลเจนั้นไม่เคยตวาดใครโดยไม่มีสาเหตุ บีพาอันรู้ดีว่าที่ออฮยูลเจเรียกตนด้วยด้วยที่เสียงดังเช่นนั้นเป็นเพราะว่าตนต้องทำสิ่งใดผิดเป็นแน่ ถึงแม้ว่าตนมักจะถูกตวาดอยู่บ่อยครั้งในตอนเด็ก แต่ว่าหลังจากที่ตนอายุได้สิบปีก็แทบจะไม่ถูกต่อว่าอีกเลย เหตุใดจึงได้ถูกตวาดขึ้นมา อีกทั้งยังไม่อาจรู้ว่าตนนั้นทำสิ่งใดผิด 

 

 

เมื่อบีพาอันก้มหัวเอ่ยถาม ออยูลเจจึงพูดขึ้น 

 

 

“ในเมื่อฮวางแทจาร้องขอโอกาสเช่นนี้ ข้าพเจ้าจะบอกความผิดให้ก็ได้ ข้าพเจ้าเคยบอกให้พินิจให้ดีใช่หรือไม่ว่าเหตุใดข้าพเจ้าจึงมอบชื่อ ‘บีพาอัน’ ให้แก่เจ้า จะเป็นจักรพรรดิจงอย่าแสดงความในใจของตนออกมาโดยง่าย” 

 

 

บีพาอันที่ก่อนหน้าใบหน้าขมวดเข้มและเผยรอยยิ้มเล็กน้อยพลันก้มหัวขอโทษ 

 

 

“ขอพระราชทานอภัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าพระบาท หม่อมฉันจะปรับปรุงตัวพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“ในบรรดาบุตรชายสี่คนที่ถูกแต่งตั้งให้เป็นทายาทสืบบัลลังก์ ข้าพเจ้าตั้งความหวังกับบีพาอันไว้มากที่สุด เจ้ามีนิสัยที่ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็จะไม่หวั่นไหว ดึกวอลนั้นภายนอกที่แสดงออกต่างกับสิ่งที่คิดภายอยู่ในใจจึงไม่เหมาะจะเป็นจักรพรรดิ ส่วนรูแฮอย่าว่าแต่เป็นจักรพรรดิเลย ด้วยนิสัยที่อ่อนโยนเกินไปแม้แต่ผู้ปกครองก็ไม่อาจเป็นได้ ส่วนบินซอง… ด้วยนิสัยที่หยิ่งยะโสถือดีนั่นไม่ตายเร็วก็ถือว่าดีมากแล้ว” 

 

 

ออฮยูลเจยิ้มเยาะ ถึงแม้ว่าจะได้ยินคำกล่าวว่าร้ายต่อองค์รัชทายาทคนอื่นและคำสรรเสริญตน แต่บีพาอันก็ไม่ได้รู้สึกยินดี เพราะเขารู้ดีว่าเมื่อออฮยูลเจอยู่กับรัชทายาทองค์อื่นๆ สองต่อสองก็ย่อมกล่าวว่าร้ายรัชทายาทองค์อื่นไม่ได้อยู่ด้วยและชื่นชมองค์รัชทายาทที่ตนสนทนาด้วยเช่นเดียวกัน 

 

 

บททดสอบไร้สาระของตาเฒ่า นี่คือสิ่งที่บีพาอันคิดเมื่อได้ยินคำเหล่านั้น ถึงแม้ว่าตนจะเห็นด้วยเล็กน้อยกับคำกล่าวถึงเซจาในตอนสุดท้ายก็ตามที ออฮยูลเจเมื่อเหลือบเห็นใบหน้าที่ไร้ความเปลี่ยนแปลงของบีพาอันจึงเริ่มพูดถึงเรื่องที่ตนเกริ่นไว้ก่อนหน้านี้ 

 

 

“เอาเถอะ เมื่อครู่ข้าพเจ้าพูดถึงไหนแล้วนะ…” 

 

 

ถึงแม้จะตนจะจำได้ดีว่าพูดถึงไหนแล้วแต่ออฮยูลเจก็ยังคงพูดเสียงแผ่วในตอนท้ายราวกับว่าจำไม่ได้ บีพาอันก้มหัวเล็กน้อยพร้อมตอบกลับไป 

 

 

“ฝ่าพระบาททรงตรัสถึงว่าทรงได้สนทนากับพระสนมยูพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“อ้อ ถึงตรงนั้นสินะ ข้าพเจ้าแก่แล้วความจำจึงไม่ค่อยดี” 

 

 

ออฮยูลเจยิ้มกว้าง พร้อมกับเปลี่ยนท่าทีให้ดูสบายขึ้น 

 

 

“ตามที่พระสนมยูกล่าว เห็นว่าช่วงนี้มีข่าวลืออันน่ารังเกียจแพร่กระจายในพระราชวัง” 

 

 

หลังจากเอ่ยถึงตรงนั้นออฮยูลเจก็ผุดยิ้มอย่างไม่รู้ความหมายแล้วเหลือบมองไปที่บีพาอัน บีพาอันกำมือที่วางไว้บนเข่าแน่นจนมือข้างนั้นสั่นระริก แต่ทว่าใบหน้าของเขายังคงนิ่งสนิทเช่นเคย 

 

 

 

 

 

ฝีเท้าของบีพาอันที่เดินกลับมายังวังตะวันออกนั้นเต็มไปด้วยความโกรธ เพื่อที่จะตามระยะก้าวที่ยาวและรวดเร็วของบีพาอันให้ทัน เหล่าขันที ซังกุง และนางกำนัลต่างต้องรีบเดินไม่ต่างกับวิ่ง ใบหน้าของบีพาอันยังคงสงบนิ่ง หากแต่ก้าวเดินที่ย่ำลึกนั้นบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าอารมณ์ภายในของเขานั้นปะทุมากเพียงใด 

 

 

หลังจากที่เข้ามาในวังบีพาอันไม่ได้ตรงไปที่จุดศูนย์กลาง แต่กลับมุ่งหน้าไปยังด้านซ้ายมือที่เป็นตำหนักของกโยซึล หลังจากที่เดินผ่านมาหลายตำหนักก็มาถึงตำหนักดงบีที่ถึงแม้ว่าจะไม่อาจเทียบเท่าตำหนักดงชอนแต่ก็ยังคงโอ่อ่างดงามและกว้างขวาง หลังจากที่บีพาอันก้าวข้ามประตูใหญ่ ขันทีที่วิ่งตามหลังมาก็ตะโกนขึ้น 

 

 

“ฝ่าพระบาท ฮวาง…ฮวางแทจา บี…บีพาอันเสด็จแล้ว” 

 

 

ขันทีที่หอบเหนื่อยเอ่ยออกไปอย่างทุลักทุเล บีพาอันเดินไปถึงบันไดหินแล้วถอดรองเท้า ก้าวเดินไปตามระเบียงไม้ก่อนที่ซังกุงจะนำคำไปแจ้งเสียอีก ถึงแม้บีพาอันจะมียศสูงกว่ากโยซึล ดังนั้นจึงสามารถเข้าไปในตำหนักได้โดยไม่ต้องรอคำตอบรับ แต่ทว่าตามระเบียบแล้วจำเป็นต้องรอให้กโยซึลรับรู้ถึงการมาของบีพาอันก่อนจึงจะเข้าไปได้ 

 

 

แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ระเบียบ ใครจะกล้าขวางฮวางแทจากัน เหล่าซังกุงเปิดประตูตำหนักให้กับบีพาอัน เขาจึงเดินผ่านประตูไปทีละบานด้วยความเร็วเดียวกับในตอนแรก แน่นอนว่าเหล่าซังกุงล้วนหน้าซีดเผือดรีบเร่งเปิดประตูให้อย่างรวดเร็ว ‘จงอย่าเปิดเผยความรู้สึกของตน’ คำนี้ออฮยูลเจเพิ่งจะเอ็ดตนไปก่อนหน้า เพราะฉะนั้นสีหน้าของบีพาอันจึงนิ่งเรียบไร้ความรู้สึก เหล่าขันที ซังกุง นางกำนัลจึงพลอยคิดไปว่าบีพาอันคงจะคิดถึงพระชายาของตนเป็นอย่างมาก 

 

 

หลังจากที่ก้าวผ่านประตูบานสุดท้ายเข้ามายังห้องบรรทม บีพาอันเห็นกโยซึลที่กำลังเปลี่ยนชุด และถอดวิกผมออกเพื่อเตรียมเข้านอน กโยซึลและแม่นมที่ตกใจในการมาอย่างกะทันหันของบีพาอันลืมกล่าวคำคารวะได้แต่ยืนมองบีพาอันอย่างลุกลี้ลุกลน 

 

 

“เจ้าออกไป” 

 

 

“เพคะ?” 

 

 

“ข้าบอกให้ออกไป” 

 

 

ถึงแม้จะไม่ได้ตะคอก แต่น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความกดดัน ที่จริงแล้วแม่นมต้องจัดผมของกโยซึลก่อน แต่ทว่านางก็ต้องก้าวถอยออกจากห้องไปทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ทำอะไร ทั้งห้องเหลือเพียงบีพาอันและกโยซึล กโยซึลรู้สึกได้ว่าตนกำลังตัวสั่นเทิ้มจึงพยายามทำให้ตัวเองหยุดสั่นด้วยการยกมือขวามาจับแขนซ้าย ในขณะที่กโยซึลกำลังก้มตัวลงด้วยความสั่นเทิ้ม บีพาอันก็ก้าวมาหาพร้อมจับตัวนางขึ้น 

 

 

“ฝ่า ฝ่าพระบาท…” 

 

 

ใบหน้าของกโยซึลซีดเผือด บีพาอันจับไหล่ทั้งสองข้างของนางแล้วผลักตัวนางลงไปที่เตียงโดยไม่พูดไม่จา ถึงแม้ว่าเตียงจะนุ่มจึงไม่ได้ทำให้เจ็บอะไร แต่มือที่จับไหล่ตนแน่นนั้นทำให้ใบหน้าของกโยซึลขมวดขึง 

 

 

“ฝ่า ฝ่าพระบาท…” 

 

 

“เงียบเสีย”