ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวสวมอาภรณ์สีทอง ตอนที่เขามาถึง ผู้ปกครองเอ้อเฉินที่อยู่ด้านข้างก็ยังเอ่ยขึ้นด้วยความเกรงอกเกรงใจว่า “ท่านชาย” พลังของเขาสูงส่งกว่าท่านชายสาม ทว่าบัดนี้ท่านชายสามก้าวเข้าสู่ขั้นผู้ปกครองแล้ว เบื้องหลังยังมีจักรพรรดิเจียวอวิ๋นด้วย แน่นอนว่ามิอาจทำเหมือนเป็นผู้ปกครองธรรมดาทั่วไปได้
ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวพยักหน้ายิ้มๆ ขณะเดียวกันก็ชมการต่อสู้โดยละเอียด เขาพูดด้วยความตกตะลึงว่า “ผู้เคารพเทพหิมะแปรเป็นรูปสลัก หรือว่าจะฝืนต้านทานอย่างเต็มที่”
“เห็นทีผู้เคารพเทพหิมะคงจะวางแผนเอาไว้เช่นนี้จริงๆ” ผู้ปกครองเอ้อเฉินพูดยิ้มๆ เพียงแต่เมื่อใบหน้าชราของเขายิ้มขึ้นมาก็ช่างน่ากลัวมากจริงๆ “ผู้เคารพเทพหิมะเข้าไปบำเพ็ญในบรรพคีรีมารอยู่ชั่วระยะหนึ่ง พลังก็มีการยกระดับขึ้น บัดนี้ก็กลายเป็นรูปสลักอย่างสมบูรณ์ไปแล้ว และทุ่มเทอย่างสุดกำลังเพื่อรักษาชีวิตเอาไว้ คิดจะทำร้ายนางกลับยากเสียยิ่งกว่ายาก หากตงป๋อเสวี่ยอิงมิอาจโจมตีให้แตกได้ ก็เป็นไปได้มากว่าจะพ่ายแพ้”
ตงป๋อเสวี่ยอิงที่อยู่บนเวทีการต่อสู้กำลังสำแดงวิถีหอกออกมาแล้ว และโจมตีรูปสลักนั้นอย่างบ้าคลั่ง
ตู้มๆๆ…
รูปสลักลอยไปทั่วตามอำเภอใจ แล้วกระแทกเข้ากับเวทีการต่อสู้ ปะทะลงบนค่ายกลสีดำรอบด้าน แต่รูปสลักผลึกน้ำแข็งนั้นกลับมิได้รับความเสียหายเลยแม้แต่น้อย ผลึกน้ำแข็งรูปสิบสองเหลี่ยมทุกแผ่นเหนือชั้นผิวยังคงเปล่งประกายออกมา
“เป็นไปได้มากว่าจะแพ้หรือ เรื่องนี้ท่านผิดแล้วล่ะ” ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวมองดู ขณะเดียวกันก็ส่ายหน้า “ท่านมิได้เห็นการต่อสู้ระหว่างน้องตงป๋อและจักรพรรดิเทพมารแดงในตอนนั้น แม้โลกภายนอกจะเล่าลือกันไปทั่วว่าน้องตงป๋อเอาชนะจักรพรรดิเทพมารแดงได้ แต่รายละเอียดของการต่อสู้ กลับมีผู้ล่วงรู้น้อยเสียยิ่งกว่าน้อย”
“หา” ผู้ปกครองเอ้อเฉินมองเจียวอวิ๋นหลิวด้วยความตกตะลึงอยู่บ้าง
“ตอนนั้นจักรพรรดิเทพมารแดงก็สำแดงลูกไม้การป้องกันอันร้ายกาจยิ่งออกมา แต่ท้ายที่สุดน่ะหรือ”เจียวอวิ๋นหลิวพูดยิ้มๆ เขาจำได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ตอนนั้นหลังจากจักรพรรดิเทพมารแดงปะทุท่าไม้ตายออกมาแล้ว พลังก็เพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมาก ผิวกายก็มีเกราะน้ำแข็งอันหนาวเหน็บชั้นหนึ่งปกคลุมเอาไว้ การป้องกันก็ร้ายกาจเป็นอย่างยิ่ง “ท้ายที่สุดเขาก็ยังถูกหอกหนึ่งของน้องตงป๋อโจมตีเข้าไปอย่างรุนแรง! การโจมตีของน้องตงป๋อช่างน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง”
“อย่างนั้นหรือ” ผู้ปกครองเอ้อเฉินไม่อยากจะเชื่ออยู่บ้าง ในสายตาของเขา การป้องกันของผู้เคารพเทพหิมะตรงหน้าก็นับว่าแข็งแกร่งมากแล้ว
เขากลับไม่รู้ว่า…การรักษาชีวิตของจักรพรรดิเทพมารแดงแข็งแกร่งกว่าอยู่ขุมใหญ่
“มาแล้ว” นัยน์ตาของท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวเป็นประกายขึ้นมา เขามองเห็นแล้วว่า เหนือหอกยาวของตงป๋อเสวี่ยอิงมีประกายสีดำชั้นหนึ่งปรากฏขึ้นมา ตอนนั้นหลังจากประกายสีดำนี้ปรากฏขึ้น ก็โจมตีจักรพรรดิเทพมารแดงอย่างรุนแรง
“ฟิ้ว!”
ปลายหอกแทงเข้าไปอย่างดุเดือด ทิ้งร่องรอยซึ่งแฝงไว้ด้วยเส้นโค้งอันแปลกพิสดารเอาไว้ รอบปลายหอกยังมีระลอกคลื่นสีแดงโลหิตอยู่วงหนึ่ง เห็นได้ชัดว่านอกจากจะมีเกราะพลอยู่ชั้นหนึ่งแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังนำ ‘วิถีเข่นฆ่า’ และ ‘วิถีระลอกคลื่น’ หลอมรวมเข้าไว้ในวิถีหอกอีกด้วย นับตั้งแต่รับรู้ ‘บริเวณการเข่นฆ่า’ เป็นต้นมา วิถีสองสายนี้ก็ได้ผนวกเข้าด้วยกัน ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีวิธีการที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น
ฟึ่บ…หอกยาวแทงลงบนรูปสลักผลึกน้ำแข็ง เหนือผิวมีเกราะพลหมุนเวียนอยู่ ระดับความคมของปลายหอกเพิ่มสูงขึ้นแล้วแทงทะลุรูปสลักไป หลังจากแทงเข้าไปในรูปสลักแล้ว ระลอกคลื่นสีแดงโลหิตอันน่าหวาดหวั่นก็พลันส่งถ่ายเข้าไป
ปัง…ทั้งรูปสลักแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เศษเสี้ยวจำนวนนับไม่ถ้วนกลางอากาศมลายหายไป ทว่าส่วนที่หลงเหลืออยู่จำนวนน้อยนิดกลับเพียงน้อยนิดก็รวมตัวกันแล้วกลายเป็นสตรีผมขาว ‘ผู้เคารพเทพหิมะ’ ผู้นั้น สายตาของผู้เคารพเทพหิมะที่มองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงแฝงไว้ด้วยความไม่อยากจะเชื่อและความจนใจสายหนึ่ง เมื่อเผชิญหน้ากับตงป๋อเสวี่ยอิงที่บุกสังหารเข้ามาอีกครั้ง นางก็รีบถ่ายเสียงสะท้อนก้องไปทั่วฟ้าดินโดยรอบ “ข้ายอมแพ้!”
จะพูดอย่างชักช้าก็ไม่ทันการแล้ว จึงใช้พละกำลังภายในกายควบคุมอากาศแล้วเปล่งเสียงออกมา ทำให้รวดเร็วยิ่งขึ้น
“ฟิ้ว”
ปลายหอกของตงป๋อเสวี่ยอิงพลันหยุดลง กระแสอากาศอันน่าหวาดหวั่นราวกับคมมีดวาดผ่านร่างของผู้เคารพเทพหิมะ หากเป็นเทพโลกาสวรรค์สี่ชั้นโดยทั่วไป เกรงว่าร่างกายคงจะแหลกละเอียดไปนานแล้ว ทว่าถึงอย่างไรผู้เคารพเทพหิมะก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถเทียบกับผู้ปกครองได้! นางมิอาจต้านรับกระบวนท่าของตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งทุ่มเทพละกำลังทั้งหมดและแฝงไว้ด้วยเกราะพลได้ แต่ลำพังแค่กระแสอากาศก็มิอาจทำร้ายนางได้เลยแม้แต่ปลายเส้นขน
“นับถือๆ คิดไม่ถึงจริงๆ ว่า เจ้าจะสามารถทำลายรูปสลักทิพย์ไร้ทลายของข้าได้” ผู้เคารพเทพหิมะพูดเสียงเย็นชา “เกรงว่าพลังของเจ้าคงจะมีโอกาสคุกคามสัตว์ประหลาดเลี่ยยางนั่นได้แล้ว ไม่รู้จริงๆ ว่าตอนที่พวกเจ้าทั้งสองต่อสู้กันจะเป็นอย่างไร”
พูดจบผู้เคารพเทพหิมะก็แปรเป็นลำแสงทะยานจากไปอย่างรวดเร็ว
เพราะนางแพ้แล้ว! ย่อมไม่มีโอกาสเข้าไปในบรรพคีรีมารได้อีก ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงกลับแทนที่นาง กลายเป็นผู้เคารพอันดับสามคนใหม่แล้ว
“ฮ่าฮ่าฮ่า น้องตงป๋อ ยินดีด้วยๆ” ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวหัวเราะ “ข้ายังมิได้เข้าไปในบรรพคีรีมารเลย ถึงตอนนั้นเจ้าก็จะได้ล่วงหน้าไปก่อนก้าวหนึ่งแล้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินลงจากเวทีการต่อสู้แล้วมองไปทางท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวพลางพูดยิ้มๆ ว่า “ท่านชายอย่าล้อข้าเล่นเลย บัดนี้ท่านชายเป็นผู้ปกครองแล้ว ข้าก็เป็นเพียงผู้เคารพเท่านั้น จะก้าวออกจากขั้นนี้นั้นไม่ง่ายเลย”
“สำหรับผู้เคารพคนอื่นนั้นไม่ง่าย แต่สำหรับเจ้านั้นไม่เหมือนกัน” ท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวเอ่ย
……
ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดคุยกับท่านชายเจียวอวิ๋นหลิวอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเข้าไปยังบรรพคีรีมารด้วยการนำทางของบ่าวรับใช้หุ่นเชิดชรา เจียวอวิ๋นหลิวมิอาจเข้าไปภายในได้ในตอนนี้
“บรรพคีรีมาร”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินอยู่บนคีรีมารอันเก่าแก่แห่งนี้ รอบเขามีไอหมอกสีดำแผ่กำจายอยู่เต็มไปหมด ไม่รู้ด้วยเหตุใด เมื่อเดินอยู่บนบรรพคีรีมารแห่งนี้ จึงรู้สึกว่าร่างกายผ่อนคลายลงมาก กระดูกคันยุบยิบเล็กน้อยให้ความรู้สึกสบายนัก ทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยรอยยิ้มออกมาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เขาเข้าเข้าใจดีว่าเป็นเพราะบรรพคีรีมารแห่งนี้นั่นเอง มิเช่นนั้นแล้ว ไหนเลยคนระดับเช่นเขาจะได้รับผลกระทบจากสภาพแวดล้อมภายนอกเช่นนี้ได้
บ่าวรับใช้หุ่นเชิดชรานำทางอยู่ด้านหน้า แล้วชี้ไปยังคูหาแห่งหนึ่งที่ปรากฏให้เห็นอย่างเลือนรางตรงสุดทางอันคดเคี้ยงตรงหน้า “นายท่าน คูหาอยู่ตรงหน้าขอรับ”
“นั่นคือคูหาของข้าหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
“ขอรับ เป็นคูหาของนายท่าน หากมิได้รับอนุญาตจากนายท่าน ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สามารถบุกรุกเข้าไปได้ อีกทั้งคูหายังอยู่เหนือฐานค่ายกลของบรรพคีรีมารอีกด้วย เมื่อบำเพ็ญอยู่ที่นั่น จะเป็นประโยชน์มหาศาล” บ่าวรับใช้หุ่นเชิดชรากล่าว “นายท่านเข้าไปก็จะทราบเองขอรับ”
“อื้ม”
เขาเดินไปถึงหน้าคูหาอย่างรวดเร็ว
คูหาอันเก่าแก่โบราณแห่งนี้ค่อนข้างจะสันโดษ ทว่ากลับครองพื้นที่หลายลี้ ถึงอย่างไรมันก็เป็นสถานที่บำเพ็ญของผู้เคารพ หากฟุ่มเฟือยมากจริงๆ จะใช้พื้นที่นับล้านล้านลี้มาเป็นสวนหลังบ้านของตนเองก็เป็นเรื่องธรรมดานัก
เมื่อผลักประตูเข้าไป เอี๊ยดดด ประตูนั้นเป็นประตูไม้ แผ่นไม้เป็นสีดำขลับทั้งแผ่นจนมองไม่ออกว่าเป็นวัสดุใด
เพิ่งก้าวข้ามธรณีประตูมา ก็มีกลิ่นอายสีเขียวที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าระลอกหนึ่งถาโถมเข้ามาปะทะหน้า เมื่อสูดเข้าไปเฮือกหนึ่ง ทั้งร่างก็เย็นเฉียบ สมองก็ว่างเปล่าไปหมด ความเร็วในการรับรู้และไตร่ตรองก็ยกระดับขึ้นอย่างรวดเร็วในพริบตา เหมือนได้กินสิ่งล้ำค่าเข้าไปอย่างไรอย่างนั้น สถานที่ล้ำค่าสำหรับบำเพ็ญระดับนี้ แม้แต่เหล่าผู้ปกครองก็ยังปรารถนา มันย่อมมีส่วนช่วยต่อการบำเพ็ญของบรรดาผู้เคารพเป็นอย่างยิ่ง ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ดี พลังที่ซ่อนอยู่ยิ่งสูงเท่าไหร่ ก็ยิ่งยกระดับการบำเพ็ญได้รวดเร็วขึ้นเท่านั้น
“ประเสริฐ” ตงป๋อเสวี่ยอิงอดเอ่ยปากชมมิได้ เขาอยู่ในจักรวาลผู้บำเพ็ญมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ ยังไม่เคยเข้าไปในสถานที่ล้ำค่าสำหรับบำเพ็ญที่ดีเช่นนี้มาก่อนเลย
“บนบรรพคีรีมารยังมีสถานที่เก็บคัมภีร์บำเพ็ญอันล้ำค่าต่างๆ อยู่ด้วยนะขอรับ” บ่าวรับใช้หุ่นเชิดที่อยู่ด้านข้างกล่าว “เป็นสิ่งที่ท่านบรรพชนทิ้งเอาไว้ทั้งสิ้น พวกมันล้ำค่าอย่างยิ่ง สามารถศึกษาได้ แต่มิอาจนำออกไปจากบรรพคีรีมารได้”
“เอ๊ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกใจ
“ข้อดีของคูหาแห่งนี้ นายท่านสามารถรับรู้ได้โดยละเอียด” บ่าวรับใช้หุ่นเชิดกล่าว “หากไม่มีธุระอันใดแล้ว บ่าวขอตัวก่อนนะขอรับ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงถามขึ้นว่า “ชั้นในและชั้นใจกลางของบรรพคีรีมารดีกว่านี้มากใช่หรือไม่”
“เป็นความมหัศจรรย์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงขอรับ” บ่าวรับใช้หุ่นเชิดกล่าว “ชั้นในเหนือกว่าชั้นนอกอยู่มากโข ชั้นใจกลางก็ยิ่งเกินกว่าจะจินตนาการได้”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า “ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ข้าอยากจะท้าทายผู้เคารพอันดับหนึ่งดู”
“ท้าทายผู้เคารพอันดับหนึ่งหรือ” บ่าวรับใช้หุ่นเชิดสะดุ้ง “ได้ขอรับ นายท่านโปรดรอสักครู่ ข้าจะไปถ่ายทอดวาจาของท่านเดี๋ยวนี้”
บ่าวรับใช้หุ่นเชิดจากไปอย่างรวดเร็ว
ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงก็เริ่มสำรวจคูหาแห่งนี้โดยละเอียด เมื่อตรวจดูก็พบความน่าอัศจรรย์ของคูหาแห่งนี้ ภายในส่วนที่แตกต่างกันของคูหาก็มีกลิ่นอายที่แตกต่างกัน เหมาะแก่ผู้แกร่งกล้าซึ่งฝึกฝนระบบที่แตกต่างกัน ตงป๋อเสวี่ยอิงพบบริเวณต่างๆ ที่เหมาะกับวิถีเข่นฆ่า วิถีระลอกคลื่นและวิถีโลกเทียม ส่วน ‘ระบบผู้ท่องอากาศ’ นั้นมิได้มีเงื่อนไขเรื่องสภาพแวดล้อมแต่อย่างใด
ผ่านไปเพียงครู่เดียว
บ่าวรับใช้หุ่นเชิดก็กลับมาแล้วรายงานทันที
“นายท่านขอรับ” บ่าวรับใช้หุ่นเชิดเอ่ยอย่างเคารพนบนอบ
“กำหนดเวลาแล้วหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม
“ผู้เคารพอันดับหนึ่ง ‘เลี่ยยาง’ กำลังเก็บตัวเพื่อบำเพ็ญอยู่ขอรับ มิอาจรับศึกได้” บ่าวรับใช้หุ่นเชิดกล่าว
ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึง “เก็บตัวเพื่อบำเพ็ญ มิอาจรับศึกได้อย่างนั้นหรือ หากเขาเก็บตัวเพื่อบำเพ็ญไปตลอด ข้าก็มิอาจท้ายทายได้ไปตลอดหรือไร”
“ชั้นในและชั้นนอกของบรรพคีรีมารแตกต่างกันอย่างมหาศาล หากภายหน้านายท่านได้เข้าไปก็จะทราบเองขอรับ การเก็บตัวเพื่อบำเพ็ญของชั้นในนั้นเป็นการบำเพ็ญพิเศษชนิดหนึ่ง ระหว่างการบำเพ็ญมิอาจรับศึกได้ ทว่าเมื่อการเก็บตัวเพื่อบำเพ็ญสิ้นสุดลง ผู้เคารพเลี่ยยางก็จะมิอาจหลีกเลี่ยงได้อีกขอรับ” บ่าวรับใช้หุ่นเชิดกล่าว
“ต้องใช้เวลานานเท่าใดกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม
“ได้ยินมาว่าผู้เคารพเลี่ยยางเก็บตัวเพื่อบำเพ็ญมาห้าแสนกว่าปีแล้ว คาดว่าหากเร็วหน่อยก็จะสามารถออกมาได้ตลอดเวลา หากนานหน่อยก็อาจจะสักสิบล้านปีกระมัง” บ่าวรับใช้หุ่นเชิดเอ่ย
“นานถึงเพียงนี้เชียวหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงออกจะจนใจอยู่บ้าง
รอเถิด
การเคลื่อนของเวลาในจักรวาลคีรีมารนั้นเร็วกว่าบ้านเกิดของตนมาก ต่อให้ผ่านไปสิบล้านปี ก็เท่ากับเวลาไม่กี่พันปีในบ้านเกิดเท่านั้น! สงครามคงจะไม่รวดเร็วถึงเพียงนั้น ตนใช้เวลาน้อยนิดเท่านี้บำเพ็ญให้ดีจะดีกว่า
“เจ้าออกไปก่อนเถอะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงกำชับ
“ขอรับ หากนายท่านมีเรื่องอันใดก็สามารถเรียกข้าได้ตลอดเวลานะขอรับ” บ่าวรับใช้หุ่นเชิดเดินออกจากคูหาไป
ประตูคูหาปิดลงเสียงดังเอี๊ยด แล้วตงป๋อเสวี่ยอิงก็เริ่มการบำเพ็ญในบรรพคีรีมาร