บทที่ 216 เซี่ยไป่สี

ระบบเติมเงินข้ามภพ

บทที่ 216

เซี่ยไป่สี

ทั้งสองพากันมาเจรจาค้าขายกันที่ชั้นบน เมื่อเย่เย่เห็นเซี่ยไป่สียังคงนั่งจิบชาอยู่เฉยๆ เขาจึงเป็นฝ่ายที่เริ่มเปิดประเด็นก่อน

“ไม่ทราบว่าท่านเซี่ยเล็งสินค้าประเภทใดและต้องการเป็นจำนวนเท่าไหร่หรือขอรับ หากไม่เกินวิสัยข้า ข้าคงพอจะช่วยท่านได้” คำถามของเย่เย่นั้นเปรียบเสมือนการหยั่งเชิง หลอกถามข้อมูลของอีกฝ่ายไม่มีผิด

เซี่ยไป่สีวางแก้วน้ำชาลง เงยหน้าสบตากับเย่เย่ และพูดขึ้น

“ข้าต้องการอาวุธและเกราะอ่อนคุณภาพเยี่ยม เหมาะสำหรับชั้นเทพอสูรจำนวน 100 ชุด หากท่านสามารถจัดหาของในระดับสูงกว่านั้นได้ ข้าก็ยินดีจะให้ราคาสูงเป็นพิเศษ” เซี่ยไป่สีพูดอย่างเปิดเผยราวกับไม่ใช่เรื่องที่ต้องปกปิด

โดยปกติแล้วคำสั่งซื้อชุดใหญ่เช่นนี้ คนส่วนมากจะไปสั่งกับหอเทพศาสตราที่ขายยุทโธปกรณ์โดยตรงเสียมากกว่า แต่การที่คนของกองกำลังปีกแห่งแสงจะไปหอเทพศาสตราที่ขึ้นตรงกับสกุลเจียงนั้นเป็นเรื่องที่เสี่ยงอยู่ไม่น้อย นอกจากนี้เซี่ยไป่สีเองยังต้องการของที่คุณภาพดีที่สุดในจำนวนมาก ด้วยปัจจัยทั้งสองข้างต้นนี้ ทำให้เขาตัดสินใจมาที่หอการค้าหยูเย่

จากความต้องการของเซี่ยไป่สี ทำให้เย่เย่คาดเดาได้คร่าวๆว่ากองกำลังของเขาคงมีจำนวนไม่ต่ำกว่า 100 คน และพวกเขาก็มีวรยุทธ์ขั้นต่ำถึงขั้นเทพอสูร ไม่แปลกใจที่สำนักข่าวพิราบฟ้าของ

เซี่ยงเฟ่ยหลินจะจับตาดูพวกเขาเป็นพิเศษ

เย่เย่ฟังดังนั้นก็กอดอก พลางพยักหน้าสองครั้งอย่างช้าๆ “100 ชุดงั้นรึ นั่นเป็นจำนวนที่ไม่น้อยเลยทีเดียว ตราบใดที่ท่านมีเงินมากพอ หอการค้าหยูเย่ยินดีรับใช้ท่านเสมอ” ครั้งนี้เย่เย่ลอบถามเรื่องการเงินดูบ้าง

“ท่านเย่ได้โปรดวางใจ ข้าเป็นคนเสนอข้อเสนอนี้เองย่อมรู้กำลังทรัพย์ของตัวเองดี” เซี่ยไป่สีตอบกลับด้วยรอยยิ้ม

สังเกตสีหน้าที่มั่นใจของชายในชุดขาว ก็ยิ่งทำให้เย่เย่ประเมินกองกำลังของเขาสูงขึ้นไปอีก

‘ถ้าเป็นจริงอย่างที่เขาว่าล่ะก็ ไม่แน่ว่ากองกำลังนี้อาจมีผู้หนุนหลังอยู่ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่กล้าแบกหน้ามาหอการค้าของข้าแน่ๆ’ เย่เย่เหลียวมองเซี่ยไป่สี พลางคิดในใจ

หลังจากทบทวนได้สักพัก เย่เย่ก็ถามขึ้นอีกครา “ขออนุญาตถาม ไม่ทราบว่าท่านกว้านซื้อยุทโธปกรณ์มากมายขนาดนี้ไปเพื่ออะไรหรือขอรับ?”

สิ่งเดียวที่เย่เย่เป็นกังวล คือการที่กองกำลังปีกแห่งแสงแอบอ้างชื่อประมุขแห่งอารามวิถีสวรรค์ไปใช้ในทางที่ผิด

เซี่ยไป่สีได้ยินดังนั้นก็ชักสีหน้าออกมาเล็กน้อย แต่เขาก็คิดว่าการที่เขาซื้ออาวุธจำนวนมาก จะถูกสงสัยก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เมื่อคิดเช่นนี้ได้เขาก็ได้สติ และตอบเย่เย่กลับไปอย่างใจเย็น

“ท่านเย่ ท่านเองก็ทราบมิใช่รึ หลายปีมานี้แผ่นดิน ฉางหลางเต็มไปด้วยสงคราม แม้แต่แปดนิกายหลักก็เริ่มขัดแย้งกันเอง ข้าเองก็มีพรรคพวกในความดูแลอยู่ไม่น้อย ซื้ออาวุธ เครื่องป้องกันพวกนี้ไปเพื่อป้องกันตัวเองก็ไม่เห็นจะแปลกอะไรนี่?”

เซี่ยไป่สีพูดไม่ทันจบประโยคดี เย่เย่กล่าวแทรกขึ้นมา “ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็แล้วไป หวังว่าท่านจะไม่ใช้สินค้าของข้าในทางเสียๆหายๆอย่างไปเข้าร่วมกับกองกำลังปีกแห่งแสง หรือประมุขแห่ง อารามสวรรค์อะไรนั่นหรอกนะ ไม่อย่างนั้นข้าจะพลอยซวยไปด้วย” เย่เย่จงใจพูดถึงกองกำลังปีกแห่งแสง เพื่อดูปฏิกิริยาตอบกลับของคู่สนทนา

แม้แผนของเย่เย่จะเรียบง่าย แต่กลับได้ผลดีเกินคาด สีหน้าของเซี่ยไป่สีแสดงพิรุธออกมาอย่างเด่นชัด เขาเป็นคนที่มีนิสัยไม่ชอบให้ใครมาว่าร้ายในสิ่งที่เขาเชื่อจึงเผลอตอบกลับไปโดยไม่ทันยั้งคิด “แม้แต่ท่านเย่เองก็มองว่ากองกำลังปีกแห่งแสงเป็นปัญหางั้นรึเนี่ย แต่ข้าเองกลับไม่คิดเช่นนั้น ถึงข้าจะไม่ได้เป็นคนของพวกเขา แต่หากไม่มีพวกเขาและประมุขแห่งอารามวิถีสวรรค์ ข้าเกรงว่าแผ่นดินนี้คงจะมีแต่สงครามไม่จบไม่สิ้น”

สายตาของชายชุดขาวเต็มไปด้วยความหนักแน่น ถึงแม้เขาจะตอบเลี่ยงๆ แต่สำหรับเย่เย่คำตอบของเขาก็นับว่าชัดเจนมากพอแล้ว นี่ไม่ใช่แค่ความเชื่อ แต่เป็นความศรัทธา

เย่เย่เห็นเช่นนั้นก็ยิ่งกลุ้มใจ เขากลัวว่ากองกำลังปีกแห่งแสงจะเป็นกลุ่มที่มีอุดมการณ์กลวงๆ แอบอ้างชื่อเขาเพื่อขยายฐานอำนาจ เอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มนายทุนเสียมากกว่า ดูท่าว่าอะไรๆจะไม่เหมือนที่เขาวาดฝันเอาไว้ในทีแรก ในหัวของเขาก็เริ่มคิดแล้วว่าจะชี้นำกลุ่มคนเหล่านี้ไปในทิศทางที่ถูกที่ควรได้อย่างไร

หลังจากเซี่ยไป่สีพูดจบ เย่เย่ก็ผ่อนลมหายใจยาวเหยียดออกมา ก่อนส่ายหน้าไม่ยอมรับเงื่อนไขของเขา “อุดมการณ์ของเจ้าสุดโต่งเกินไป ถ้าข้าขายให้เจ้ารังแต่จะสร้างความวุ่นวายให้กับหอการค้าของข้าในอนาคต เจ้าตัดใจแล้วกลับไปเถอะ!”

เซี่ยไป่สีนั้นไม่รู้ตัวเลยว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่มของเขาถูกสำนักพิราบฟ้าจับตาดูอยู่อย่างใกล้ชิด จึงไม่ได้ระมัดระวังตัวมากนัก ผิดกับเย่เย่ที่รู้อยู่เต็มอก หากเขายังดึงดันขายยุทโธปกรณ์พวกนี้ให้กับเซี่ยไป่สีก็ต้องถูกสำนักข่าวโยงกับกองกำลังปีกแห่งแสงเป็นแน่ สุดท้ายแล้วเย่เย่ก็ประเมินว่าไม่คุ้มที่จะเสี่ยง

“นึกไม่ถึงว่าหอการค้าหยูเย่ที่โด่งดัง จะมีเถ้าแก่ที่หัวรั้นเพียงนี้ ในเมื่อท่านปฏิเสธช่องทางรวย ข้าก็จนปัญญา ขอลา!”

เย่เย่ได้เพียงประสานมือตอบกลับ ไม่คิดรั้งไว้ แต่ในขณะที่ชายชุดขาวกำลังหันหลังจากไป เย่เย่ก็อัดพลังปราณลงไว้ที่เหรียญสะกดรอย และดีดแปะมันไว้ที่ด้านหลังโดยที่เหยื่อไม่รู้ตัว

‘ด้วยเหรียญสะกดรอยนี้ จะทำให้เจ้าเป็นคนพาข้าไปถึงถิ่นด้วยตัวเอง อย่าได้โกรธกันเลย มันเป็นสิ่งที่ข้าต้องทำ’ เย่เย่คิดในใจ เหลียวมองลูกค้าของเขาเดินจากไปจากหน้าต่างชั้นบน

ในอีกด้านหนึ่ง กลุ่มช่างตีเหล็กยอดฝีมือจำนวนหนึ่ง ก็ได้มารวมตัวที่ลานหน้าตำหนักของพระมเหสีเจียงเหยียน นางมีคำสั่งให้พวกเขาไขความลับของดาบประกายเพลิงหนึ่งในอาวุธที่เย่เย่แลกออกมาจากระบบ เพื่อทำการหลอมอาวุธที่มีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับมันขึ้นมา แต่ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่ ก็ไม่มีใครทำสำเร็จ ทำให้นางรู้สึกร้อนรนขึ้นมาจนในที่สุดนางก็หมดความอดทน

“ลากพวกมันไปประหารให้หมด ราชสำนักไม่ต้องการคนไร้ประโยชน์” เจียงเหยียนออกคำสั่งกับองครักษ์เจียงคุนที่ยืนอยู่หลังนาง

“ขอรับ” เจียงคุนประสานมือรับคำสั่ง ก่อนใช้พลังปราณรดึงพวกเขามาอยู่แทบเท้า

“พระมเหสีได้โปรด ขอเวลาข้าอีกสักหน่อยเถอะ!”

“พระมเหสี ข้ามีลูกเล็กได้โปรดเห็นใจด้วยเถอะ!”

แม้จะร้องขอชีวิตจนคอแห้งผาก เจียงคุนลงมือประหารพวกเขาด้วยกระบี่ที่อยู่ในมืออย่างไร้ความปรานี

แม้จะลงมือประหารพวกเขาไปแล้ว ก็ไม่อาจดับไฟโทสะที่สุมอยู่ในอกของพระมเหสีลงได้ การที่เหล่าช่างตีเหล็กชั้นครูไม่สามารถไขปริศนาของดาบประกายเพลิงได้ ก็แปลว่าไม่มีใครในยุทธภพจะทำได้อีกแล้ว นอกไปเสียจากตัวเย่เย่เอง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เจียงเหยียนอยากจะได้เย่เย่มาในครอบครองมากขึ้นไปอีก

ระหว่างที่นางกำลังอยู่ในภวังค์ความคิดนั้น เจียงคุนก็เข้ามารายงานด้วยความรีบเร่ง

“พระมเหสี ม้าเร็วรายงานมาขอรับ เย่เย่ได้บุกเข้ามาในคฤหาสน์สกุลเจียงแล้วขอรับ!”

“พวกมันมาเท่าไหร่?” เจียงเหยียนตกตะลึงเมื่อได้ยินคำรายงาน และรีบถามราชองครักษ์ประจำกาย

“คนเดียวขอรับ” เจียงคุนก้มหน้ารายงานด้วยความลำบากใจ

“วางใจเถอะ” เจียงเหยียนผุดยิ้มออกมา การที่เย่เย่บุกคฤหาสน์สกุลเจียงที่มีเจียงเยว่ประมุขของตระกูลอยู่ด้วยตัวคนเดียวนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับการฆ่าตัวตาย…