บทที่ 215
ตัวแปรสำคัญ
แม้สำนักข่าวพิราบฟ้าจะดูเหมือนรู้อะไรเกี่ยวกับเขาไปซะทุกอย่าง แต่เย่เย่ก็ไม่ได้กระโตกกระตากอะไรมากนัก พอเขาเริ่มมั่นใจในประสิทธิภาพของข้อมูลก็ยื่นข้อเสนอชุดหนึ่งให้ เซี่ยงเฟ่ยหลิน
“ข้ามาที่นี่เพื่อขอซื้อข้อมูลจากสำนักพิราบฟ้าของท่าน 2 ชุด หากข้อมูลชุดแรกไม่ทำให้ข้าพอใจได้ละก็ข้าจะจากไปในทันที” เย่เย่พูด พลางชูสองนิ้วขึ้น
“เชิญท่านเย่ว่ามาได้” ได้ยินดังนั้นเซี่ยงเฟ่ยหลินก็รู้ได้ทันทีว่า ข้อมูลชุดแรกนั้นเป็นเพียงบททดสอบ ข้อมูลชุดหลังต่างหากที่เป็นเป้าหมายหลัก
“ข้อมูลชุดแรกที่ข้าอยากจะถามท่านคือ ชื่อจริงของแม่นางเสี่ยวหยูคืออะไร?”
ชายวัยกลางคนได้ยินคำถามนั้นก็แสดงอาการตกใจออกมาทางสีหน้า เนื่องจากการเอ่ยถึงชื่อจริงของแม่นางเสี่ยวหยูเป็นหนึ่งในกฎต้องห้ามของหอการค้าหยูเย่ อีกทั้งน้อยคนนักจะรู้ชื่อจริงของนาง เขาจึงแปลกใจที่เย่เย่กลับเป็นคนถามคำถามนี้ด้วยตัวเอง
หลังจากนิ่งไปสักพัก เซี่ยงเฟ่ยหลินก็ยิ้มมุมปากออกมา “การเอ่ยชื่อของนางออกมาโดยตรงนั้นเกรงว่าจะไม่เหมาะสม เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เสี่ยวหยูอดีตผู้จัดการหอการค้าหยูเย่ สาขา หลิงเฉิง มีบ้านเกิดอยู่ที่หมู่บ้านบุปผาสวรรค์ ตีนเขาแสงจันทร์ นอกจากนี้นางยังเป็นอดีตภรรยาของท่านด้วย ไม่ทราบว่าที่ข้ากล่าวมาถูกต้องหรือไม่?”
เย่เย่พยักหน้าตอบด้วยสีหน้าพึงพอใจ และเริ่มคลายความสงสัยในความสามารถของสำนักข่าวพิราบฟ้าลง การที่เขายกคำถามเกี่ยวกับเสี่ยวหยูเพียงเพราะในใจลึกๆของเขายังคงรำลึกถึงนางอยู่เสมอ
“ต้องขออภัยด้วยที่ข้าต้องทดสอบท่านเช่นนี้ ล่วงเกินท่านแล้ว”
“ถ้าเป็นคนอื่นล่ะก็ข้าคงจะไล่ตะเพิดกลับไปแล้ว ข้า เซี่ยงเฟ่ยหลินถือคติไม่คบค้าสมาคมกับพวกที่ตั้งคำถามในข้อมูลที่แลกมาด้วยหยาดเหงื่อแรงกายของสำนักเรา แต่สำหรับท่านเย่นั้นต่างออกไป ข้ามองเห็นความสามารถอันไร้ขีดจำกัดในตัวของท่าน ดังนั้นไม่จำเป็นต้องมากพิธี” นอกจากวรยุทธ์ที่สูงส่งแล้ว เซี่ยงเฟ่ยหลินยังเห็นว่าเย่เย่เป็นคนน่าเชื่อถือ ควรค่าแก่การผูกมิตร การได้เชื่อมสัมพันธ์กับเย่เย่ไว้นับว่าเป็นเกียรติของเขาแล้ว
ทันทีที่พูดจบเซี่ยงเฟ่ยหลินก็หน้าเปลี่ยนสี เหมือนกับนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้
เย่เย่ไม่รอช้า ถามต่อในทันที
“สำนักข่าวพิราบฟ้าหูตากว้างขวางสมคำร่ำลือ คาดว่าท่านเซี่ยงคงจะเดาความคิดข้าเอาไว้ได้คร่าวๆแล้วสินะ ถ้าเป็นเช่นนั้นไม่ว่าข้าถามอะไรได้โปรดตอบมาตามตรง อย่าได้บ่ายเบี่ยง ข้าสัญญาว่าจะตอบแทนค่าข้อมูลนั้นอย่างงาม”
เซี่ยงเฟ่ยหลินขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางถอนหายใจออกมา “ท่านเย่คงจะไม่ทราบ สำนักข่าวพิราบฟ้าของข้านั้น มีข้อห้ามอยู่สามประการ เกรงว่าครั้งนี้ท่านคงจะต้องกลับไปมือเปล่าเสียแล้ว” ชายวัยกลางคนพูดพร้อมยกนิ้วสามนิ้วขึ้นมา
“ข้อห้ามสามข้อที่ว่าคือ?” เย่เย่คะยั้นคะยอถาม
“ข้อแรก พวกเราไม่เปิดเผยข้อมูลใดๆที่เกี่ยวข้องกับทัณฑ์สวรรค์ ข้อสองพวกเราไม่แพร่งพราย
ข้อมูลใดๆที่เกี่ยวข้องกับราชสำนักและเชื้อพระวงศ์ ข้อสามพวกเราไม่ขายข้อมูลใดๆเกี่ยวกับแปดนิกายหลัก” เซี่ยงเฟ่ยหลินอธิบายให้เย่เย่ฟังด้วยน้ำเสียงราวกับท่องจำ พร้อมหุบนิ้วลงทีละนิ้ว
เย่เย่กอดอกฟัง พลางพยักหน้าอย่างเข้าอกเข้าใจ
“ข้าในฐานะจ้าวสำนักข่าวจึงมิอาจละเมิดกฎสามข้อนี้ได้ ได้โปรดเห็นใจ” แม้เซี่ยงเฟ่ยหลินจะเสียดายที่ไม่ได้ผูกสัมพันธ์กับเย่เย่ แต่เรื่องนี้ก็นับว่าเกินวิสัยไปเสียหน่อย เขาจึงได้แต่ประสานมือก้มหน้าเล็กน้อยเพื่อขอโทษขอโพย
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
ทันใดนั้นเอง เสียเคาะประตูสามครั้งก็ดังขึ้น พนักงานต้อนรับคนเดียวกับที่พาเย่เย่เข้ามาในทีแรกก็เดินเข้ามาซุบซิบบางอย่างที่ข้างหูจ้าวสำนักข่าวพิราบฟ้า พอรายงานเสร็จสรรพหน้าของเซี่ยงเฟ่ยหลินก็ถอดสี เขาส่งสายตามาทางเย่เย่ด้วยสีหน้าประหลาดราวกับมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น
“เข้าใจแล้ว เจ้าออกไปก่อน” เซี่ยงเฟ่ยหลินยกมือให้ลูกน้องออกไป เหลือเพียงเขาและเย่เย่อยู่ในห้องรับแขกตามลำพังดังเดิม
เย่เย่ไม่ได้สงสัยอะไรกับการรายงานนั้น แต่เขาติดใจกับสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของเซี่ยง เฟ่ยหลินมากกว่า
เดิมทีจากข้อมูลของกู๋จื่อเช่าทำให้เขาสันนิษฐานได้คร่าวๆว่าคนร้ายที่ลอบทำร้ายและขโมยดาบประกายเพลิงไปน่าจะเกี่ยวข้องกับพระมเหสีเจียงเหยียน แต่ในเมื่อเซี่ยงเฟ่ยหลินยืนกรานกฎสามข้อเย่เย่ก็ไม่คิดจะเซ้าซี้ต่อ
“ในเมื่อท่านเซี่ยงว่าเช่นนั้น ข้าก็จะไม่รบกวนท่านแล้ว น้ำใจของท่านในวันนี้ เย่เย่จะไม่มีวันลืม”
ขณะที่เย่เย่กำลังหันหลังจากไป เซี่ยงเฟ่ยหลินก็พูดรั้งเขาเอาไว้
“ช่างน่าละอายใจยิ่งนักที่ข้าช่วยอะไรท่านไม่ได้ ดังนั้นข้าจะให้ข้อมูลอีกชุดหนึ่งที่คิดว่าเป็นประโยชน์กับท่านไม่มากก็น้อย เมื่อครู่ข้าได้รับรายงานมาว่ามีคนที่คาดว่าเป็นคนของกองกำลังปีกแห่งแสงมาที่หอการค้าของท่าน ทางที่ดีข้าว่าท่านหลีกเลี่ยงคนพวกนั้นไว้สักหน่อยดีกว่า”
สำหรับกองกำลังระดับกลางและระดับสูง มักมองกองกำลังปีกแห่งแสงเป็นตัวปัญหา เซี่ยงเฟ่ยหลินจึงออกปากเตือน เย่เย่ด้วยความหวังดี เนื่องจากตัวเขาเองก็ไม่อยากเข้าไปพัวพันในเรื่องนี้
“กองกำลังปีกแห่งแสงรึ?” ทันทีที่ได้ยินชื่อนี้ เขาก็เข้าใจท่าทีตกใจเมื่อครู่ของชายกลางคนได้เป็นอย่างดี
‘ดูเหมือนว่าสำนักพิราบฟ้าจะจับตาการเคลื่อนไหวของประมุขอารามวิถีสวรรค์เป็นพิเศษสินะ ต้องระวังเอาไว้สักหน่อยแล้ว’ เย่เย่เอามือเท้าคางพลางคิดในใจ
“โอ้ ขอบคุณนะที่เตือนข้า ความหวังดีของท่านข้าจำไว้ใส่ใจ” เย่เย่ยิ้มตอบอย่างเป็นมิตร แต่ใจของเขาเริ่มระแวงสำนักข่าวพิราบฟ้าขึ้นมาทีละนิดแล้ว
แม้หลายคนจะมองกองกำลังปีกแห่งแสงในแง่ลบ แต่สำหรับเย่เย่แล้วพวกเขาก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่มีอุดมการณ์เดียวกัน หากสามารถใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจเป็นตัวแปรสำคัญในการเปลี่ยนแปลงสู่ยุคสมัยใหม่ในอนาคตก็เป็นได้
เย่เย่บอกลาเซี่ยงเฟ่ยหลิน ก่อนมุ่งหน้ากลับไปยังหอการค้า ระหว่างทางเขาก็แวะแลกเปลี่ยน เหรียญสะกดรอย ในที่ลับตาคน เผื่อไว้ใช้สืบข่าวภายในกองกำลังปีกแห่งแสง
เหรียญสะกดรอยนี้เพิ่งปรากฏขึ้นในหมวดหมู่จิปาถะของระบบแลกเปลี่ยนได้ไม่นาน มันมีคุณสมบัติคือหลังอัดพลังปราณเข้าไปจำนวนหนึ่ง มันจะกลายสภาพเป็นล่องหนจนกว่าพลังปราณที่หล่อเลี้ยงมันจะหมดจึงจะคืนสภาพเดิม สามารถติดไว้ที่ตัวเป้าหมายเพื่อสะกดรอยได้
พลันเมื่อเย่เย่กลับมาถึง ลู่จุ้นที่นั่งรอเขาอยู่นานแล้ว ก็ดิ่งมาหาเขาในทันที “ท่านเย่ ท่านไปอยู่ไหนมา? มีลูกค้าท่านหนึ่งสั่งซื้อของจำนวนมาก ต่อรองเรื่องราคากับข้า แต่ข้าตัดสินใจไม่ได้จึงได้แต่รอท่านอยู่นี่”
ได้ฟังดังนั้นเย่เย่ก็นึกถึงคนของกองกำลังปีกแห่งแสงที่เซี่ยงเฟ่ยหลินกล่าวถึง “ไหนล่ะ ลูกค้าที่ว่า พาเขามาพบข้าเดี๋ยวนี้”
ลู่จุ้นรับคำสั่ง ไม่นานนักเขาก็กลับมาพร้อมกับชายในชุดจอมยุทธ์สีขาวทั้งตัว ดูสะอาดสะอ้าน
“ข้าเซี่ยไป่สี คารวะเถ้าแก่เย่ ข้าต้องการจะซื้ออาวุธคุณภาพสูงจำนวนมาก ไม่ทราบว่าท่านพอจะแนะนำข้าได้บ้างหรือไม่?”
เซี่ยไป่สีผู้นี้ดูแล้วอายุไม่น่าถึง 30 แม้เขาจะซ่อนเร้นพลังปราณ แต่จากการคาดการณ์คร่าวๆของเย่เย่แล้วชายผู้นี้คงมีวรยุทธ์ไม่เกินระดับเทพอสูร
“คุยกันตรงนี้คงไม่สะดวก เชิญท่านเซี่ยมาจิบน้ำชากับข้าด้านบนก่อน” เย่เย่ไม่ตอบในทันที เขาผายมือเชิญแขกไปยังห้องรับรองที่ชั้นบน…