บทที่ 214
สำนักข่าวพิราบฟ้า
เมื่อประมุขทั้งสองนิกายเห็นพ้องต้องกัน ตู๋ไห่ก็ขอตัวลากลับไปยังนิกายของตน กลุ่มเมฆสีดำค่อยๆเคลื่อนตัวปกคลุมทั่วท้องฟ้า ราวกับพายุฝนจะโหมกระหน่ำลงมาในอีกไม่ช้า
เย่เย่ที่เพ่งสมาธิโคจรพลังอยู่นั้น ก็ไม่อาจสัมผัสได้ถึงมัน เขายังคงวาดมือขึ้นไปในอากาศปรับสมดุลพลังไม่ยอมออกไปไหน จนกระทั่งสามวันให้หลัง ลมปราณในร่างก็กระชับขึ้นจน เย่เย่รู้สึกได้
ในขณะที่เขากำลังจะออกไปยังป่าต้องห้ามชานเมืองหวางตู้เพื่อทดสอบเคล็ดวิชาหัตถ์เทวะนั้น กู๋จื่อเช่าที่นอนซมไปหลายวันก็ลืมตาตื่นขึ้น
“ข้าอยู่ที่ไหนเนี่ย?” คุณชายสกุลกู๋เอามือกุมหัว พลางลุกขึ้นจากเตียงอย่างช้าๆด้วยอาการสับสน
ลู่จุ้นที่สัปหงก นั่งเฝ้าไข้เขาอยู่ข้างเตียง เมื่อเห็นปฏิกิริยาดังกล่าวก็ลุกขึ้นพรวดอย่างลืมความง่วง ก่อนจะใช้มือช่วยพยุงร่างของกู๋จื่อเช่าขึ้นอย่างช้าๆ
“ที่นี่คือหอการค้าหยูเย่ เมื่อสามวันก่อนข้าพบเจ้านอนจมกองเลือดอยู่หน้าหอ จึงพาตัวเจ้ามาให้ท่านเย่รักษา” ลู่จุ้นอธิบายเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น
เย่เย่ที่กำลังเดินลงบันไดมาได้ยินบทสนทนาดังกล่าว ก็เดินแหวกม่านเข้ามาในห้องของลู่จุ้น ทันทีที่กู๋จื่อเช่าเห็นใบหน้าของเย่เย่ เขาลุกขึ้นคุกเข่าลงอย่างโดยไม่คำนึงถึงอาการเจ็บปวดของตน
“ขอบคุณท่านเย่ที่ช่วยชีวิตข้าน้อยเอาไว้ กู่จื่อเช่าจะไม่ลืมน้ำใจในครั้งนี้เลย” เขาประสานมือก้มคำนับเย่เย่ด้วยความจริงใจ
เมื่อคุณชายสกุลกู๋พูดจบประโยค เขาก็ก้มหน้าเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนพูดขึ้นอีกครั้งด้วยความรู้สึกผิด “แต่ข้าน้อยไร้ฝีมือ ทำให้ดาบประกายเพลิงถูกช่วงชิงไป ไม่รู้ว่าป่านนี้ครอบครัวของข้า…”
เมื่อเห็นสีหน้าที่เศร้าสร้อยของกู๋จื่อเช่า และร่างกายที่โงนเงนราวกับจะหมดสติอีกครั้ง เย่เย่ก็รีบพูดขึ้นเพื่อให้เขาสงบใจลง
“เอาน่า อย่าได้โทษตัวเองนักเลย ถึงแม้ข้าจะไม่รู้สถานการณ์ของตระกูลเจ้า แต่เจ้ากลับไปตอนนี้ก็ใช่ว่าจะช่วยอะไรพวกเขาได้ อยู่รักษาตัวที่นี่อีกสักหน่อยเถอะ” เย่เย่แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เกี่ยวกับสถานการณ์ในอู๋เจิ้งเพื่อปกปิดตัวตน เนื่องจากหลังที่เย่เย่กลับมา เขาก็เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องฝึกฝนเคล็ดวิชาและโคจรพลังปราณ ทำให้เขาไม่ได้ติดตามข่าวจากภายนอก
ทันทีที่เย่เย่พูดจบ ลู่จุ้นก็มองเขาด้วยความรู้สึกประหลาดใจ และกล่าวเสริมขึ้น
“พวกท่านทั้งสองอาจจะยังไม่ทราบ แต่เหตุการณ์ใน อู๋เจิ้นได้คลี่คลายไปตั้งแต่เมื่อสามวันก่อนแล้ว”
“เจ้าหมายความว่ายังไง?” เย่เย่ยังคงทำไขสือต่อ
เมื่อได้ยินดังนั้น กู๋จื่อเช่าก็คว้าไหล่ของลู่จุ้นไว้แน่น และถามเขาด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“ท่านพี่ลู่ ท่านหมายความว่ายังไง แล้วครอบครัวข้าล่ะ? รีบบอกมาเร็วๆเซ่!”
ลู่จุ้นที่เห็นสีหน้าที่ร้อนรนของทั้งสองก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ ก่อนเริ่มเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดเท่าที่เขารู้จากแหล่งข่าว “เท่าที่ข้าทราบ สามวันก่อนพรรคธารสวรรค์ได้เปิดฉากโจมตีตระกูลกู๋ในเมืองอู๋เจิ้งด้วยความแค้นที่บุตรชายของเขาถูกสังหาร แต่หลังจากนั้นไม่นานประมุขแห่งอารามก็ปรากฏตัวขึ้นกวาดล้างของพรรคธารสวรรค์และยุติสงครามลงได้สำเร็จ”
“ประมุขแห่งอารามวิถีสวรรค์?” กู๋จื่อเช่าพึมพำขึ้นด้วยความสับสน ก่อนที่ความสับสนในดวงตาจะเปลี่ยนเป็นความปีติยินดีและความเลื่อมใสที่มีต่อชายนิรนาม
“ท่านพี่ลู่ นี่ท่านคงไม่ได้จะหลอกให้ข้าสบายใจใช่ไหม?” แต่ทว่าเมื่อคิดดูดีๆ คำบอกของลู่จุ้นนั้นฟังดูน่าเหลือเชื่อเกินไป กู๋จื่อเช่าจึงถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
ลู่จุ้นได้ยินดังนั้น ก็กอดอกด้วยความไม่พอใจ “ข้าจะโกหกเจ้าไปทำไมกัน? ถ้าเจ้าไม่เชื่อข้าล่ะก็ลองไปถามชาวบ้านเอาเองสิ ฮึ!” เขาพูดพลางเบือนหน้าหนีด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
“ฮ่าฮ่าฮ่า ท่านพี่ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ฮ่าฮ่าฮ่า” เมื่อได้ยินลู่จุ้นยืนยันด้วยท่าทีราวกับเด็กน้อยเช่นนั้น กู๋จื่อเช่าก็หัวเราะจนน้ำตาไหลออกมาด้วยความยินดี
เย่เย่เห็นปฏิกิริยาของทั้งสองดังนั้นก็อดอมยิ้มออกมาไม่ได้ เมื่อทิ้งช่วงให้ทั้งสองคลายเครียดออกมาสักพัก เย่เย่ก็เริ่มเข้าเรื่องถามกู๋จื่อเช่าขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง
“เอาล่ะ ในเมื่อเรื่องภายในตระกูลของเจ้าคลี่คลายลงได้ด้วยดี ข้าเองก็เบาใจ แต่ใครกันที่ทำให้เจ้าที่ถือดาบประกายเพลิงอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้ บอกข้ามาได้รึไม่?” แม้เบาะแสเดิมทั้งหมดจะชี้ไปที่พรรคธารสวรรค์ แต่เย่เย่กลับมีลางสังหรณ์บางอย่างว่าเรื่องมันคงไม่ง่ายอย่างที่คิด
กู๋จื่อเช่าเอามือเท้าคาง พลางนึกหวนถึงเหตุการณ์ในวันนั้น ระหว่างที่คิดอยู่นั้นคิ้วของเขาก็ขมวดชนกัน
“ข้าเองก็จำไม่ค่อยได้ รู้แค่ว่าผู้ที่ขโมยดาบประกายเพลิงไปเป็นผู้มีวรยุทธ์สูง และไม่ใช่คนของพรรคธารสวรรค์ เพราะถ้าเป็นคนของพรรคคงลงมือฆ่าข้าไปแล้ว” กู๋จื่อเช่าบอกเล่าเท่าที่เขาจำความได้ เย่เย่ฟังดังนั้นก็พยักหน้าตอบเหมือนว่านึกอะไรบางอย่างขึ้นได้
“ถ้าไม่ใช่คนของพรรคธารสวรรค์ แสดงว่าคงอยากจะเล่นงานข้าโดยตรงสินะ ที่เจ้านั่นปล่อยเจ้าให้รอดมาได้ก็เพื่อท้าทายข้าไม่ผิดแน่ ข้าจะออกไปสืบซะหน่อยว่าใครกันที่กล้าท้าทายข้าเช่นนี้ ส่วนเจ้าก็รีบฟื้นฟูร่างกายรอข้าอยู่ที่นี่ก่อน อย่าออกไปไหนอีกล่ะ” เย่เย่กำชับกู๋จื่อเช่า ก่อนจะเดินออกจากหอการค้าไป
“ท่านเย่ ข้า-” ลู่จุ้นพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อเห็นแผ่นหลังอันเย็นชาและโดดเดี่ยวของเย่เย่ เขาก็รู้ตัวว่าด้วยวรยุทธ์เพียงเล็กน้อยของเขาไม่อาจช่วยอะไรเย่เย่ได้เลย เขาส่ายหัวสะบัดความคิดฟุ้งซ่านออก ก่อนจะนั่งขัดสมาธิถ่ายลมปราณฟื้นชีพให้กับกู๋จื่อเช่าเพื่อเร่งการรักษา
หลังจากออกมาจากหอการค้า เย่เย่ก็รีบมุ่งหน้าสู่สำนักข่าวพิราบฟ้า ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองหวางตู้ สำนักข่าวพิราบฟ้านี้มีชื่อเสียงในด้านข่าวกรองมาอย่างช้านานในแผ่นดินฉางหลาง น้อยคนนักที่จะไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของมัน เย่เย่จึงคิดที่จะสืบข่าวโจรขโมยดาบผ่านสำนักข่าวแห่งนี้
เมื่อเย่เย่มาถึง ผู้คนในสำนักข่าวก็จดจำใบหน้าของเขาได้ทันทีที่เห็น
“ยินดีต้อนรับท่านเถ้าแก่เย่ ไม่สิถ้าจะเรียกให้ถูกก็ต้องท่านประธานเย่! ได้โปรดตามข้ามายังห้องรับรองสักครู่ ประเดี๋ยวข้าจะไปตามท่านเจ้าสำนักมาพบท่าน!” พนักงานต้อนรับยิ้ม พลางผายมือเชิญเย่เย่เข้าไปยังห้องรับรองด้วยท่าทีสุภาพ
“ท่านรู้จักข้างั้นรึ?” เย่เย่ทอดตามองพนักงานต้อนรับด้วยสีหน้าประหลาดใจ
พนักงานผู้นั้นตอบกลับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ถ้าสำนักพิราบฟ้าของเราไม่รู้จักผู้มีชื่อเสียงเช่นท่าน เกรงว่าในยุทธภพนี้ก็คงไม่มีใครรู้จักท่านอีกแล้ว”
เย่เย่ได้ฟังดังนั้นก็ได้แต่พยักหน้าตามน้ำไป ก่อนจะนั่งลงห้องรับรองด้วยอาการสงบ
แม้จะไม่ชอบใจที่มีคนมารู้จักหน้าคร่าตาของเขามากนัก แต่หากสำนักข่าวพิราบฟ้าแสร้งทำเป็นไม่รู้จักเขา เย่เย่ก็คงจะไม่ชอบใจมากกว่า ในขณะเดียวกันความรู้ของพนักงานต้อนรับนั้นก็บ่งบอกได้ถึงประสิทธิภาพด้านการข่าวกรองของพวกเขาได้เป็นอย่างดี
หลังจากรอได้สักพัก พนักงานต้อนรับคนเดิมก็กลับมาพร้อมกับ ชายวัยกลางคน ไว้หนวดเคราหร็อมแหร็มผู้หนึ่งที่ถือพัดขนาดกะทัดรัดอยู่ในมือ ดูแล้วสง่างามยิ่งนัก ชายผู้นี้คือ เซี่ยงเฟ่ยหลิน จ้าวสำนักข่าวพิราบฟ้า
“ท่านเย่ผู้โด่งดังให้เกียรติมาด้วยตัวเองเช่นนี้ ต้องขออภัยด้วยที่ข้าไม่ได้เตรียมการต้อนรับ” ยกมือข้างหนึ่งขึ้นเป็นสัญญาณให้บรรดาลูกน้องออกไป ก่อนประสานมือกล่าวทักทายเย่เย่ตามมารยาท
เย่เย่ลุกขึ้น และประสานมือรับ “ท่านเซี่ยงอย่าได้เกรงใจ ข้ามาโดยไม่ได้บอกกล่าว ได้โปรดอย่าถือสา”
ทั้งสองผายมือให้กัน เพื่อให้แต่ละฝ่ายนั่งลง ก่อนที่ เซี่ยงเฟ่ยหลินจะเป็นฝ่ายที่รินน้ำชาให้แก่เย่เย่ตามคติของผู้เป็นเจ้าบ้าน
“ชาดี!” เย่เย่จิบเข้าไปเล็กน้อย ก็สัมผัสได้ถึงความหอมละมุนนุ่มลึก ไม่ฝาดเกินไปและไม่อ่อนเกินไป จนถึงกับเอ่ยปากชมออกมาจากใจจริง
เขาดื่มชาจนหมดถ้วยและวางลงบนโต๊ะ ก่อนถาม เซี่ยงเฟ่ยหลินขึ้น “สำนักของท่านขึ้นชื่อเรื่องข่าวกรอง ไม่ทราบว่าท่านเซี่ยงรู้เกี่ยวกับข้ามากน้อยเพียงใด?” เย่เย่ถามพลางใช้หางตาเหลือบมองดูปฏิกิริยาของเซี่ยงเฟ่ยหลิน
ก่อนที่เย่เย่จะเข้าเรื่อง เขาก็อยากจะทดสอบความสามารถของสำนักพิราบฟ้าดูเสียหน่อย
ในฐานะจ้าวสำนักข่าวพิราบฟ้า ทำให้เขาถูกลูกค้าลองภูมิอยู่บ่อยครั้ง เซี่ยงเฟ่ยหลินจึงไม่ถือสาเอาความเย่เย่
“กล่าวตามตรง พวกเราสำนักพิราบฟ้าให้ความสำคัญกับข่าวของวีรบุรุษเช่นท่านเป็นอันดับต้นๆ พวกเราไม่เพียงสืบข้อมูลของท่าน แต่ยังรวมไปถึงหอการค้าหยูเย่ทั้งสาขาหลิงเฉิง และสาขารอง” เซี่ยงเฟ่ยหลินพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย ราวกับมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนัก
ได้ยินข้อมูลดังนั้น เย่เย่ก็ยิ้มมุมปากออกมา แต่ด้วยข้อมูลพื้นๆเพียงเท่านี้ก็ไม่อาจตอบสนองความพึงพอใจของลูกค้าจอมเรื่องมากคนนี้ได้…