ภาคที่ 24 ผู้เคารพที่แข็งแกร่งที่สุด ตอนที่ 19

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ปรัชญาคลื่นลม โดย Ink Stone_Fantasy

แม้เวลาจะล่วงเลยไป แต่บรรพคีรีมารกลับไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ รอบด้านมีไอหมอกสีดำรายล้อมและเย็นเยียบอยู่เป็นนิจ มีผู้แกร่งกล้าหลายสิบท่านบำเพ็ญอยู่ที่นี่ ที่เหลือก็คือบ่าวรับใช้หุ่นเชิดที่คอยปรนนิบัติตนโดยเฉพาะและผู้ดูแลเขาเท่านั้น

นอกคูหาบนยอดเขา

ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งพลิกคัมภีร์สีทองดูอยู่ตรงนั้น คัมภีร์หลอมขึ้นมาจากโลหะแปลกประหลาดแผ่นแล้วแผ่นเล่า ด้านบนมีอักษรโบราณชนิดหนึ่งแกะสลักเอาไว้อย่างแน่นขนัด แม้จะไม่เข้าใจอักษรนี้ แต่ตัวอักษรกลับส่งถ่ายข้อมูลเข้าไปในห้วงสมองเองตามธรรมชาติ หลายปีมานี้ เขาจดจำข้อมูลภายในคัมภีร์เล่มนี้ได้อย่างครบถ้วนแล้ว แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังคงนำคัมภีร์เล่มนี้มายังคูหาด้วย ทั้งยังพลิกอ่านเป็นประจำ

ภายในบรรพคีรีมารมีคัมภีร์ล้ำค่าอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งสามารถนำไปอ่านในคูหาได้ เพียงแต่ห้ามนำออกไปจากบรรพคีรีมารเป็นอันขาด!

“ความเข้าใจที่ผู้อาวุโสต่างเผ่าท่านนี้มีต่อระลอกคลื่น ทำให้ข้าต้องยกย่องอย่างแท้จริง หากเขาเป็นดวงดารากลางฟากฟ้า ข้าก็เป็นมนุษย์ธรรมดาบนผืนดินคนหนึ่งที่แหงนมองฟากฟ้า” ทุกครั้งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงพลิกดูก็อดเกิดความรู้สึกเทิดทูนขึ้นมามิได้ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นคัมภีร์ล้ำค่าที่ท่านบรรพชนทิ้งเอาไว้ อย่างเช่นคัมภีร์อันขาดตกบกพร่องซึ่งเป็นเล่มเดี่ยวนี้ ขาดส่วนข้างหน้าและข้างหลังไปเป็นจำนวนมาก ตงป๋อเสวี่ยอิงไม่รู้แม้แต่ชื่อของคัมภีร์เสียด้วยซ้ำไป เพียงแต่รู้จากข้อมูลภายในเล่มว่าผู้ที่เขียนคัมภีร์เล่มนี้ขึ้นมาเป็นสิ่งมีชีวิตซึ่งมีนามว่า ‘ประมุขเกาะคลื่นสวรรค์’

“หากไร้ซึ่งคัมภีร์เหล่านี้ ข้าจะคิดค้นศาสตร์ลับขึ้นมาก็ยากกว่ามาก” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่ายหน้า

เขามีจิตคิดร้าย

จิตคิดร้ายอย่างใหญ่หลวง

เช่นจักรพรรดิผลาญเอกาก็อาศัยคัมภีร์มารโลหิตครึ่งหลัง จากนั้นก็คิดค้นศาสตร์ลับที่เหมาะสมกับตนเองขึ้นมา

ก่อนหน้านี้ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ได้อาศัยเคล็ดลับ ‘บริเวณการเข่นฆ่า’ ของจักรวาลเทวทูต ใช้วิถีเข่นฆ่าและวิถีระลอกคลื่นผสานกันแล้วสร้างเป็น ‘บริเวณการเข่นฆ่า’ ของตนขึ้นมา

สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่คิดค้นขึ้นโดยอ้างอิงจากแนวความคิดของผู้อาวุโสทั้งสิ้น

แต่เนื่องจาก ‘วิถีระลอกคลื่น’ และ ‘วิถีเข่นฆ่า’ ล้วนแต่เหมาะกับการต่อสู้เป็นอันมาก ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงคิดจะนำวิถีทั้งสองสายนี้ผสานเข้าด้วยกันและคิดค้นศาสตร์ลับการต่อสู้ขึ้นมาโดยตลอด! ถึงอย่างไร ‘บริเวณการเข่นฆ่า’ ก็ค่อนไปทางด้านบริเวณอยู่แล้ว สิ่งที่ตงป๋อเสวี่ยอิงต้องการก็คือศาสตร์ลับสำหรับการต่อสู้ ไปจนถึงเคล็ดวิชาที่เหมาะจะให้วิถีหอกใช้สำแดง!

ทว่าไม่มีคัมภีร์จำพวกนี้อยู่เลย ไม่มีผู้อาวุโสที่ทำเช่นนี้! อาจจะมีก็เป็นได้ แต่หาจากคัมภีร์ของทางบรรพคีรีมารไม่พบ เพราะการจะหาศาสตร์ลับการต่อสู้อันสูงส่งลึกล้ำที่เชี่ยวชาญทางด้านวิถีเข่นฆ่าและวิถีระลอกคลื่นในขณะเดียวกัน ทั้งยังต้องผสานเข้าด้วยกันให้พบก็ยากเสียยิ่งกว่ายาก

เนื่องจากไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้ เบื้องหน้าก็มีแต่หมอกมัว ทางเบื้องหน้าควรจะเดินไปอย่างไรกันเล่า

ก็ต้องให้ตงป๋อเสวี่ยอิงคิดค้นขึ้นมาเอง ต้องให้ความเข้าใจทางด้านการเข่นฆ่าและระลอกคลื่นของเขาบรรลุถึงระดับขั้นที่สูงส่งลึกล้ำขึ้นหรือกว้างขวางยิ่งขึ้น เคราะห์ดีที่เขาอยู่ในบรรพคีรีมาร มีคัมภีร์ล้ำค่าจำนวนมากให้เขาพลิกอ่านได้ ทำให้เขาเปิดหูเปิดตาได้กว้างไกลขึ้น และมองเห็นความเป็นไปได้ของการบำเพ็ญในหลายๆ ทาง

เมื่อมีคัมภีร์ต่างๆ คอยหล่อเลี้ยง มีพื้นฐานของวิถีเข่นฆ่าและวิถีระลอกคลื่น อีกทั้งการบำเพ็ญภายในคูหาของบรรพคีรีมารก็มีประสิทธิภาพสูงเป็นอย่างยิ่ง บวกกับการรับรู้ของเขา บัดนี้เขาก็ได้คิดค้นบทที่หนึ่งของศาสตร์ลับปรัชญาคลื่นลมขึ้นมาจนได้ ที่เป็นบทที่หนึ่งนั้น ก็เพราะวิถีทั้งสองสายของตนล้วนยังมิได้บรรลุถึงขั้นนิรันดร์กาล ตามความคิดของตน ศาสตร์ลับปรัชญาคลื่นลมยังสามารถยกระดับขึ้นไปได้อย่างไม่หยุดหย่อน

จากนั้นเพียงแค่บทแรก ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ทุ่มเทสุดกำลังแล้ว อาศัยแค่บทนี้ก็เพียงพอให้เทียบเคียงกับผู้ปกครองได้แล้ว!

“ฟิ้ว”

หุ่นเชิดสาวตนหนึ่งเข้ามาจากที่ไกลโพ้น เงาร่างกะพริบวาบหลายครั้งจนเข้ามาใกล้ตงป๋อเสวี่ยอิง

“ผู้เคารพตงป๋อ” หุ่นเชิดสาวพูดด้วยความเคารพ “ข้ารับบัญชาจากผู้เคารพเลี่ยยางนายท่านของข้ามาที่นี่ เพื่อแจ้งให้ผู้เคารพตงป๋อทราบเรื่องการต่อสู้ในวันพรุ่งนี้เจ้าค่ะ”

“ผู้เคารพเลี่ยยางหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงนัยน์ตาเป็นประกายขึ้นมา “ในที่สุดก็มาเสียที! ผ่านไปหกล้านปี ในที่สุดการเก็บตัวเพื่อบำเพ็ญของผู้เคารพเลี่ยยางก็สิ้นสุดลงเสียที”

“ดี เช่นนั้นก็ต่อสู้ในวันพรุ่งนี้เถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยรอยยิ้มออกมา

หุ่นเชิดสาวโค้งคารวะ จากนั้นก็หมุนกายจากไป

ตงป๋อเสวี่ยอิงยืดกายขึ้นแล้วมองดูหุ่นเชิดสาวตนนั้นจากไปจนลับตา นัยน์ตาเปี่ยมแววรอคอย “ทำให้ข้าต้องคอยตั้งหกล้านปี พลังของข้าแข็งแกร่งกว่าตอนที่เพิ่งจะเข้ามายังบรรพคีรีมารมากแล้ว ได้ยินมาว่าเลี่ยยางเคยเอาชนะผู้ปกครองมาก่อน ไม่รู้ว่าเขาเป็นคู่ต่อสู้ของข้าหรือไม่”

แม้การบำเพ็ญในบรรพคีรีมารจะก้าวกระโดดก็จริง แต่เขากลับไม่เคยต่อสู้เลยมาโดยตลอด

*******

วันต่อมา

เอี๊ยด

ประตูไม้ถูกผลักออก ตงป๋อเสวี่ยอิงเดินออกมาจากภายในคูหาด้วยสายตาสงบนิ่ง เขามุ่งหน้าไปตามทางภูเขาอันคดเคี้ยว ทิ้งร่องรอยอันเลือนรางสายแล้วสายเล่าเอาไว้บนเส้นทาง บ่าวรับใช้หุ่นเชิดชราก็ตามหลังไปอย่างเคารพนบนอบ

“ตงป๋อ ได้ยินมาว่าเจ้าจะไปต่อสู้กับเลี่ยยางแล้วหรือ” สตรีนางหนึ่งผู้มีเกล็ดสีแดงชาดทั่วร่างและมีเกราะสีทองหุ้มห่อซึ่งอยู่ในคูหาอีกแห่งหนึ่งพูดยิ้มๆ

“ท่านชาย” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มน้อยๆ “ข้ากำลังจะขึ้นไปบนเวทีการต่อสู้แล้ว”

สตรีตรงหน้านางนี้ก็คือ ‘เจียวอวิ๋นฉาน’ บุตรคนที่สองจากสามคนของจักรพรรดิเจียวอวิ๋นซึ่งเป็นผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดทิ้งห่างพี่ชายและน้องชายของนางไปไกลลิบ จนได้เข้ามาในบรรพคีรีมารตั้งนานแล้ว แม้บัดนี้ท่านชายสามเจียวอวิ๋นหลิวจะสำเร็จเป็นผู้ปกครองแล้วเช่นกัน แต่เมื่อเทียบกับพี่สาวของเขาแล้ว พลังก็ยังแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด

“จะตัดสินผู้เคารพที่แข็งแกร่งที่สุดแล้ว ไปด้วยกันเถิด” เจียวอวิ๋นฉานผู้นี้ก้าวออกมาก้าวหนึ่งก็มาถึงข้างกายตงป๋อเสวี่ยอิง

“ดี ไปพร้อมกันเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงและเจียวอวิ๋นฉานผู้นี้เดินไปเคียงข้างกัน

“พลังของเลี่ยยางผู้นั้นร้ายกาจนัก ตอนนั้นเมื่อปรากฏกายครั้งแรกก็กลายเป็นผู้เคารพที่แข็งแกร่งที่สุดได้อย่างรวดเร็ว และเข้าไปยังชั้นในของบรรพคีรีมารได้ แม้แต่ข้าก็ยังไม่เคยเข้าไปเลย เจ้ามั่นใจว่าจะเอาชนะเขาได้อย่างนั้นหรือ” รูปโฉมของเจียวอวิ๋นฉานงดงามยิ่งนัก คิ้วทั้งสองกลับประหนึ่งกระบี่คมกริบ เมื่อบำเพ็ญตามปกตินางก็จะสวมเกราะสีทองเอาไว้ จะเห็นได้ถึงนิสัยของนาง

ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ “ไม่ว่าจะมั่นใจหรือไม่ ก็หลีกเลี่ยงการต่อสู้ครั้งนี้มิได้แล้ว อีกทั้งข้าก็อยากจะเห็นนักว่าที่แท้แล้วเขาแข็งแกร่งสักเพียงใดกัน”

“เหมือนจะมั่นใจมากทีเดียว”เจียวอวิ๋นฉานมองยิ้มๆ

เดินไปตลอดทาง

บนเส้นทางนั้นก็มีผู้ปกครองคนอื่นๆ มุ่งหน้าไปพร้อมกันด้วย เพราะถึงอย่างไรศึกตัดสินผู้เคารพที่แข็งแกร่งที่สุด…ก็ไม่เหมือนกับการต่อสู้อันน่าเบื่อระหว่างพวกอันดับสองอันดับสาม ที่หลังจากพ่ายแพ้แล้วก็ท้าทายกันใหม่อีก! การต่อสู้ระหว่างคนหน้าใหม่ที่เพิ่งโผล่มาและผู้เคารพที่แข็งแกร่งที่สุดเช่นนี้ หาชมได้ยากนัก

การต่อสู้ของคนหน้าใหม่เช่นนี้ มีหวังที่จะเอาชนะผู้เคารพที่แข็งแกร่งที่สุดได้มากกว่า เพราะจู่ๆ พวกเขาก็โผล่มา พลังก็ยากเกินคาดเดาได้ จึงมีความหวังมากกว่า ส่วนพวกที่เคยพ่ายแพ้มาหลายครั้งเหล่านั้น ต่อให้ท้าทายอีก ความหวังก็ริบหรี่นัก

“ตงป๋อ การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ง่ายเลย”

“ตงป๋อเสวี่ยอิง เลี่ยยางผู้นั้นเป็นผู้เคารพที่แข็งแกร่งที่สุดมานานเกินไปแล้ว เอาชนะเขาเสีย”

เมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงมาถึงเวทีการต่อสู้ บรรดาผู้ปกครองหลายคนที่มาถึงก่อนแล้วก็พูดขึ้นเสียงดัง พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นผู้ปกครองซึ่งบำเพ็ญอยู่ ณ ชั้นนอก จึงย่อมเอนเอียงมาทางตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นธรรมดา หลายปีมานี้ ตงป๋อเสวี่ยอิงมักจะไปยืมคัมภีร์มาอ่านเป็นประจำ และได้รู้จักกับผู้ปกครองหลายคนที่มาอ่านคัมภีร์เช่นกัน ทุกคนล้วนมีความรู้สึกอันดีต่อผู้เคารพหนุ่มซึ่งมีอัธยาศัยค่อนข้างดีผู้นี้

เวทีการต่อสู้สีเขียวเข้มตั้งอยู่ในอาณาเขตของบรรพคีรีมารชั้นนอก

หลังจากตงป๋อเสวี่ยอิงไปถึงครู่หนึ่ง ตัวละครสำคัญอีกคนหนึ่งของการต่อสู้ครั้งนี้ก็มาถึงแล้ว

“ผู้เคารพเลี่ยยาง” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองออกไปไกล

เงาร่างสองสายเดินออกมาจาก ‘ชั้นใน’ ที่ลึกเข้าไปในบรรพคีรีมารซึ่งมีไอหมอกปกคลุมอยู่ ผู้ที่เดินตามหลังมาคือหุ่นเชิดสาวตนนั้น ส่วนด้านหน้าก็คือบุรุษที่สวมเสื้อแต่แขนทั้งสองกลับเปล่าเปลือย ผิวของเขาเป็นสีน้ำตาลอมเหลือเงาวับ เขามีผมสีเงินยวงซึ่งถักเป็นเปียเล็กละเอียดหลายเส้น เมื่อมองไปปราดหนึ่ง ก็เหมือนน่าจะมีอยู่หลายสิบเส้นเลยทีเดียว

เขาเดินเท้าเปล่าเข้ามาโดยมิได้สวมรองเท้า

ทว่าทั้งร่างของเขากลับมีกลิ่นอายอันน่าหวาดหวั่นโหมซัดอยู่รางๆ เขาสาวเท้าออกมาก้าวใหญ่ เบื้องหลังยังมีดาบรบเล่มหนึ่งอยู่ในฝัก นัยน์ตาคมกริบทั้งคู่แฝงแววกดดันเอาไว้

“ตงป๋อ รูปร่างของเขาและเจ้าละม้ายคล้ายกัน เจ้ากับเขามาจากจักรวาลเดียวหันหรือไม่” ท่านชายเจียวอวิ๋นฉานซึ่งนั่งอยู่ริมขอบตะโกนถาม

“ไม่ใช่”

ผู้เคารพเลี่ยยางที่เดินเข้ามาจากที่ไกล กลับเอ่ยปากขึ้นมาเอง นัยน์ตาคมกริบจับจ้องตงป๋อเสวี่ยอิง มุมปากก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อยๆ “ข้ารู้จักผู้เคารพจากจักรวาลบ้านเกิดของข้าแทบทั้งหมด เขาต้องมิใช่อย่างแน่นอน! อีกทั้งผู้เคารพของจักรวาลเราล้วนแต่ถักเปียด้วยกันทั้งนั้น แต่เขามิได้ถัก!”

พูดจบ เขาก็สาวเท้าตรงออกไปก้าวหนึ่งทันที แล้วถลาขึ้นไปบนเวทีการต่อสู้เสียงดังสวบพลางจ้องมองตงป๋อเสวี่ยอิง “มาเถิด ผู้เคารพตงป๋อ ให้ข้าได้เห็นพลังที่แท้จริงของเจ้าหน่อยสิ”

“ได้”

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ทะยานตรงขึ้นไปบนเวทีการต่อสู้เช่นกัน

เมื่อพวกเขาทั้งสองขึ้นไปยืนบนเวทีการต่อสู้แล้ว รอยอักขระจำนวนนับไม่ถ้วนเหนือผิวเวทีการต่อสู้สีเขียวเข้มอันเก่าแก่นี้ก็สว่างวาบและหมุนเวียนขึ้นมาทันที กลางอากาศโดยรอบเริ่มมีค่ายกลสีดำอันแน่นขนัดปรากฏขึ้น แล้วปกคลุมเวทีการต่อสู้เอาไว้อย่างสิ้นเชิง