บทที่ 217
เคล็ดวิชาหัตถ์เทวะ
“ไม่เพียงเท่านั้นขอรับ เจ้าเย่เย่มันดูเหมือนมาเพื่อตามหาอะไรบางอย่าง คาดว่าคงจะเป็นดาบประกายเพลิงขอรับ” จากคำรายงานนี้เอง ทำให้เจียงเหยียนฉุกคิดขึ้นมาได้
‘ต่อให้รู้ว่าเป็นคนของข้าที่ขโมยดาบประกายเพลิงไป ก็ไม่น่าบุกสกุลเจียงด้วยเหตุผลเพียงเท่านี้แน่’ เจียงเหยียนกอดอกเท้าคาง พลางคิดในใจ
หลังจากคิดทบทวนอยู่ครู่หนึ่ง นางก็ออกคำสั่งแก่สององครักษ์ประจำกาย “เจ้าสองคนมากับข้า ไปดูให้รู้แน่ชัดว่าเจ้าเย่มันต้องการอะไรกันแน่!”
“ตามพระบัญชา” เจียงอู๋ และเจียงคุนคุกเข่าลงรับคำสั่ง ก่อนที่พระมเหสีจะขึ้นราชรถ โดยมีองครักษ์ทั้งสองควบม้านำไป
ในขณะเดียวกันที่คฤหาสน์สกุลเจียง ใจกลางเมือง หวางตู้ เมื่อเบาะแสทั้งหมดบ่งชี้มายังพระมเหสีเจียง เย่เย่ไม่รอบุกมาที่พำนักสกุลเจียงในทันที
นายประตูสองคนที่ถูกซัดจนอ่วม ถูกเย่เย่จับโยนเข้ามาด้านในอย่างง่ายดาย
“คนของสกุลท่าน ทำร้ายคนของข้า มิหนำซ้ำยังขโมยของของข้าไปอีก หากวันนี้ข้าไม่ได้คำอธิบายล่ะก็ ข้าจะไม่ยอมกลับไปแต่โดยดี!” เย่เย่ประกาศกร้าวเสียงดัง
ทันใดนั้นสมาชิกระดับสูงก็กรูกันออกมาจากคฤหาสน์ ต่อให้เย่เย่ไม่พูด แต่จากเจตนาก็รู้ได้ว่าไม่มาดีแน่
“เย่เย่ รนหาที่ตายชัดๆ”
“กล้าเผชิญหน้ากับพวกข้าด้วยตัวคนเดียวงั้นรึ? ช่างไม่ประมาณตนเสียจริง!”
“ข้าจะส่งเจ้ากลับไปแบบเป็นศพเอง!”
คำท้าทายของเย่เย่นั้นเป็นการดูหมิ่นพวกเขาซึ่งหน้า เหล่าผู้คนสกุลเจียงจึงออกมาต่อว่าเขาด้วยใบหน้าที่บิดเบี้ยวไปด้วยความโกรธ
ทันใดนั้นมีชายอาวุโสผู้หนึ่งก้าวออกมาปลีกตัวจากฝูงชน สีหน้าของเขาดูใจเย็นและสงบนิ่งกว่าคนอื่นๆ
“ข้า เจียงเยว่ ประมุขสกุลเจียง ส่วนเจ้าก็คือเย่เย่เจากหอการค้าหยูเย่ที่โด่งดังสินะ? นึกไม่ถึงว่าเถ้าแก่เย่จะตกต่ำจนถึงกับต้องใช้อุบายสกปรกกล่าวหาคนอื่นเช่นนี้!”
“ที่ตกต่ำน่ะ เป็นพวกท่านเองซะมากกว่า เหอะ! เป็นถึงขุนนางใหญ่โตแต่กลับช่วงชิงของชาวบ้านแบบนี้งั้นรึ?” เย่เย่พูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน โดยไม่เกรงกลัวว่าอีกฝ่ายจะเป็นผู้มีวรยุทธ์ระดับเดียวกับตน
“ไหนล่ะหลักฐาน?” สี่พยางค์สั้นๆแต่ความหมายทรงพลัง เจียงเยว่ตอบกลับด้วยรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยจิตคุกคามจนเย่เย่รู้สึกได้ ประมุขเจียงขยิบตาข้างหนึ่งเป็นสัญญาณให้พรรคพวกอีกสามคนปรากฏตัวออกมา
ครืนนนนนนนน
ผู้อาวุโสสามคนที่ซ่อนตัวอยู่ในฝูงชนก็เผยระดับวรยุทธ์ที่แท้จริงออกมา พลังปราณมหาศาลเอ่อล้นออกมาจนแม้แต่ระดับจ้าววรยุทธ์เองก็จำแนกทั้งสามออกจากฝูงชนจำนวนมากได้ แรงกดดันแผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ จนพวกเดียวกันเองยังต้องเกร็งลมปราณต้านเพื่อประคองสติเอาไว้
“โอ๊ะโอ๋? ใช้กลยุทธ์คนมากรังแกคนน้อยอีกแล้ว? สมแล้วที่ชาวบ้านขนานนามให้ว่าสุนัขรับใช้ราชสำนัก!” ถึงแม้จิตสังหารของพวกเขาจะไม่ส่งผลอะไรกับเย่เย่ แต่ก็ทำให้หน้าของเขาเปลี่ยนสีได้เหมือนกัน เย่เย่จึงลอบใช้ฝีปากเพื่อยั่วยุให้ศัตรูเผยช่องว่างออกมา
ตู้มมมมมมมมมมมมมม!
เย่เย่โคจรลมปราณ ผสานวิชาตัวเบาเข้ากับเคล็ดวิชาธาตุลมจนความเร็วเพิ่มขึ้น ก่อนสะกิดเท้าพุ่งทะยานเข้าหาผู้อาวุโสทั้งสี่ ลมหวนที่ก่อขึ้นจากการพุ่งตัวของเขา ต้นไม้ใบหญ้ารอบๆถอนรากถอนโคนปลิวไสวขึ้นไปบนฟ้าอย่างไร้การควบคุม
“หนุ่มสาวสมัยนี้ ไม่หัดเจียมตัวซะบ้างเลยนะ” เจียงเยว่พูดจบก่อนที่ฝ่ามือของเย่เย่จะมาถึงตัวซะอีก เห็นได้ชัดว่าเย่เย่นั้นดูด้อยกว่าในด้านความเร็ว
เมื่อฝ่ามือตัวประมุขเจียง เขาเพียงเบี่ยงตัวหลบ ใช้มือซ้ายกุมข้อแขนขวาของเย่เย่ไว้ได้อย่างง่ายดาย ทันทีที่เขาหยุดการโจมตีของเย่เย่เอาไว้ได้ด้วยมือเปล่า ลมกรรโชกที่ถูกสร้างขึ้นด้วยพลังของเย่เย่ก็พลันสลายไปในพริบตา
เย่เย่ก็ไม่รอให้ตนตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ บิดฝ่ามืออีกข้างเป็นกรงเล็บสวนเข้าไปที่หน้าท้องของศัตรู จนทำให้เจียนเยว่จำใจปล่อยข้อมือเพื่อหลบหลีก
ความเร็วของทั้งสองเร็วเสียจน สามเฒ่าผู้พิทักษ์ไม่อาจหาจังหวะแทรกมือเข้าผสมโรงได้ พวกเขาจึงได้แต่ยืนดูอยู่ห่างๆ
ทั้งสองจอมยุทธ์จิตพิสุทธิ์สู้กันอยู่นาน แต่ก็ไม่มีฝ่ายใดมีเปรียบเสียเปรียบชัดเจน จนกระทั่งเจียงเยว่ชะงักเท้าลง และพูดขึ้นกับเย่เย่อีกหน
“ดูท่าว่าเจ้าจะมีเขี้ยวเล็บมากกว่าที่ข้าคิด เอาล่ะข้าเองก็ไม่รังเกียจคนมีฝีมือ ดังนั้นข้าจะให้โอกาสเจ้ายอมจำนนต่อสกุลเจียงเสียแต่ตอนนี้ ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าแล้งน้ำใจล่ะ!”
อย่างไรก็ตามเย่เย่นั้นเคยปฏิเสธข้อเสนอนี้กับพระมเหสีไปแล้ว ไหนเลยจะเปลี่ยนใจ อีกทั้งเขาเองก็ไม่ใช่ฝ่ายผิด จึงไม่มีความคิดที่จะก้มหัวให้แม้แต่น้อย
“ประมุขเจียงเป็นท่านต่างหากท่านต้องก้มหัวให้ข้า วันนี้ไม่ได้คำขอโทษจะปากท่าน ข้าก็ไม่หันหลังกลับ!” เย่เย่ยื่นคำขาด พร้อมเพ่งกระแสปราณอ่อนๆที่มือขวาอย่างช้าๆ
“ไอ้เด็กเหลือขอนี่!” เจียงเยว่มองเย่เย่ด้วยดวงตาที่บิดเบี้ยวไปด้วยอารมณ์โกรธ ล้มเลิกความตั้งใจที่จะโน้มน้าวลง และปลดเปลื้องพลังปราณออกมาใช้อย่างเต็มสูบเพื่อหวังบดขยี้ศัตรูที่อยู่เบื้องหน้าในกระบวนท่าเดียว
พลังที่แผ่ออกมา ทำให้สภาพอากาศแปรปรวน เมฆทมิฬลอยปกคลุมเหนือน่านฟ้าคฤหาสน์ จนบริเวณโดยรอบมืดสนิท จะมองเห็นบริเวณด้านหน้าได้ก็เพียงแต่ตอนที่ฟ้าแลบเท่านั้น
เปรี้ยงงงงง!
เมื่อแสงฟ้าผ่าต้องกับใบหน้าของเจียงเยว่ เขาก็เอ่ยชื่อเคล็ดวิชาขึ้น
“มหาวิหารวชิรศาสตรา!” สายฟ้านับหมื่นนับพันสายวิ่งตรงมายังเย่เย่ ราวกับห่าธนูที่ร่วงหล่นมาจากท้องฟ้า
เย่เย่ยิ้มมุมปากเหมือนว่ารอเวลานี้มานาน “ก็มา!” ยิ่งทำให้ฟ้ามืดเย่เย่ก็ยิ่งได้เปรียบ นั่นก็เพราะไม่มีใครสังเกตได้ว่าเขาสั่งสมลมปราณไปที่มือขวามากพอที่จะใช้กระบวนท่านี้แล้ว!
ครืนนนนนนนนนนนนนนนนน
“หัตถ์เทวะ!” สิ้นเสียงตะโกน เย่เย่ก็ชูมือขึ้นไปบนฟ้า มือขนาดเท่าคนปกติทั่วไปก็ขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่าตัวราวกับฝ่ามือของเทพตามคติจีน มันใหญ่กว่าพื้นที่บนยอดเขาแห่งต้นกำเนิดที่เขาเคยฝึกวิชากับลั่วเฟิงเฉิงเสียอีก และแน่นอนว่าด้วยขนาดที่มโหฬารของมันก็แลกมาด้วยการใช้พลังปราณอันมหาศาลแต่ เย่เย่ก็มั่นใจว่าจะสามารถจัดการกับศัตรูได้ในเวลาที่จำกัด
เขายกมือที่ผิดกับขนาดตัวอยู่หลายเท่า ป้องวิถีของอสนีบาตจนมันสลายไป ก่อนจะฟาดฝ่ามือใส่เจียงเยว่ที่ยืนหน้าซีดอยู่ใต้เงาของหัตถ์เทวะ ถึงแม้เจียงเยว่จะขึ้นชื่อเรื่องความเร็ว แต่ในเมื่อบริเวณรอบๆไม่มีที่ให้หลบจึงได้แต่เดินพลังปราณเพื่อลดทอนแรงปะทะเท่านั้น
เปรี้ยงงงงงงงงงงงงง!
กระดูกหลายท่อนหักในทันที เลือดของเขาสาดกระเซ็นออกมาจากทวารทั้งห้า แม้แต่ลมหายใจยังพุ่งออกมาเป็นสายโลหิต แม้การโคจรปราณตั้งรับจะรักษาชีวิตเอาไว้ได้อย่าง ฉิวเฉียด แต่สภาพก็นับว่าน่าเวทนาเลยทีเดียว
“ประมุขเจียง! ประมุขเจียง!”
“เย่เย่ แก บังอาจนัก!”
ครั้งนี้ทั้งสามเฒ่าทนดูไม่ได้ จึงรวบรวมความกล้าและพุ่งใส่เย่เย่จากทุกทิศทาง หวังให้เย่เย่เกิดความสับสน พวกเขาหารู้ไม่ว่าเคล็ดวิชาหัตถ์เทวะนี้ถึงแม้จะเชื่องช้า แต่มันไม่มีที่ให้หลบ จังหวะที่สามเฒ่าลึกลับพุ่งเข้ามาโจมตีพร้อมกัน เย่เย่เพียงกระโดดหลบอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่า ทั้งสามก็ติดกับที่เย่เย่วางเอาไว้เสียเต็มเปา
“ไม่! ได้โปรด-”
“เหวออออออออออออออออ”
เงาของอุ้งมือขนาดใหญ่ค่อยๆโอบอุ้มพวกเขาอย่างช้าๆ จนร่างของทั้งสามแหลกเหลวไม่เหลือชิ้นดี โลหิตไหลออกมาตามง่ามนิ้วของเย่เย่ราวกับหยาดพิรุณสีชาดที่ชโลมผู้คนที่อยู่เบื้องล่าง
ฝูงชนสกุลเจียงที่เห็นแสงแห่งความหวังค่อยๆดับมอดลงไปทีละคนๆ ก็ถูกความกลัวเข้าครอบงำจิตใจ สติสัมปชัญญะของพวกเขาหลุดลอยออกไป ไม่อาจคิดทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันได้ ทำได้เพียงยืนขาแข็งเหม่อมองให้ชายผู้เป็นดั่งมัจจุราชมาช่วงชิงเอาดวงวิญญาณของพวกเขาไป
ซู่ววววววววววววววว
ทันใดนั้นมือข้างโตของเขาก็มีควันลอยออกมา ก่อนที่มันจะกลับคืนสภาพเดิม
‘พลังปราณเหลือน้อยแล้วสินะ’ เย่เย่สังเกตได้จากร่างกายหนักอึ้ง และเหงื่อที่ไหลออกมามากผิดปกติ ก็รู้ได้ว่าใกล้ถึงขีดจำกัดของเขาแล้วเช่นกัน
เย่เย่ค่อยๆร่อนตัวลงมา เดินแหวกฝูงชนที่แตกฮือออกเป็นสองฟาก ก่อนคุกเข่าลงมองสภาพที่น่าสังเวชของเจียงเยว่ “ด้วยสภาพนี้ ท่านยังคิดจะสู้อยู่อีกหรือเปล่าล่ะ?” เขาพูดขึ้นเพื่อบลัฟฝั่งตรงข้ามเท่านั้น เพราะตัวเย่เย่เองก็รู้ดีว่าให้เขาสู้ไปมากกว่านี้ก็คงไม่ไหวเหมือนกัน
เจียงเยว่ที่ได้สติคืนมาเพียงเสี้ยวเดียวจากการที่คนในตระกูลช่วยถ่ายโอนลมปราณให้ ก็ลืมตาขึ้นเหลียวมองเย่เย่ด้วยนัยน์ตาขุ่นเคือง แต่แล้วเขาก็ต้องกัดฟันยอมจำนนให้กับผู้ที่มีวรยุทธ์สูงกว่าอย่างไม่เต็มใจเท่าใดนัก…